นักแข่งทุกท่าน กรุณา "อ่าน"

การสนทนาใน 'EK Group' เริ่มโดย musachi, 9 พฤษภาคม 2009

< Previous Thread | Next Thread >
  1. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    ออกตัวไว้ก่อน ว่าผมไม่อยู่ในสถานะที่จะไปสอนใครได้

    แต่เพื่อความปลอดภัย และเ ป็นการเพิ่มทักษะ รวมทั้งการรักษามารยาท

    ในสนามแข่งขัน นักแข่งทุกท่านจำเป็น

    ที่จะต้องทราบข้อมูลที่เป็นประโยชน์

    เหล่านี้

    (ใครมีข้อมูลที่เป็นประโยชน์โพสได้เลยนะครับ)
     
  2. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    สัญญานธง / อุปกรณ์ - สัญลักษณ์ต่างๆใช้ในการแข่งขัน

    สัญญาณ หมายถึง สิ่งซึ่งแสดง หรือ สื่อความหมายต่างๆในการแข่งขันประเภทของสัญญาณ

    1. สัญญาณธง

    ธงเหลืองยก - ระมัดระวัง ห้ามแซง

    ธงเหลืองโบก - อันตรายมาก เตรียมพร้อมในการหยุด และห้ามแซงโดยเด็ดขาด

    ธงเหลืองโบกพร้อมป้าย SC - อันตรายมากและมีรถ SAFETY CAR นำขบวน

    เตรียมพร้อมในการหยุดและขับตามรถ SAFETY CAR ห้ามแซงโดยเด็ดขาด

    ธงเหลืองแถบแดง - มีน้ำมันบนสนามหลบหลีกในจุดนั้น

    ธงเขียวโบก - พ้นข้อห้าม (ทางแข่งปกติ)

    ธงฟ้ายก - รถแข่งที่มาเร็วกว่าเข้ามาใกล้อย่างรวดเร็ว

    ธงฟ้าโบก - รถแข่งที่มาเร็วกว่าตามมาใกล้มากและจะแซงได้ทุกเวลา

    ธงขาว - รถช้าหรือรถพยาบาลหรือรถช่วยเหลืออยู่ในสนาม

    ธงดำครึ่งขาว (พร้อมเบอร์) - ขับรถอย่างไม่มีน้ำใจเป็นนักกีฬาในสนาม

    (เพื่อเป็นการเตือน)

    ธงดำ/วงกลมส้ม (พร้อมเบอร์) - ตัวรถแข่งตามเบอร์มีปัญหา

    กรรมการเรียกเข้าพิทในรอบต่อไป

    ธงตราหมากรุก - จบการแข่งขันโดยสมบูรณ์ (CHEQUER FLAG)

    ธงแดง ( ณ ศูนย์ควบคุม) - ให้นักแข่งหยุดการแข่งขันโดยทันที

    ธงดำพร้อมเบอร์รถ - รถแข่งเบอร์นั้นต้องออกจากการแข่งขัน

    2. สัญญาณไฟ หมายถึง การใช้ไฟเวามหมาย

    - สัญญาณไฟเขียว หมายถึง การออก สตาร์ท

    - สัญญาณไฟแดง หมายถึง การหยุด / ไม่มีการแข่งขัน

    ในการแข่งขัน บางรายการ สัญญาณไฟแดงดับ หมายถึงการออกสตาร์ท



    สัญลักษณ์ หมายถึง ป้ายต่างๆ ที่ใช้สื่อความหมายในการแข่งขัน

    1. ป้ายบอกรอบ หมายถึง ป้ายที่แสดงรอบการแข่งขัน

    2. ป้ายบอกเวลา หมายถึง ป้ายที่แสดงเวลาหรือความหมาย ณ. จุด สตาร์ท ฟินิช

    ป้าย 10 นาที : ทุกคนต้องออกจากสนาม ยกเว้น นักแข่ง, ผู้มีสิทธิ และ ทีมงาน

    ป้าย 5 นาที : เริ่มนับถอยหลัง

    ป้าย 3 นาที : รถแข่งที่เข้าตำแหน่งหลังป้ายโชว์ ต้องสตาร์ทจากท้าย,

    มีทีมงานคันละ 1 คน

    ป้าย 30 วินาที : หลังโชว์ป้ายนี้ ธงเขียวจะถูกโชว์ ที่จุดสตาร์ท

    รถแข่งทุกคันต้องออกตัวเพื่อทำการ Formation Lap

    โดยรักษาตำแหน่งสตาร์ท ห้ามซ้อมสตาร์ท ห้ามซ้อมสตาร์ท

    ไม่อนุญาตให้แซง เพื่อรักษาตำแหน่ง

    ป้าย WARM UP LAP หมายถึง รอบที่ทำการออกสตาร์ท

    ก่อนการแข่งขันจริง 1รอบ โดยต้องรักษาตำแหน่ง สตาร์ท

    และห้ามแซงโดยเด็ดขาด

    ป้าย START ENGINE หมายถึง ให้รถทุกคันสตาร์ทเครื่องยนต์ได้

    ป้าย STARTING DELAYED หมายถึง เกิดเหตุการณ์คับขัน

    และจำเป็นต้องเลื่อน การสตาร์ทออกไป

    ป้าย WET RACE หมายถึง สภาพสนามเปียก

    3. ป้ายบอกตำแหน่งสตาร์ท หมายถึง ป้ายแสดงตำแหน่งสตาร์ท

    ของรถแข่งแต่ละคันตามลำดับของ GRID START โดยตำแหน่งที่ 1

    จะเรียกว่า POLE POSITION

    4. ป้ายจำกัดเขต หมายถึง ป้ายแสดงพื้นที่เฉพาะต่างๆ อาทิเช่น

    CONTROL TOWER
    TIME CONTROL
    HEADQUATER
    BRIEFING ROOM
    SCRUTINEERING AREA
    PIT
    PADDOCK
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2009
  3. oneness

    oneness New Member Member

    441
    73
    0
    - ดีครับพี่กาญ มีประโยชน์สำหรับคนที่ไม่เคยลงสนามเลย
     
  4. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    Credit: www.siamsubaru.com

