พี่น้องครับ รถผมชาร์ฟละลาย ช่วยวิเคราะห์ หน่อยครับ ว่าเป็นเพราะอะไรครับ จะได้รู้ว่าโทดช่างหรือผมเอง

คือ รถผม เป็นสองเจโบ เซตโบเดี่ยว บูส ประมาณ 1 บาร์ เพิ่งวางเครื่องเสร็จใหม่ๆๆ ครับ แต่เครื่อง ตัวนี้ ย้ายมาจาก รถที่บ้านผมอีกคันนะครับ ไม่ใช่เครื่องเชียงกง เครื่องตัวนี้ ตอนอยู่คันเก่า ประมาณ 4 ปี แต่วิ่งไม่น่าจะเกิน 2 หมื่นโล สายไฟ ตัวเครื่อง เดินครบมากๆๆ เพราะทำมาจาก สำนักแต่งชื่อดังมากๆๆ ในไทยครับ ชาร์ฟละลายเกิดขึ้นเมื่อ งานแข่งรถของชมรมที่คลอง 5 ครับ รถผม เพิ่งวางเส็ดก็เลยเอาไปลอง ครับ ออกตัวไม่ได้เลย เพลาสั่นมากๆๆ ผมก็แค่ไหลๆๆออก แล้วถึงค่อยๆ กด อะครับ วิ่งอยู่อย่างนี้ประมาณ 10 รอบ ไม่มีเสียงอะไรเกิด เพื่อนผม เซียนรถมากๆๆ มานั่งเขายังบอกเลย ว่ารถวิ่งดีจัง พอขากลับบ้าน ขึ้นสะพานข้ามคลองตรงคลอง 5 พอลงสะพานมา เริ่มมีเสียงดัง พอเข้ามอเตอร์เวย์ ยังไม่ทัน จ่าย ด่านแรก เลย ดังมากๆๆ ก็เลยยกเครื่อง ปรากฎว่า ชาร์ฟละลาย สูบ 1 และ 6 นอกนั้น สภาพดี อยากสอบถามว่า อาการนี้เกิดขึ้นเพราะอะไร
1. เป็นเพราะผม ซึ่งวิ่งในสนาม มันเลยพัง รถผม 2 เจ โบเดี่ยว hk 40 บูส บาร์นึง เกียร์ออโต้ เฟืองท้ายน่าจะ 3.9 ออกตัว อย่างที่บอก วิ่งได้ 17 วิ
2. เป็นเพราะ ช่างที่รับวางเครื่อง เพราะว่าแคร้ง หน้า ตัดต่อมา ตวงน้ำมันเครื่องแล้วได้แค่ 3 ลิตร ไม่มีแผ่นกั้นน้ำมัน ในแคร้งเลย ฝักบัว ก็จุ่มได้ไม่เต็มที่ เพราะผมสังเกตุเสียง มันเริ่มมาจากตอนขึ้นสะพาน อะครับ น้ำมันมันไหลมาหมดไม่เหลือให้ฝักบัวจุ่ม เป็นไปได้ไหมครับ
อยากสอบถามว่า น่าจะเป็นเพราะอะไรครับ ผมจะได้คุยกับช่างถูก ถ้าเป็นเพราะเขาจะได้คุยกับเขาให้เขารับผิดชอบ อะครับ เพราะผมไม่ชอบช่างคนนี้เลย วางเครื่อง นัด 2 อาทิต มันเล่น ล่อไป 3 เดือน เบาะผมเน่าหมด มันเล่นเอาอะไหล่ มาโยนกองๆๆไว้บนเบาะ เซ็ง
รบกวนหน่อยนะครับ
ขอบคุณครับ

 

น้ำมันเครื่องเหลือ 3 ลิตรเองเหรอครับ

น่ากลัวจริงๆ เลย มันน้อยไปป่าวครับ

อย่างน้อยๆ ก็น่าจะมีถึง 5 ลิตรนะ

 

ถ้าเป็นตามที่บอกมาผมว่าเป็นจากข้อ 2 ครับ

 

มารับความรู้ครับ

 

ฟันธง ไปเลยยยย .. ปัญหาน้ำมันเครื่อง นี่ก็ น่าจะพอ บ่งบอกความรับผิดชอบได้แล้ววว อ่ะครับ

 

ความรู้อีกแล้วคับ

 

ผมว่าน้ำมันเครื่องนะครับ

เกินดีกว่าขาดอยุ่แล้ว

 

