วาง 1J vvit Auto ในรถกระบะไมตี้ อยากทราบว่าใช้เฟืองท้ายเบอร์อะไรดีครับ ใช้แบบขับทั่วไป แบบต้นไม่อืด ปลายไหล เป็นเฟือง 9 หรือ 10 ครับ ของเดิมเป็น 10.43 ( 4.3 ) ผมมองเฟือง 9.41(4.5) กับ 8.39(4.7) ฝากผู้รู้แนะนำด้วยครับ
ของผม1JZ-GE ฝาดำไม่VVT-I เฟืองท้ายเดิม ๆ 4.3 ต้นจัด แต่ปลายหายไปไหนไม่รู้ (เซ็งเป็ด) ตอนนี้กำลังมองหา 4.7 อยู่เนี่ย
4.7 ปลายไม่หายกว่าหรือครับ ต้องต่ำกว่า 4.3 ซิ ครับ เช่น 4.1 หรือ 3.9 ปลายจะได้เพิ่ม แต่ต้นก็จะหายตามไปด้วย
การคำนวณอัตราทดเฟืองท้าย.......................... ............................................... ...หลักการณ์คือคำนวณรัศมีล้อพร้อมยางในหน่วยมิลลิเม ตร และเทียบอัตราส่วนโดยตรงระหว่าง รัศมี กับ อัตราทดได้เลย ได้เลย (หรือเทียบไปยัตยางค์...ไม่รู้สะกดถูกหรือเปล่าเ คยแต ่พูดไม่เคยสะกดหรือเขียนคำนี้เลย)... คำนวณ รัศมีล้อพร้อมยาง .... รัศมี = ((ขนาดล้อเป็นนิ้ว/2)*25.4)+(หน้ายาง*เปอร์เซนต์แก้มยาง) ตัวอย่าง .....ยาง 285/40/19.....รัศมี = ((19/2)*25.4)+(285*0.40) = 355.3 .....ยาง 225/50/16.....รัศมี = ((16/2)*25.4)+(225*0.50) = 315.7 (สเปคโรงงานใช้กับเฟืองท้าย 4.1) เทียบหาอัตราทดที่เหมาะสมเทียบกับยางสเปคโรงงาน 225/50/16 เฟืองท้าย 4.1 (สำหรับ 1jz-gte auto) ก็จะได้ อัตราทดเฟืองท้ายที่ควรจะเป็น ===> (355.3/315.7)*4.1 = 4.61 ดังนั้น ถ้าใช้ยาง 285/40/19 ก็ควรใช้อัตรทดเฟืองท้าย 4.61 เพื่อให้ได้สเปคโรงงาน (แต่ความเป็นจริงมันไม่มีก็ใช้ 4.7 แทน กำลังพอดี) สำหรับสเปคเฟืองท้ายและขนาดยางลองไปดูที่นี่ครั บ http://www.clubjz.net/showthread.php?t=4535 การคำนวณขนาดยางที่เหมาะสม......................... .............................................. คำนวณรัศมีล้อพร้อมยาง ตามสูตรด้านบน และเทียบกับขนาดยางสเปคโรงงาน ยางที่เหมาะสมเมื่อเปลี่ยนขนาดล้อ ควรมีรัศมีโดยรวมใกล้เคียงกับของเดิมจากโรงงาน สำหรับสเปคเฟืองท้ายและขนาดยางลองไปดูที่นี่ครั บ http://www.clubjz.net/showthread.php?t=4535 การคำนวณขนาดท่อคู่................................ ................................................. การไหลของของไหลผ่านท่อเช่น น้ำ และอากาศ ต้องใช้ พื้นที่หน้าตัดเป็นหลักครับ เอาเส้นผ่านศูนย์กลางท่อมาคิดเลยไม่ได้นะครับ ...ท่อกลมก็ต้องหาพ.ท.หน้าตัดที่เป็นรูปวงกลม...ถ้ าเ ป็นท่อรูปสี่เหลี่ยมก็ต้อหาจากรูปสี่เหลี่ยมครั บ.... ... สูตรพื้นที่วงกลมก็คือ .... pi*r^2 (พายคูณกับรัศมีกำลังสอง, และค่าพายมีค่าประมาณ 22/7) ตัวอย่างครับ : ท่อเดี่ยว 1.5 นิ้ว ... r = 0.75 นิ้ว ... พ.