การตรวจสอบรถก่อนเดินทาง : การอนุรักษ์พลังงาน การตรวจสอบเครื่องยนต์หรือสภาพรถก่อนเดินทาง เพื่อเป็นการอนุรักษ์พลังงาน ควรตรวจสอบเครื่องยนต์สม่ำเสมอตามระยะเวลาที่กำหนด เพราะจะทำให้เรารู้ สมรรถนะของเครื่องยนต์และอัตราการ สิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิงตลอดเวลา และเพิ่มความปลอดภัย ซึ่งระบบที่ควรตรวจสอบมีดังนี้ 1. ระบบน้ำมันเชื้อเพลิง จากระบบน้ำมันเชื้อเพลิง เราสามารถสังเกตและตรวจสอบสาเหตุ ของการสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง ที่เพิ่มขึ้นกว่าปกติ อย่างง่ายๆดังนี้ น้ำมันรั่วหรือไม่ ให้สังเกตจากบริเวณพื้นถนนใต้รถที่จอดอยู่ หากพบว่ามีรอยเปียกของน้ำมัน หรือได้กลิ่นของน้ำมัน ซึ่งอาจจะรั่วจากข้อต่อในระบบท่อ ให้ดำเนินซ่อมโดยเร็ว ไส้กรองอากาศตันหรือไม่ ควรทำความสะอาดไส้กรองอากาสอย่างสม่ำเสมอ หรือเปลี่ยนใหม่เมื่อหมดอายุการใช้งาน ไส้กรองที่สกปรก ทำให้ สิ้นเปลืองน้ำมันมาก 2. ตรวจความเร็วรอบเดินเบา ถ้าความเร็ว รอบของเครื่องยนต์ในจังหวะเดินเบาสูงเกินไป จะทำให้เครื่องยนต์กิน น้ำมันมากขึ้น ควรปรับความเร็วรอบ ให้อยู่ใน เกณฑ์มาตรฐานของผู้ผลิต แต่ถ้าไม่มีข้อมูลดังกล่าว ควรปรับความเร็วรอบที่ประมาณ 800 รอบต่อนาที หรือในระดับที่เครื่องยนต์ทำงานเรียบที่สุด สำหรับเครื่องยนต์ที่มีระบบการจ่ายน้ำมัน ด้วยระบบหัวฉีด หากมีปัญหาเกี่ยวกับ ความเร็วรอบ ของเครื่องยนต์ ขณะเดินเบา ควรปรึกษาเจ้าหน้าที่ของบริษัทผู้ผลิต ให้เป็นผู้ดูแลในเรื่องนี้โดยตรง3. ตรวจระบบน้ำมันในห้องลูกลอย ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงของรถยนต์ที่ใช้คาร์บูเรเตอร์ ทำหน้าที่ปรับส่วนผสม ระหว่างน้ำมัน กับอากาศนั้น สาเหตุที่จะทำให้อัตราการสิ้นเปลือง น้ำมันเพิ่มขึ้นจากปกติอีกประการหนึ่ง คือการไหลล้นของน้ำมัน จากคาร์บูเรเตอร์ ซึ่งเกิดจากระดับน้ำมันในห้องลูกลอย สูงกว่าระดับปกติ โดยสามารถสังเกตได้ง่ายๆ จากหน้าต่างกระจกของห้องลูกลอย ควรให้ช่างผู้ชำนาญแก้ไขโดยเร็ว นอกจากข้อสังเกตต่างๆ ในระบบน้ำมันเชื้อเพลิงที่ได้กล่าวมาข้างต้นแล้ว ปัญหาด้านอื่นที่ เราสามารถสังเกตได้ง่าย อีกอย่างหนึ่ง คือ ระบบจุดระเบิดที่ไม่เหมาะสม ซึ่งมีผลต่อการเผาไหม้ ของส่วนผสม น้ำมันกับอากาศ ถ้าระบบจุดระเบิดช้าเกินไป จะทำให้กำลังงานที่ได้ลดลง และมีผลทำให้กินน้ำมันมากขึ้นด้วย หากรถยนต์มีอาการดังกล่าว ควรรีบแก้ไขโดยเร็ว อ้างอิงจาก : http://blog.eduzones.com/tenny/3951