ถ้าใน2ข้อที่กล่าวมา ผมเลือกข้อที่2ครับ

 

3 ลิตรน้อยมากนะคับ ปกติ 2J ถ้าไม่ปาดแคร้งมันต้องมีอย่างน้อยๆ 5 ลิตรกว่าๆ-ครึ่งนะคับ ปาดแล้วก็ต้องมีซัก 5 ลิตร ไม่น่าต่ำกว่านี้คับ พวกเครื่องรถ std. เค้ายังมีกัน 4 ลิตรเลยคับ ไม่ขอออกความเห็นว่าจะโทษช่างหรือว่าโทษใคร แต่เอาข้อมูลไปประกอบการตัดสินใจล่ะกันคับ

อีกอย่างนะคับ ถ้ารถทำเพลากลางมาไม่ดี ไม่ควรจะไปวิ่งในสนามหลายๆรอบนะคับ ควรจะไปทำมาให้ดีก่อนแล้วค่อยมาลองใหม่นะคับ รถวิ่งด้วยความเร็วสูง เดี่ยวเหตุการณ์ไม่คาดคิดเกิดขึ้นมา จะไม่สนุกคับ อันนี้เตือนไว้เพื่อครั้งหน้าล่ะกันคับ แล้วอีกนิดนึงคับ ถ้าได้ยินเสียงผิดปกติเหมือนชาร์ฟละลาย ไม่ควรวิ่งแล้วนะคับ ควรจอดเรียกรถ slide มายกไปที่อู่เลยคับ จะได้ไม่เสียหายมากคับ

แนะนำเพิ่มถ้าจะปรับปรุง เฟืองท้ายหา 4.1 มาใช้จะดีกว่าคับ เหมาะสมกับเกียร์ Auto

 

ห ง่ ะ น้ำ มั น เ ค รื่ อ ง เ เ ค่ 3 ลิ ต ร

จ ะ ไ ป พ อ อ ะ ไ ร ล ะ ค รั บ

ร ถ บ้ า น ๆ ยั ง 3 ก ว่ า ๆ เ กื อ บ ๆ 4 ลิ ต ร

ป ก ติ J มั น 5 ลิ ต ร ห น่ อ ย ๆ ไ ม่ ใ ช่ ห ร อ

เ เ ล้ ว มั น จ ะ ร อ ด ไ ห ม ล ะ

 

คือตัวผมเองก็ว่ามันน้อยไปอะครับ แต่ที่แค้นใจ เพราะว่า ตอนรถ ชาร์ฟละลาย ผมได้โทรไปหา ช่างที่วางเครื่องให้ เขาบอกว่า ยังไง ตอนถ่ายน้ำมันออก ช่วยวัดให้หน่อยได้ไหม ว่าน้ำเครื่องมีกี่ลิตร ฝักบัว จุ่มได้ดีไหม ดูเขาพูดสิครับ แปลว่าตอนทำประกอบ ไม่ได้ตวงวัดปริมาณให้ผมเลย ดูดู๊ดู ดูมันทำ........
ปล ช่างคนนี้ จริงๆๆเป็นช่างเดินสายไฟ เป็นหลักแต่ก็รับวางเครื่องด้วย โดยการไปเหมาให้อู่นึงวางเครื่องให้ แล้วไม่ค่อยมีเวลาไปดู ตอนแรกบอกรถผม 2 อาทิตเส็ด กลายเป็น 3 เดือนก่า อ้างนุ้นอ้างนี้ ไม่เส็ดสักที

 

น้ำมันเครื่องน้อยมากเลยครับ

 

เปลี่ยนอู่ด่วน

คิดได้ไงปาดแคร้ง แล้วไม่ต่อเพิ่ม

 

น้ำมันเครื่องหายอาจจะรั่วซึมก็ได้นะคับ ลองก้มดูเครื่องว่ามีรอยเปียกรั่วซึมรึเปล่าคับ มีซีนยางตัวไหนขาดรึเปล่า

 

"แคร้งหน้า ตัดต่อมา ตวงน้ำมันเครื่องได้แค่ 3 ลิตร" แปลว่า

1.แคร้งมันบรรจุน้ำมันได้แค่ 3 ลิตร

หรือว่า

2.หลังจากเกิดเหตุแล้ว ถ่ายน้ำมันออกมา เหลือแค่ 3 ลิตรครับ

ถ้าเป็นไปตาม ข้อ 1. ตามไปด่า ช่างได้เลยครับ บ้าหรือเปล่า เครื่อง 4 สูบ STD ยังมีเกือบๆ 4 ลิตร นี่ 6 สูบ Modified ด้วย แค่ 3 ลิตร ก็พังสิครับ