ท. หน้าตัด = (22/7)*0.75*0.75= 1.77 ตารางนิ้ว... ท่อเดี่ยว 2.0 นิ้ว ... r = 1.0 นิ้ว ... พ.ท. หน้าตัด = (22/7)*1.0*1.0 = 3.14 ตารางนิ้ว... ท่อเดี่ยว 2.5 นิ้ว ... r = 1.25 นิ้ว ... พ.ท. หน้าตัด = (22/7)*1.25*1.25= 4.91 ตารางนิ้ว... ท่อเดี่ยว 3.0 นิ้ว ... r = 1.5 นิ้ว ... พ.ท. หน้าตัด = (22/7)*1.5*1.5 = 7.07 ตารางนิ้ว... ถ้าเป็นท่อคู่ ก็เอาพ.ท.หน้าตัดของแต่ละท่อมาคูณสอง ตัวเลขที่นำมาคำนวณก็อ้างถึงขนาดวัดของวงกลมภาย ในหรื อรูในนะแหละครับ แต่ถ้าใช้ภายนอกก็จะคลาดเคลื่อนเล็กน้อย แต่ก็อาจจะพอหยวนๆ กันไปได้นะครับ.... จะเห็นได้ว่า ท่อ2.0นิ้วคู่มี พ.ท.หน้าตัด = 2*3.14 = 6.28 ยังน้อยกว่า ท่อเดี่ยว3นิ้วอยู่โขเลยนะครับ.... ตัวอย่าง ถ้าต้องการเดินท่อคู่ให้เทียบเท่าท่อ 3 นิ้ว ก็ควรให้ท่อที่มีขนาด 2.12 นิ้ว แต่ตามความเป็นจริงมันไม่มีก็ใช้ท่อขนาด 2.0 นิ้ว หรือ 2.2 นิ้ว แทน ก็พอได้ครับ.... ...หวังว่าคงมีประโยชน์กับเพื่อนๆชาว HILUX CLUB นะครับ... มารู้จักการใช้ Overdrive และการทำงานของระบบ -------------------------------------------------------------------------------- หวังว่าข้อมูลนี้คงช่วยให้หลายๆ คนเข้าใจกับระบบ Overdrive (OD หรือ O/D) มากขึ้น เห็นมีคำถาม ถามมากันบ่อยอยู่เหมือนกัน... ...Overdrive เป็นระบบที่ใช้เกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่า 1 และจะทำงานเป็นเกียร์สูงสุด (เกียร์ 4) พูดง่ายๆ Overdrive คือเกียร์ที่มีอัตราทดต่ำกว่าหนึ่ง (ในที่นี้พูดถึง เกียร์ j โดยทั่วไป เกียร์ออโต้ส่วนใหญ่ในปัจจุบันจะมี 4 เกียร์ ในบางรุ่นถึงมี 5 เกียร์) ผลของจากการใช้ Overdrive จะทำให้ประหยัดน้ำมันเพราะรถวิ่งที่รอบ ต่ำกว่า แต่อาจมีกำลังไม่พอในการเร่งแซงเฉียบพลัน .... การวิ่งในเมืองส่วนใหญ่จะเป็นการใช้เกียร์ต่ำความเร็ วไม่สูงมาก เกียร์ Overdrive จะไม่ค่อยได้ทำงานเท่าไรนัก ดังนั้นจะเปิดหรือปิดก็ไม่ต่างกันมากนักทั้งการขับขี ่และความประหยัด แต่ถ้าวิ่งทางโล่งในบางโอกาส และอาจจะต้องการเร่งแซงเฉียบพัน ขณะอยู่ในเกียร์O/D (เกียร์ 4) ก็อาจเลือกการปิดระบบ OD แล้วเร่งแซง (เพราะการกดคันเร่งเพื่อให้เกียร์ kickdown ในบางครั้งอาจจะเสียเวลาไม่เฉียบพลัน) ....