ขอบคุงกับ เพิ่มเติมจา... เอาตัวรอดอย่างไรจากอุบัติเหตุที่เจอบ่อยๆ 9 เหตุการณ์ แม้ใช้ความระมัดระวังในการเดินทางอย่างดีแล้ว แต่ก็อาจเกิดเหตุการณ์ฉุกเฉินขึ้นได้เสมอ จากหลายเหตุผล หลายเหตุการณ์ การรับมือและแก้ไขที่ถูกต้องจะช่วยลดความเสียหายลงได้ 1. ยางแตก เมื่อยางระเบิดหรือแตกกระทันหัน ไม่ว่าจะอยู่ในช่วงความเร็วใด ต้องจับพวงมาลัยให้มั่นคง พยายามรั้งไว้ให้ตรงทิศทาง อย่ากระชากเด็ดขาด ไม่ตกใจกดเบรกอย่างกระทันหัน เพราะรถยนต์อาจหมุนปัดเป๋เสียการทรงตัวได้ ให้ถอนคันเร่ง การลดความเร็ว สามารถใช้เบรกได้เพียงเบา ๆ และต้องเหยียบสลับกับการปล่อย เพื่อไม่ให้น้ำหนักถ่ายลงด้านหน้ามากเกินไป ถ้ายากที่แตกไม่ใช้ล้อขับเคลื่อนก็สามารถใช้เกียร์ช่วยในการลดความเร็วได้ หากต้องการเปลี่ยนยาง ควรดึงเบรกมือก่อนการขึ้นแม่แรง ป้องกันรถยนต์ไหล แต่ถ้ามีที่สูบลมติดรถยนต์ไว้ และยางที่แบนไม่ได้รั่วเป็นรูขนาดใหญ่ ก็สามารถสูบลมยางให้แข็งกว่าปกติสัก 5-10 ปอนด์/ตารางนิ้ว และค่อย ๆ ขับต่อไปจนถึงร้านเปลี่ยนยางก็ได้
2. เบรกแตก รถยนต์ทุกรุ่นในปัจจุบันใช้น้ำมันเบรกเป็นตัวถ่ายทอดแรงดันระหว่างการกดของเท้าไปยังผ้าเบรก เสมือนเป็นระบบไฮดรอลิกชนิดหนึ่ง ดังนั้นจึงอาจมีการรั่วซึมขึ้นได้ จากการรั่วของลูกยางตัวใดตัวหนึ่งหรือท่อน้ำมันเบรกรั่ว การถ่ายทอดแรงดันก็จะสูญเสียลงไป ระบบเบรกมักแบ่งการทำงานออกเป็น 2 วงจร อาจเป็นแบบล้อคู่หน้าและล้อคู่หลัง หรือเป็นแบบไขว้ล้อหน้าซ้าย-ล้อหลังขวา และล้อหน้าขวา-ล้อหลังซ้าย เผื่อว่าวงจรใดวงจรหนึ่งชำรุด เพื่อให้ระบบยังมีประสิทธิภาพการทำงานหลงเหลืออยู่บ้าง ดังนั้นเมื่อเบรกแตกหรือน้ำมันเบรกเกิดการรั่วส่วนใหญ่มักหลงเหลือประสิทธิภาพการทำงานอยู่หลายสิบเปอร์เซ็นต์ หรืออีกไม่น้อยกว่าครึ่งหนึ่งในอีกวงจร ตั้งสติให้มั่นคง เมื่อเหยียบแป้นเบรกลงไปแล้วลึกต่ำกว่าปกติ ต้องเหยียบซ้ำแรง ๆ และถี่ ๆ เพื่อใช้แรงดันในวงจรที่เหลืออยู่ ผ้าเบรกจะได้สร้างแรงเสียดทาน ขึ้นมาบ้างพร้อมกับการลดเกียร์ต่ำครั้งละ 1 เกียร์ จนกว่าจะถึงเกียร์ต่ำสุด แล้วค่อยใช้เบรกมือช่วย โดยการกดปุ่มล็อกค้างไว้ให้สุด เพื่อไม่ให้เบรกจนล้อล็อก ดึงขึ้นแล้วปล่อยสลับกันไป เพื่อลดความเร็ว ถ้าระบบเบรกชำรุดทุกวงจร ต้องใช้การลดเกียร์ต่ำช่วยเป็นหลัก แล้วค่อยดึงเบรกมือช่วย