ถ้าเป็นไปตามข้อ 2. ต้องดูแล้วครับว่า อะไรทำให้รั่วไหลไป แล้วค่อยไปเคลียร์ช่างอีกที ว่าเพราะไม่ได้ตรวจสภาพ หรือ จังหวะมันจะพังพอดี

แต่รถทำมาขนาดนี้ น่าจะมีมิเตอร์ Oil Press ติดไว้บ้างก็ดีนะครับ จะได้รู้ตัวล่วงหน้าว่าอะไรเริ่มผิดปกติ

 

2 เจ โบเดี่ยว มันชอบบ้วนน้ำมันเครื่องทิ้งนะครับผม ถ้าเราซัดบ่อยๆควรเช็กน้ำมันเครื่องตลอด
เพราะซัดในสนาม 1 ครั้งก็บ้วนอย่างน้อยๆ 10-20ml วิ่งแป๊ปเดียวถังดักไอเต็มแล้วครับ
แล้วตอนวางเครื่องเสร๊จนี่ได้ซื้อน้ำมันไปถ่ายใหม่หรือเปล่าครับ อย่างน้อยๆเราก็ควรจะรู้ว่าออกจากอู่มีน้ำมันเครื่องอยุ่กี่ลิตร
เพราะสาเหตุที่ชาร์ฟจะละลายนั้นก็อยู่ที่
1.อายุการใช้งาน ชาร์ฟเมื่อถูกใช้มากๆมันก็จะเริ่มบาง พอบางแล้วยังทำงานหนัก + น้ำมันเครื่องไม่ดี ความร้อน Oil temp สูงโอกาสละลายมีมาก
2.น้ำมันเครื่องขาด จังหวะกดแล้วรถลอยหรือสะดุด แต่ส่วนใหญ่มันจะละลายตอนถอนคันเร่ง คือน้ำมันถูกดูดขึ้นเต็มที่ข้างล่างขาดโอกาสชาร์ฟละลายก็มากพอกัน

 

ตามนั้นคับพี่ น้ำมันเครื่องอย่างต่ำ ควรเท่ากับที่โรงงานเขาทำมาอะคับ
เรื่องเล็กๆน้อยๆ อาจจะทำให้เสียเงินได้น่ะคับพี่ อย่ามองข้ามมันคับผม
ถ้าทำเครื่องตัวใหม่ หรือซ่อมตัวเก่า ก็อย่าลืมหล่ะคับ ขยายอ่างด้วยคับ
ไม่ใช้เติมได้ 5ลิตร เเล้วคิดว่าได้ 5ลิตรน่ะ อาจจะอยู่ที่อ่าง 3 ลิตรก็ได้
ที่เหลือค้างบนฝาหมด ทางที่ดีให้ได้ 4-5 ลิตรในอ่างน้ำมันเครื่องคับ

 

งานเข้าเลย น้ำมันเครื่อง3ลิตรมันก็พังอะดิ

 

เห็นเครื่องมาแล้วคับ อาการมาจากน้ำมันเครื่องไม่พอแน่นอนคับ เป็นเฉพะาแค่สูบ 1 กับสูบ 6 เท่านั้น แคร้งที่ปาดมาก็ใส่น้ำมันเครื่องได้น้อยมาก อาศัยปาดแค่หลบคานไม่ได้คำนวนปริมาตรที่หายไป สภาพนี้จะไปวิ่งในสนามหรือขับไปทำงานกลับบ้านชาร์ฟก้อต้องละลายแน่นอนจะช้าหรือเร็วเท่านั้นเอง



ช่างก้อเหมือนหมอแหละคับ เป็นวิชาชีพที่เราเถียงด้วยยาก (หมอถ้าเราตายตอนผ่าตัด ก้อเดินออกมาบอกว่าผมเสียใจด้วย ผมพยายามอย่่างที่สุดแล้ว) ทำใจเถอะคับ


ปล. ช่างและหมอดีๆมีเยอะคับ แต่ในทุกอาชีพมันก็มีคนประเภทนี้รวมอยู่

 

