พอดีไปอ่านเจอมาน่าจะมีประโยชน์ ถ้าซ้ำหรือเคยอ่านแล้วโทดทีนะครับ - -"

การสนทนาใน 'Club SI' เริ่มโดย LitTle_Eye, 19 มีนาคม 2008

< Previous Thread | Next Thread >
  1. LitTle_Eye

    LitTle_Eye New Member Member

    355
    12
    0
    การเปลี่ยนแบตเตอรี่ไม่ใช่เรื่องยาก แต่การเปลี่ยนแบตเตอรี่ ก็ต้องมีวิธีการที่ถูกต้อง เพื่อไม่ให้การเสียหายเกิดขึ้น ข้อพึงระวังสำหรับการเปลี่ยนแบตเตอรี่เอง คือ

    1. ต้องดับเครื่องก่อนเปลี่ยนแบตเตอรี่ทุกครั้ง (OFF)
    2. ในการถอดแบตเตอรี่ ต้องถอดขั้วลบ (-) ออกก่อนเสมอ เพื่อป้องกัน การลัดวงจร
    3. และเมื่อเปลี่ยนแบตเตอรี่ลูกใหม่เข้าไป ต้องใส่ขั้วบวก (+) ก่อนเสมอ
    จำหลักง่ายๆ "ถอดลบ (-) ใส่บวก (+)" เสมอ เพื่อป้องกันการลัดวงจรและเกิดประกายไฟกับรถยนต์แสนรักของคุณ


    ดูและแบตเตอรี่เพื่อการใช้งานที่คุ้มค่า
    การดูแลแบตเตอรี่ ให้ถูกวิธีจะช่วยให้เราใช้งานแบตเตอรี่ได้คุ้มค่าที่สุด ด้วยวิธีการง่ายๆ ดังนี้

    1. ตรวจสอบสภาพของแบตเตอรี่เสมอ อย่าให้มีรอยแตกร้าว เพราะจะทำให้แบตเตอรี่ไม่เก็บประจุไฟฟ้า
    2. ดูแลขั้วแบตเตอรี่ให้สะอาดเสมอ ถ้ามีคราบเกลือเกิดขึ้น ให้ทำความสะอาด
    3. ตรวจสภาพของระดับน้ำกลั่นแบตเตอรี่ทุกๆ 1 สัปดาห์
    4. ตรวจเช็กระบบไฟชาร์จของอัลเตอร์เนเตอร์ ว่าระบบไฟชาร์จต่ำหรือสูงไป ถ้าต่ำไป จะมีผลทำให้กำลังไฟไม่พอใช้ในขณะสตาร์ตเครื่องยนต์ หรือถ้าสูงไปจะทำให้ น้ำกรดและน้ำกลั่นอยู่ภายในระเหยเร็วหรือเดือดเร็วได้ ในช่วงเวลาเดียวกัน
    5. ช่วงที่มีอากาศหนาวหรืออุณหภูมิต่ำ ประสิทธิภาพการแพร่กระจาย ของน้ำกรด และน้ำกลั่นจะด้อยลง เพราะฉะนั้นควรหลีกเลี่ยงการใช้กระแสไฟมากๆ ขณะอากาศเย็น
    6. ควรศึกษาถึงการใช้อุปกรณ์ไฟฟ้าต่างๆ ให้เหมาะสมกับแบตเตอรี่และไดชาร์จ เพื่อที่จะให้วงจรการไหลของไฟฟ้าเป็นไปด้วยดี
    7. ควรเติมน้ำกลั่นให้ได้ตามระดับที่กำหนด ไม่ควรเติมต่ำหรือสูงเกินไป

    เราจะทราบได้อย่างไรว่าแบตเตอรี่เริ่มเสื่อม
    เมื่อเราใช้แบตเตอรี่ไปได้สัก 1 ปีครึ่ง หรือ 2 ปี แบตเตอรี่จะเริ่มเสื่อมสภาพ
    หากสังเกตดีๆ เมื่อแบตเตอรี่ใกล้เสื่อมสภาพจะมีสัญญาณเตือนดังนี้

    1. เครื่องยนต์เริ่มสตาร์ทติดยาก
    2. ไฟหน้าไม่ค่อยสว่าง
    3. ระบบกระจกไฟฟ้าทำงานช้าลง
    4. ระบบไฟฟ้าในรถทำงานผิดปรกติ