เมื่อไล่ลงจนถึงเกียร์ต่ำสุดแล้ว รถยนต์ที่ใช้ระบบเบรกที่มีเอบีเอส ถ้าต้องการเบรกกระทันหัน อย่าเหยียบแล้วปล่อยสลับกันถี่ๆ แบบเทคนิคการเบรกในยุคเก่า เพราะเอบีเอสจะตัดการทำงาน และไม่สามารถป้องกันการล็อกล้อได้ ต้องเหยียบลงไปให้แน่น ๆ แล้วควบคุมพวงมาลัยไปยังทิศทางที่ควรจะไป นั่นคือวิธีที่ถูกต้องเมื่อต้องเบรกกระทันหันในรถยนต์ที่มีเอบีเอส
3.รถหลุดออกจากทาง อาจเป็นเพราะหักหลบสิ่งกีดขวางอย่างกระทันหัน ทำให้ไถลออกนอกเส้นทาง เมื่อเกิดเหตุการณ์นี้ควรตั้งสติให้มั่น ไม่ควรเหยียบเบรกอย่างแรง เพราะอาจทำให้ล้อล็อกหรือลื่นไถลจนเสียการทรงตัว วิธีที่ถูกต้อง ควรลดความเร็วด้วยการแตะเบรกแล้วปล่อย พร้อมกับการลดจังหวะเกียร์เพื่อใช้เครื่องยนต์ช่วยในการชะลอความเร็วอีกเล็กน้อย นอกจากนั้นสายตายังต้องมองทางไปข้างหน้า เพื่อหลบสิ่งกีดขวาง ไม่ควรหักหลบทันทีเพราะอาจพลิกคว่ำได้
4. คันเร่งค้าง (สายคลัตซ์ขาด ปั๊มคลัตซ์รั่ว) รถยนต์ที่ใช้ระบบเกียร์ธรรมดา ถ้าสายคลัตซ์ขาดหรือปั๊มคลัตซ์รั่ว ไม่ได้หมายความว่ารถยนต์จะแล่นไม่ได้เลย ยังสามารถแก้ไขปัญหาเฉพาะหน้า เพื่อนำรถยนตร์ออกจากพื้นที่เป็นระยะสั้นๆ โดยไม่ต้องเข็นหรือลากกันได้ไม่ยาก วิธีปฏิบัติคือ ตรวจสอบว่าเส้นทางข้างหน้าต้องว่างไม่น้อยกว่า 10-20 เมตร ปิดอุปกรณ์ไฟฟ้าทุกชนิด เปิดสวิตซ์กุญแจ เข้าเกียร์ 1 ไว้ กดคันเร่งประมาณ 1-2 ชม. บิดกุญแจสตาร์ทเครื่องยนต์ค้างไว้ ตัวรถยนตร์จะกระตุกเป็นจังหวะตามการหมุนของเครื่องยนต์และไดสตาร์ทเคลื่อนที่กระตุกไปทีละนิดจนกระทั่งเครื่องยนต์ทำงาน ก็กดคันเร่งไปมากขึ้นเพื่อเร่งความเร็ว เกียร์จะไม่สามารถเปลี่ยนได้ แต่สามารถใช้ความเร็วได้เกือบเต็มที่ของความเร็วสูงสุดของเกียร์ 1 คือประมาณ 30-40 กม./ชม. ถ้าเส้นทางข้างหน้าว่างก็สามารถขับไปได้เรื่อย ๆ เมื่อต้องเบรก ก็กดแป้นเบรกลงไปเท่านั้น ปล่อยให้เครื่องยนต์ดับแล้วค่อยเริ่มออกตัวใหม่
5. เครื่องยนต์ร้อนจัด ถ้าไม่ได้เกิดจากการรั่วซึมผิดปกติ แต่เกิดจากการหลงลืมเติมน้ำหม้อน้ำ ก็สามารถเต็มน้ำเข้าไปให้เต็มได้ เพราะถ้ามีการรั่ว เติมลงไปก็รั่วออกมาอีก การเติมน้ำ ต้องมีเทคนิคและใจเย็น จอดรถยนต์หลบในที่ปลอดภัย ดับเครื่องยนต์ รอให้เครื่องยนต์เย็นลงบ้าง หาผ้าหนา ๆ และผืนกว้างพอสมควร เช่น ผ้ายางรองพื้นในรถยนต์ คลุมฝาหม้อน้ำให้มิด แล้วบิดออกเล็กน้อยก่อน เพื่อให้แรงดันภายในคลายตัวออกบ้าง