ทั้งนี้ระบบ Overdrive ทำมาเพื่อให้เปิดไว้โดยตลอดเพื่อให้ได้ความประห ยัด แต่เมื่อมีเหตุจำเป็นที่จะต้องเร่งแซงรถข้างหน้าอย่า งเฉียบพลัน ขณะท ี่ Overdrive ทำงานนั้น ไม่ว่าจะเป็นการวิ่งในเมืองหรือนอกเมือง เพื่อความปลอดภัย (ในกรณีที่เป็นทางมีรถสวน) ควรจะปิด Overdrive แล้วเร่งแซง อีกหนึ่งตัวอย่างคือขับรถขึ้นเนินที่ความเร็วไม่สูงม ากนักควรจะปิด Overdrive เพราะรถจะมีกำลังไม่พอในการรักษาความเร็วขณะขึ้ นเนิน ก็ขึ้นอยู่อีกว่าเนินชันแค่ไหนอีกนั่นเอง ซึ่งในบางครั้งถ้าเนินชันมากๆ เกียร์ สูงๆ มี กำลังไม่พอเพื่อป้องกันไม่ให้เกียร์เปลี่ยนไปเปลี่ยน มาระหว่างเกียร์ สองเกียร์ ก็ควรเปลี่ยนเกียร์จาก D มาเป็น 2 หรือ L ก็แล้วแต่ความเหมาะสม ....... ...สำหรับการเปิดใช้ Overdrive นั้น เมื่อเปิด ไฟ "O/D off" ที่ไมล์จะดับ (ปุ่ม O/D กดเข้า) ซึ่งระบบ Overdrive ควรจะเปิดอยู่ตลอดเวลาอยู่แล้ว (จุดประสงค์ของระบบ Overdrive ทำมาเพื่อให้เปิดไว้ตลอด และปิดเป็นบางครั้งบางคราวเมื่อจำเป็น) และไฟ "O/D off" จะติด (ปุ่ม O/D กดออก) เมื่อ ปิด ระบบ Overdrive เพื่อเตือนผู้ขับขี่ว่าขณะนี้ระบบ Overdrive ปิดอยู่ ควรจะเปิดไว้ยกเว้นในกรณีจำเป็น (แต่จริงๆแล้วตรงจุดนี้ก็ขึ้นอยู่กับผู้ขับขี่)..... ....... ... ส่วนระบบที่ทำให้รถสามารถลากรอบสูงขึ้นได้นั้น ไม่ใช่ระบบ Overdrive (ตรงนี้มีผู้เข้าในผิดอยู่หลายคนแม้แต่ ช่างซ่อมรถยนต์) แต่จะเป็นระบบในรูปแบบของ ระบบ ECT (Electronically Controlled Transmittion) ซึ่งระบบนี้สามารถที่จะใช้ระบบไฟฟ้าควบคุมลักษณะในกา รเปลี่ยนเกียร์ทำให้ สามารถเล่นรอบได้เหมือนกับเกียร์ธรรมดา และปุ่มที่ควบคุมระบบนี้ส่วนใหญ่จะเป็นปุ่ม manual/power หรือ standard/sport ......ในเกียร์ออโต้ของเครื่อง J ที่เห็นมาก็จะมีทั้งสองระบบ คือ มีปุ่ม OD และ ปุ่ม manual/power.... ---เพิ่มเติม--- ...manual/power เป็นปุ่มควบคุมระบบ ECT (Electronically Controlled Transmission) หรือระบบควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ด้วยไฟฟ้า... ระบบนี้จะมี 2 โหมดให้เลือก คือ manual (ธรรมดา) และ power...ถ้าขับรถธรรมดาไม่ต้องการความหวือหวาเท่าไรก ็ โหมด manual แต่ถ้าต้องการความมันปรู๊ดปร๊าดซึ่งมากกับความเ ปลือง น้ำมันแล้วก็ โหมด power ซึ่งระบบจะควบคุมการเปลี่ยนเกียร์ ซึ่งสามารถทำให้ไล่รอบได้สูงกว่าปกติ จนถึง redline หรือประมาณ 7000 รอบ (ถ้ากดมิดนะครับ) และ ทำให้การตอบสนองกับความต้องการความเร็วความบ้าร ะห่ำด ีกว่า โหมด Manual .... ถ้าไม่ได้ต่อสวิทซ์ควบคุมระบบ ปกติก็จะอยู่ที่ โหมด Manual แต่ถ้าต่อไฟผ่านสวิทซ์เข้ากล่อง ECU เมื่อเปิดสวิทซ์ไฟเข้าก็จะเข้าสู่โหมด Power ครับ... หรือบางคนอยากแรงตลอดเวลาก็ต่อไฟตรงเข้ากล่องเล ยก็ได ้ ก็จะอยู่ที่ โหมด Power ตลอดนั่นเอง....