    อาการน็อคของเครื่องยนต์
    ก่อนอื่นมารู้จักกับคำว่า"น็อค"กันก่อน ซึ่งมันคือการที่ส่วนผสมของน้ำมันกับอากาศที่เอาไปเผาไหม้เครื่องยนต์เกิดการจุดระเบิดเองโดยที่หัวเทียนยังไม่ได้จุดประกายไฟก่อนถึงจังหวะจุดระเบิดจริง ซึ่งจะมีผลทำให้เกิดแรงต้านการเคลื่อนที่ขึ้นของลูกสูบในจังหวะอัด เมื่อถึงเวลาที่หัวเทียนเริ่มจุดระเบิดก็ไม่สามารถสร้างพลังงานที่สมบูรณ์ได้ ส่งผลให้เครื่องกำลังตก วิ่งไม่ออก หรือเรียกอีกอย่างว่าอาการ "ชิงจุด" ซึ่งอันนี้แหละเป็นที่มาของอาการน็อคของเครื่องจนทำให้เกิดความเสียหายได้
    เป็นอย่างไรเมื่อเกิดการ "น็อค" เกิดขึ้น
    การลุกไหม้ที่เกิดก่อนการจุดระเบิดจริง ส่งผลให้ชิ้นส่วนที่เคลื่อนที่อยู่ได้รับความเสียหายซึ่งสวนทางกับการเคลื่อนที่ของลูกสูบที่กำลังเลื่อนขึ้น ลูกสูบจึงเป็นส่วนที่ได้รับความเสียหายมากกว่าส่วนอื่นๆ และถ้าการชิงจุดนั้นเกิดขึ้นเกิดขึ้นบริเวณผนังกระบอกสูบความร้อนที่เกิดขึ้นจากการลุกไหม้ ณ จุดนั้นจะสูงมากและจะค่อยๆกระจายความร้อนออกไป ซึ่งอาจส่งผลให้เกการละลายได้ นอกจากการเสียหายกับลูกสูบแล้ว การลุกไหม้ที่เกิดก่อนที่วาล์วไอดี-ไอเสียจะปิดสนิท ความร้อนที่เกิดจากการลุกไหม้ซ้อนๆกันจะย้อนกลับออกไปทางวาล์วไอดี-ไอเสียก็ได้ ขึ้นอยู่กับจังหวะการทำงานในช่วงนั้น ซึ่งส่งผลให้เกิดความเสียหายกับวาล์วและบ่าวาล์วได้อีกด้วย
    ต้นเหตุของการน็อคเกิดขึ้นจากสาเหตุหลักๆคือ
    1 องศาไฟที่แก่เกินไป
    เป็นสาเหตุที่เกิดขึ้นงายที่สุด เป็นเพราะความซนของเราๆท่านๆเองที่ไปปรับองศาไฟจุดระเบิดให้แก่ขึ้น โดยหวังจะให้อัตราเร่งดีขึ้นซึ่งมันก็ช่วยได้ เพราะการที่เราตั้งไฟแก่จะทำให้มีการจุดระเบิดล่วงหน้าซึ่งทำให้อัตราเร่งดีขึ้นในรอบต่ำ แต่ในรอบสูงจะทำให้เครื่องเกิดการ "น็อค" เพราะระบบไฟจะเร่งไฟอยู่แล้วในรอบสูง ถ้าเราตั้งไฟแก่มากในจังหวะเดินเบาเวลารอบเครื่องยนต์สูงขึ้นระบบไฟจะเพิ่มองศาไฟจุดระเบิดขึ้นอีกผลที่ตามมาคือ "อาการน็อคในรอบสูง" นั่นเอง
    2 เลือกใช้น้ำมัน(ค่าอ็อกเทน)ไม่ถูกต้อง
    ค่าอ็อกเทนคือ ค่าเฉลี่ยการต้านทานการจุดระเบิด น้ำมันอ็อกเทนสูงจะมีความต้านทานการจุดระเบิดสูงตามไปด้วย ช่วยให้โอกาสที่ส่วนผสมระหว่างน้ำมันกับอากาศในกระบอกสูบที่มีความร้อนสูงจุดระเบิดก่อนเวลาอันควรลดลงไปด้วย อาการน็อคก็จะลดลงตามไปนั่นเอง แต่น้ำมันที่มีค่าอ็อกเทนต่ำใช่ว่าจะไม่ดี เพราะมันขึ้นกับความเหมาะสมของเครื่องยนต์ด้วย เพราะหากเครื่องยนต์ไม่ได้ต้องการน้ำมันที่มีค่าอ็อกเทนมากแต่ใช้น้ามันที่มีค่าอ็อกเทนสูงกลับทำให้เครื่องยนต์พละกำลังตกไปก็เป็นได้ เนื่องจากความต้านทานการจุดระเบิดของมันจะทำให้หลังจากหัวเทียนจุดประกายไฟแล้วการเริ่มเผาไหม้จะช้าลง ทำให้อัตราเร่งลดลง ดังน้นการเลือกใช้น้ำมันเชื้อเพลิงที่เหมาะสมกับเครื่องยนต์ก็สามารถลดโอกาสที่เครื่องยนต์จะเกิดอาการน็อคลงไปด้วย ดังน้นการที่เราใช้น้ำมันตามที่บริษัทผู้ผลิตกำหนด ก็เพียงพอแถมยังประหยัดด้วยนะครับ

    ใครคิดเห็นยังไงเพิ่มเติมได้เลยนะครับ
     
    SiTh_omac ถูกใจสิ่งนี้
  2. SiTh_omac

    SiTh_omac New Member VIP

    795
    11
    0
    +++ให้กับบทความดีดีครับผม :D:D:D
     
  3. Mu_Coupe

    Mu_Coupe New Member Member

    623
    4
    0
    เยี่ยมเลย บางอย่างก็ไม่รู้จริง ๆ :D:D
     
  4. G Type R

    G Type R New Member Moderator VIP

    3,607
    99
    0
    กำลังสงสัยเรื่องไฟแก่เลย ขอบคุณครับ
     
  5. bb_boy

    bb_boy New Member Member

    112
    1
    0
    เยี่ยมเลย สาระน่ารู้ ขอบคุณหลายๆ
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้