เมื่อแรงดันคลายตัวออกมามากในช่วงระยะเวลาประมาณ 2-3 นาที ค่อยๆ เปิดฝาหม้อน้ำต่อ ระวังไอหรือน้ำร้อนพุ่งขึ้นมา ต้องคลุมผ้าผืนหนาไว้ให้มิดชิดมาก ๆ อย่ารีบเติมน้ำลงไปในทันที ต้องรอให้เครื่องยนต์คลายความร้อน อาจต้องรอถึงกว่า 20-30 นาที การเติมน้ำต้องเติมครั้งละนิด ไม่ควรเกินครึ่งลิตรแล้วทิ้งช่วงสัก 5 นาที เพื่อให้น้ำที่เติมดึงความร้อนกระจายกันให้ทั่ว เพราะโลหะที่ร้อนจัดเมื่อถูกน้ำเย็นทันที จะหดตัวลงอย่างรวดเร็วจนร้าวหรือเสียหายได้
6. เมื่อมีรถยนต์แล่นสวนมาในเลน เหตุการณ์เช่นนี้เกิดขึ้นบ่อย โดยเฉพาะในการขับบนถนน 2 เลนสวนกัน ขั้นแรกควรลดความเร็วลง แต่อย่ามากเกินไปจนรถที่ตามมาด้านหลังชนได้ มองกระจกด้านซ้ายเพื่อหาหนทางหนีทีไล่ พร้อมกระพริบไฟสูงและบีบแตรเตือนและเบี่ยงออกทางเลนซ้าย ไม่ควรหลบข้ามเลยไปในช่องทางของรถยนต์ที่แล่นสวนมา เพราะบ่อยครั้งคนขับเพิ่งรู้สึกตัวแล้วหักหลบเข้ามาจนทำให้เกิดการชนกันได้
7. กระจกหน้าแตก มักไม่ค่อยมีปัญหาหากกระจกหน้าเป็นแบบลามิเนท 2 ชั้น ซึ่งมีแผ่นฟิล์มเหนียวคั่นกลาง เพราะจะไม่ร่วงเป็นเม็ดข้าวโพดเหมือนกระจกแบบเทมเปอร์ชั้นเดียว โดยแผ่นฟิล์มเหนียวตรงกลางจะเป็นตัวยึดไม่ให้เศษกระจกแยกออกจากกัน จึงทำให้พอมองทะลุผ่านและขับต่อไปได้ไกล ถ้าเป็นกระจกแบบเทมเปอร์ จะแตกรวดเร็วมาก เพียงจุดแตกเล็ก ๆ ทำให้เนื้อกระจกสูญเสียความแข็งแรง และเกิดรอยร้าวทั่วแผ่นเป็นฝ้าขาว จนไม่สามารถมองผ่านได้ ผู้ขับจึงต้องตั้งสติให้มั่นและค่อย ๆ ชะลอความเร็ว แล้วเบี่ยงรถยนต์เข้าสู่ไหล่ทาง ถ้าเหลือกระจกติดที่ขอบ ให้ใช่ไม้หุ้มผ้าหนา ๆ หรือกระดาษหนังสือพิมพ์ในการกระแทกเศษกระจกที่ยังติดอยู่บนขอบออกให้หมด โดยควรหากระดาษหรือผ้ารองบนแผงหน้าปิด และฝากระโปรงหน้า เพื่อป้องกันเศษกระจกหล่นลงในช่องแอร์หรือขูดขีดสีตัวถัง ขณะที่ขับรถยนต์ที่ไม่มีกระจกบังลมหน้า ควรปิดกระจกทุกบาน การเปิดกระจกหน้าต่างทำให้ลมมาปะทะคน และทำให้รถยนต์มีการทรงตัวไม่ดีจากลมที่ไหลผ่าน ถ้ามีแผ่นกันแดด หรือแว่นสายตาก็ควรนำมาใส่เพื่อป้องกันฝุ่นละออง และเศษกระจกที่อาจค้างอยู่
8. สิ่งของตกอยู่บนถนน ไม่ควรแล่นทับ เพราะอาจทำให้เกิดอันตรายหรือความเสียหายได้ ขั้นแรกควรลดความเร็ว หากช่องทางทั้งซ้าย-ขวาไม่มีรถยนต์แล่นตามหลังมา ให้หักหลบโดยพยายามเบี่ยงให้น้อยที่สุด เพราะการหักหลบมาก ๆ ในขณะที่ขับเร็ว รถยนต์อาจหมุนหรือปัดเป๋ได้ หากเลี่ยงไม่ได้ หลังการทับหรือชน ควรจอดรถและตรวจสอบชิ้นส่วนใต้ท้องรถว่ามีความเสียหายเกิดขึ้นหรือไม่ เช่น คันชัก คันส่ง ท่อส่งเชื้อเพลิง ถังน้ำมัน ยาง ฯลฯ