จากที่อ่านมาผมว่าข้อสองครับเพราะน้ำมันเครื่องมันน้อยเกินไปและฝักบัวที่ดูดน้ำมันก็สำคัญครับ
เคยเห็นแต่เสริมอ่างให้จุน้ำมันเครื่องมากขึ้น

 

ผมก้อเห็นด้วยคับ 3L มันน้อยเกินไปคับ

 

น่าจะมาโฟกัสที่จุดของน้ำมันเครื่องมากกว่าว่าทำไมมันเหลือแค่3ลิตร

 

ขอบคุณทุกความเห็นนะครับ ผมก็ลืมไป ตอนเติมมันไม่ได้ดูเหรอ ว่ามันเติมได้แค่ 3 ลิตร คำว่าน้ำเครื่องตวงได้แค่ 3 ลิตร ตอนรื้อเครื่อง และ ตวงอีกรอบ ตอนเอาไปแก้แคร้งครับ ก็ได้ 3 ลิตรครับ ไม่ใช่ว่าน้ำมัน รั่ว ครับ ตอนนี้แก้มาใหม่ เกือบ 5 ลิตรครับ ส่วนน้ำมันเครื่องเกียร์ ใหม่ครับ น้ำมันเครื่องของ elf ครับ ช่างเขาบอกดี ผมใส่มาเยอะแล้วครับดีมากๆๆครับ

 

ไม่อยากให้โทดเเต่ช่างคับ ตัวคนขับ หรือเจ้าของรถก็ต้องดูเเลบ้าง จะไปวิ่งทั้งที ไม่ได้เช็คอะไรเลยหรอคับ น้ำ น้ำมันเคื่อง ยาง ว่ามันอยู่ในสภาพที่พร้อมไหม ถ้าช่างทำมาไม่ดี เเต่เราได้เช็คก็น่าจะช่วยได้บ้างนะคับ

 

ทำใจหว่ะ ค่อยๆแก้ไป อย่าไปใส่ใจกับเรื่องเก่าๆเลย มิด มันปวดหัว แก้เสจแล้ว ให้น้าเอมวายสายแทนให้จบๆ ไปแล้วก็พอเต่อะ คิดมากปวดกะบาล ถ้าเค้ารับผิดชอบจิง ป่านนี้เค้าโทรหามิดแล้วหล่ะ เอาใจช่วยนะ ไว้เจอกันที่อู่ เพิ่งกลับมาจากเหนือ หนาวมักๆ

 

แก้แล้วขอให้กลับมาแรงเร็วๆนะคับ

 

ออกตัวก่อน ว่าผมอาจจะไม่รู้เรื่อง J เท่าไหร่นะครับ

มีข้อสงสัยบางอย่าง คิดว่าแลกเปลี่ยนความรู้กันนะครับ

1. ถ้าน้ำมันแคร้งค์จุได้ 3 ลิตร แล้วเติมน้ำมันเข้าไปกี่ลิตรครับ ? ถ้าเติมปกติ คือมากกว่า 4 ลิตรขึ้นไป ระดับน้ำมันเครื่อง มันก็ต้องสูงว่าระดับที่ควรจะเป็นปกติ (เพราะปริมาตรอ่างมันน้อยลง เพราะฉะนั้น ระดับน้ำมันเครื่องจะสูงกว่าเดิม) แเต่อันนี้ ผมไม่รู้จริงๆ ว่าอาการที่ตามมาของระดับน้ำมันเครื่องภายในสูงกว่าปกติ จะเป็นอย่างไร มีอาการให้สังเกตุได้หรือไม่ แต่เดาๆเอาว่าถ้ามันจุแค่ 3 ลิตรจริง แต่ตำแหน่งอ่างน้ำมัน ท่วมฝักบัวดูดน้ำมันเครื่องเสมอ อาจจะไม่ใช่เพราะแคร้งค์ความจุไม่พอนะครับ อาจจะเป็นเรื่องอื่น

2. สูบที่ 1 และที่ 6 เป็นสูบที่ชาร์ฟละลาย.. อันนี้ อย่างที่บอกตอนแรกว่าผมไม่รู้จักเครื่อง J เอาเป็นว่า ผมไม่รู้ว่า J มีท่อฉีดน้ำมัน
เครื่องเข้าที่กระโปรงของลูกสูบหรือเปล่า ตันหรือไม่ (อันนี้ตรวจสอบยากจริงๆ ถ้าไม่ถอดมาดู และรถปกติ ตอนวางเครื่อง
ก็น่าจะไม่มีใครถอดอ่างออกมาดูข้างในครับ / ส่วนเครื่อง RB มีท่อฉีดน้ำมันครับ)

3. อันนี้น่าสงสัยที่สุด เปลี่ยนน้ำมันเครื่อง และกรองน้ำมันเครื่อง ก่อนเข้าสนามหรือเปล่าครับ ???? (ไม่ควรพลาดเรื่องนี้นะ)
เนื่องด้วยประสบการณ์ที่เห็นเขาขายเครื่องกันในเชียงกง เขาสักแต่ว่าเติมน้ำมันเครื่องเข้าไป เพื่อสตาร์ทให้ลูกค้าดูได้ครับ
น้ำมันเครื่องมันก็จะดำมากๆ แล้วก็ไม่ได้สนใจว่าสภาพมันเป็นไง เพราะฉะนั้น ถ้าวางเครื่องใหม่ ต้องถ่ายน้ำมันก่อนเป็นเรื่องแรก
และน้ำมันชุดแรกที่เราใส่ ก็ไม่ควรใช้นานด้วยครับ เพราะเสมือนกับการล้างภายในของเครื่อง แล้วให้รีบเปลี่ยนอีกครั้งเป็นรอบที่ 2
ผมเคยเห็นในเชียงกง ขายเครื่อง J ไม่โบ พวกเอาน้ำมันอะไรไม่รู้เทๆๆๆ แล้วก็สตาร์ทให้คนจะซื้อดูครับ


ฝากอีกนิด
ลองเช็คแรงดันเบนซิลด้วยครับ ว่าเพียงพอ ที่เครื่องต้องการหรือเปล่าครับ
เหลือไว้นิดๆ ดีกว่าขาด แต่ถ้ามีกล่องจูนด้วย น่าจะมีโอกาสเลือกแรงดันเบนซิล และส่วนผสมที่ "พอดี" จริงๆ
สำหรับเครื่องอยู่แล้วครับผม (เพราะถ้ามีกล่องจูน ต้องปรับ ต้องจูนให้พอดี ซึ่งจูนเนอร์จะแนะนำอยู่แล้วครับ ว่าต้องเพิ่มตรงไหน
ยังไง)
สุดท้าย ถ้าทุกอย่าง ยังไม่ชัวร์จริงๆ อย่าเพิ่งซัดครับ.... พลาดเรื่องใดเรื่องนึง จุดจบอาจจะมาไว กว่าที่คิดครับ

รถเรา เราต้องดูแลเองครับ.... ยังไง ช่างเขาไม่ใส่ใจรายละเอียด เหมือนเป็นรถเขาอยู่แล้วครับ

 

เนี้ยแหละสาเหตุ

แล้วแบบนี้จะมีช่างไปทำไม ของแบบนี้มันอยู่ที่ จรรยาบรรของช่างมันมีพอมั้ย (ผมเองก็เรียนช่างยนต์มา) ไม่ว่าจะรถบ้านหรือรถแข่ง คุณเล่นสักแต่ประกอบ ไปวันๆไม่ได้ดูพอเครื่องมีปัญหาก็มาโทษเจ้าของรถว่า " อ้าวก็คุณไม่เช็ครถเอง" (มีหวังได้โดยตรีนเจ้าของรถอะดิ) มันไม่ได้หรอกครับ โดยเฉพาะเหล่า คุณผู้หญิงที่เป็นเจ้าของรถทั้งหลาย บางท่านไม่ค่อยได้เปิดฝากระโปรงหน้ารถด้วยซ้ำ เรื่องเครื่องยนต์กลไกลไม่ต้องคุยเลย ดังนั้น ก่อนที่จะส่งมอบรถให้ลูกค้า ไม่ว่าจะเป็นรถอะไรก็ตาม เราต้องตรวจสอบความเรียบร้อยทุกอย่าง ตั้งแต่น้ำมันที่เป็นของเหลวต่างๆ น้ำต่างๆ ไปจนถึงลมยาง ให้ลูกค้า ก่อนส่งมอง เพราะการที่ลูกค้าไว้ใจให้เราบริการเขาแล้วทั้งทีเราก็ไม่ควรทำให้เขาผิดหวังครับ

 

เอาใจช่วยคับ

 

ช่าง เช็คเพราะหน้าที่

คนขับ เช็คเพราะมันเปนรถของเราคับ