9. สัตว์ขวางทาง ควรลดความเร็ว แต่ไม่ควรเบรกอย่างรุนแรงหรือหักหลบทันที เพราะอาจทำให้รถยนต์พลิกคว่ำได้ และไม่ควรหักหลบไปในช่องทางที่มีรถแล่นสวนมา หากไม่เร่งรีบ ควรปล่อยให้สัตว์เหล่านั้นเดินจนพ้นจากถนน ไม่ควรบีบแตรไล่ เพราะอาจทำให้ตกใจและหันมาทำอันตรายได้ การแซงควรเลี้ยงไปด้านหลังของสัตว์ เพราะการตัดหน้าจะทำให้สัตว์ตกใจและเตลิด อันตรายต่อรถยนต์ในช่องทางอื่น
ข้อควรรู้ก่อนเดินทางไกล ขับทางไกล ความเร็วเร็วเท่าไรจึงขับรถปลอดภัย!! เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ควรขับรถด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด....... บนทางหลวง ในเขตเทศบาล รถเก๋งหรือรถปิกอัพ ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 60 กม./ชม. เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ควรขับรถด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด....... บนทางหลวง ในเขตเทศบาล รถเก๋งหรือรถปิกอัพ ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 60 กม./ชม. บนทางหลวง นอกเขตเทศบาล ให้รถเก๋งหรือปิกอัพ ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 80 กม./ชม. และ บนมอเตอร์เวย์ รถเก๋งหรือปิกอัพ ไม่เกิน 120 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 100 กม./ชม.ทั้งนี้ในเชิงเทคนิค ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากทั่วโลก การขับขี่รถที่ ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. นอกจากช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 15-20% ยังช่วยลดการตายบนถนนได้ 12-24% แต่ความเร็วดังกล่าว ไม่สามารถลดอุบัติเหตุได้ หากทุกคนประมาท เมามายขณะขับรถ และการไม่ร่วมมือกันปฏิบัติตามกฎหมาย ทั้งนี้ในเชิงเทคนิค ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากทั่วโลก การขับขี่รถที่ ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. นอกจากช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 15-20% ยังช่วยลดการตายบนถนนได้ 12-24% แต่ความเร็วดังกล่าว ไม่สามารถลดอุบัติเหตุได้ หากทุกคนประมาท เมามายขณะขับรถ และการไม่ร่วมมือกันปฏิบัติตามกฎหมาย
10 สัญญาณเตือนภัยของรถคุณ คนใช้รถทุกวันนี้ บางคนอาจจะแค่ขับไปทำงานแล้วกลับบ้าน บางคนก็ขับไปไกลๆ ถึงต่างจังหวัด มีหลายคนที่ขับอย่างเดียว โดยที่ไม่สนใจหรือเอาใจใส่รถของตัวเอง ว่ามีสิ่งผิดปกติอะไรบ้าง ทั้งที่รถทุกคันควรได้รับการดูแลและตรวจเช็คก่อนออก เดินทางทุกครั้ง เพื่อความปลอดภัยในชีวิต "ผู้จัดการ มอเตอร์ริ่ง" จึงแนะนำวิธีตรวจเช็ครถของคุณเบื้อ 1. สัญญาณเตือน เราสามารถรับสัญญาณบอกอาการผิดปกติของรถได้ โดยใช้ประสาททั้ง 5 คือ การเห็น การฟังเสียง การได้กลิ่น การจับต้องชิ้นส่วนนั้น ๆ และการลองขับดู ถ้าสังเกตพบสิ่งผิดปกติต่อไปนี้ ให้รีบทำการตรวจเช็คและซ่อมแซมโดยเร็ว ก่อนที่จะเกิดความเสียหายต่อไปยังอุปกรณ์อื่น ๆ มากขึ้นกว่าเดิม 2. เครื่องยนต์ เครื่องยนต์คือหัวใจของรถ ถ้าเครื่องยนต์มีอาการดังนี้ - เครื่องร้อนจัดเกินไป ขับไปได้ไม่เท่าไร ความร้อนก็ขึ้นสูงเสียแล้ว - เครื่องเย็นเกินไป แม้จะขับมาระยะทางไกลพอสมควรแล้ว เข็มวัดอุณหภูมิยังไม่กระดิก - มีเสียงดังผิดปกติจากเครื่องยนต์ ควรนำเข้าตรวจสภาพที่ศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ 3. ยาง การสึกหรอของดอกยางแบบต่าง ๆ บอกเราได้ว่ายางผิดปกติไปอย่างไร - ดอกยางตรงกลางล้อ สึกหรอมากกว่าขอบ แสดงว่าเติมลมแข็งเกินไป - ดอกยางขอบล้อ สึกหรอมากกว่าตรงกลาง แสดงว่าเติมลมอ่อนเกินไป - ดอกยางสึกหรอข้างใดข้างหนึ่ง แสดงว่ามุมแนวตั้งของยางไม่ตรง - ดอกยางเป็นบั้ง ๆ แสดงว่าแนวของยางไม่ขนานกับแนวเคลื่อนที่ของรถ นำรถเข้าอู่เพื่อตั้งศูนย์ล้อ หรือปรับแรงดันลมยางใหม่ 4. คลัตซ์ คลัตซ์ที่มีปัญหา จะทำให้ควบคุมเกียร์ไม่ได้ อย่าละเลยอาการเหล่านี้ - คลัตซ์ลื่น หรือเข้าคลัตซ์ไม่สนิท หรือเหยียบแป้นคลัตซ์แล้ว แต่ยังเข้าเกียร์ได้ยาก - คลัตซ์มีเสียงดัง เมื่อเหยียบแป้นคลัตซ์ - แป้นคลัตซ์สั่นขึ้น ๆ ลง ๆ ขณะกำลังขับ ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมช่วงล่าง หรือศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ 5. เกียร์ เกียร์จะทำหน้าที่เปลี่ยนแรงบิดของเครื่องยนต์ให้เหมาะสมกับความเร็ว สัญญาณบอกเหตุว่าเกียร์มีปัญหาคือ - มีเสียงดังทั้งในขณะอยู่ที่เกียร์ว่าง หรือเข้าเกียร์ใดเกียร์หนึ่งอยู่ - เปลี่ยนเกียร์ยาก มีอาการติดขัด หรือต้องขยับอยู่นาน - มีเสียงดังขณะเข้าเกียร์ ทั้ง ๆ ที่เหยียบคลัตซ์แล้ว - ห้องเกียร์มีน้ำมันหล่อลื่นไหลออกมา ควรนำรถเข้าอู่ตรวจสอบห้องเกียร์ 6. พวงมาลัย พวงมาลัยที่มีปัญหาเหล่านี้ จะทำให้อุปกรณ์อื่น ๆ เช่น ยางเฟืองท้ายชำรุดตามไปด้วย - พวงมาลัยหนัก หรือต้องใช้แรงมากผิดปกติในการบังคับเลี้ยว - พวงมาลัยหลวมเกินไป โดยมีระยะฟรีเกิน 1 นิ้ว - พวงมาลัยสั่นในขณะขับ ควรนำเข้าศูนย์บริการเฉพาะยี่ห้อ 7. เบรก ถ้าพบว่าเบรกมีอาการผิดปกติ ต้องรีบแก้ไขทันที เพราะเบรกชำรุดนำมาซึ่งอุบัติภัยได้ง่ายที่สุด ยางเฟืองท้ายชำรุดตามไปด้วย - เบรกลื่น หยุดรถไม่อยู่ แม้จะไม่ได้ลุยน้ำ - เบรกแล้วรถปัดไปข้างใดข้างหนึ่ง - แป้นเบรกยังจมลึกลงไปทั้ง ๆ ที่ถอนเท้าออกมาแล้ว ควรนำรถเข้าอู่ซ่อมเบรกทันที 8. ไฟชาร์จ ไฟชาร์จ ควรจะปรากฏขึ้นที่แผงหน้าปัดทุกครั้งที่เราสตาร์ทเครื่อง และเมื่อสตาร์ทติดแล้ว ครู่หนึ่งก็จะดับลง แต่ถ้าไฟชาร์จไม่สว่าง หรือสว่างแล้วไม่ยอมดับ อาจเกิดจากไดชาร์จผิดปกติหรือสาเหตุอื่น ๆ ก็ได้ ที่แน่ ๆ คือไม่ควรปล่อยทิ้งไว้ รีบนำรถเข้าอู่ไดชาร์จหรือระบบไฟ 9. หลอดไฟ หลอดไฟขาดบ่อย ๆ หรือต้องเติมน้ำกลั่นในหม้อแบตเตอรี่บ่อยเกินไป แสดงว่าอุปกรณ์ที่เราเรียกว่า "เรกูเลเตอร์" ซึ่งทำหน้าที่ควบคุมกระแสไฟให้เหมาะสมชำรุด ควรนำรถเข้าอู่ระบบไฟ เพื่อซ่อมเรกูเลเตอร์ หรือหากชำรุดก็อาจจะต้องเปลี่ยนใหม่ 10. น้ำมันหล่อลื่น ถ้าสัญญาณไฟเตือนระบบน้ำมันหล่อลื่นสว่างขึ้นในขณะขับขี่รถยนต์ หมายถึงว่า เครื่องยนต์กำลังทำงาน โดยปราศจากน้ำมันหล่อลื่น รีบนำรถไปยังอู่ที่ใกล้ที่สุดทันที ถ้าอู่อยู่ไกล ให้เติมน้ำมันเครื่องใส่ลงในถังน้ำมันหล่อลื่นไปก่อนเป็นการแก้ปัญหาเฉพาะหน้า แต่ถ้าเป็นสาเหตุอื่นที่ไม่ใช่น้ำมันหล่อลื่นแห้ง ควรใช้รถลากไปอู่ซ่อม
เพื่อนมันจาไปกันวัน อาทิต เอารถเต่าไปกันงะ แก๊ปมีเรียนวันจัน ขาดไม่ได้ละ - - อดไป ------------------------------------ เหอๆ :cry::cry::cry: เที่ยวเผื่อด้วยเน้ออออ
เพิ่มเติมครับ 1.คนขับเเละ ผู้โดยสารทุกคน ต้อง สวมหมวกกันนอค เเละชุดเเข่งให้พร้อม เสมอ 2.ควรเปลี่ยนยางสลิคทั้งล้อหน้าเเละหลัง ก่อนออกเดินทางทุกครั้ง เเละเมื่อจอฝนตกให้หาร้านเปลี่ยนยางเพื่อเปลี่ยนเป็นยางฝน 3.ขณะเดินทางควรเเวะเข้าปั้มน้ำมันทุกปั้ม เพื่อเช็คลมยางให้อยู่ในระดับที่เหมาะสมเสมอ 4.ก่อนออกเดินทางควรพารถขึ้น ไดโน ว่ามีเเรงม้าต่ำกว่า 1000 เเรงม้า หรือไม่ ถ้าต่ำกว่าควรเซ็ตรถใหม่ เพื่อให้อัตราเร่งขณะเเซงเพิ่มขึ้น ปล.ขำขำนะครับอิอิ