    การเข้าโค้งสำหรับมือใหม่

    เพื่อความเข้าใจโดยง่ายและปลอดภัย จะขอแบ่งการเข้าโค้งออกเป็น 4 ขั้นตอน

    เมื่อรถวิ่งมาถึงทางโค้ง สิ่งที่จะต้องทำมีดังต่อไปนี้ (ห้ามทำสลับกัน)

    1. เบรก เพื่อชะลอความเร็วให้เหมาะสมกับโค้งนั้นๆ การเบรกทำให้น้ำหนักรถถ่ายมา

    ด้านหน้า ส่งผลให้รถหน้าทิ่ม ท้ายยก ยางหน้ามี traction มากกว่ายางหลัง(หน้าเกาะ

    กว่าหลัง) ท้ายรถเบา ถ้าเบรกหนักเกินจนล้อล็อค ยางจะไถไปกับพื้นถนนและขาดการ

    ควบคุม ไม่ว่าจะหักพวงมาลัยยังไงรถก็จะไม่เลี้ยว(ยางรับภาระเกินความสามารถ)

    จนกว่าจะคลายเบรกเพื่อให้ยางรับภาระน้อยลงจึงจะสามารถควบคุมทิศทางได้อีก

    2. เปลี่ยนเกียร์ลง (shift down) เพื่อให้อัตราทดเกียร์เหมาะสมกับความเร็วระหว่างที่

    อยู่ในโค้งและกดคัน เร่งออกจากโค้ง หากเปลี่ยนเกียร์ได้ไม่นุ่มนวลจะทำให้รถมีอาการ

    หน้าทิ่ม น้ำหนักรถจะถ่ายมายังล้อหน้า

    3. ปล่อยเบรก เมื่อลดความเร็วลงอยู่ในระดับที่เหมาะสมกับโค้งแล้วให้ปล่อยเบรก ณ

    จุดนี้น้ำหนักรถจะเริ่มถ่ายไปข้างหลัง

    4. เลี้ยวและเดินคันเร่ง น้ำหนักรถจะถ่ายไปข้างหลังมากขึ้นจากการเดินคันเร่ง และถ่าย

    ไปด้านข้างจากการหักพวงมาลัยเลี้ยว น้ำหนักคันเร่งขึ้นอยู่กับสถานการณ์ อย่างน้อย

    ที่สุดให้คลอคันเร่งตลอดเวลาที่อยู่ในโค้ง ไม่ควร เข้าโค้งแบบใส่เกียร์ว่างหรือไม่เหยียบ

    คันเร่งเลย(ลอยเข้าไป) เพราะการคลอคันเร่งจะทำให้มีกำลังส่งถ่ายไปยังล้อตลอดเวลา

    ทำให้อาการรถมั่นคงขึ้น แต่ไม่ควรเกินลิมิตของยางที่รับได้เพราะจะทำให้รถ

    understeer หรือ oversteer ได้

    แรกๆอาจจะยังไม่ค่อยคล่องและมีรอยต่อระหว่างการ เบรก เปลี่ยนเกียร์ ปล่อยเบรก

    เลี้ยว เดินคันเร่ง ฝึกไปเรื่อยๆครับ พยายามทำให้ไม่มีรอยต่อระหว่างแต่ละอย่าง แล้วก็

    ปรับน้ำหนักมากน้อยของแต่ละอัน ฝึกบนนถนนในชีวิตประจำวันด้วยก็ได้นะครับ จะ

    ช่วยให้ขับได้อย่างปลอดภัยขึ้น

    สิ่งที่ควรระวังที่สุดสำหรับมือใหม่ คือ

    ไม่ควรเหยียบเบรกในขณะที่พวงมาลัยไม่ตรง (เลี้ยวไปเบรกไป) การเลี้ยวไป

    เบรก(trail braking)ไปไม่ใช่สิ่งที่ผิด อันที่จริงเป็นสิ่งที่นักขับทุกคนต้องทำได้หาก

    ต้องการจะเร็ว แต่สำหรับมือใหม่แล้วมันยากที่ตัวท่านจะรู้ถึงลิมิตของยางและอาการ

    ต่างๆของ รถตลอดจนการแก้ไขการเสียการทรงตัวของรถ ดังนั้นมือใหม่จึงยังไม่ควรใช้

    เทคนิค trail braking หรือเบรกควบคุมน้ำหนักเบรกขณะเข้าโค้ง การเบรคขณะเข้า

    โค้งส่งทำให้รถได้รับแรงจากสองทางคือ

    1. การเบรกทำให้น้ำหนักรถจะถ่ายไปอยู่ล้อหน้า ทำให้ล้อหน้าเกาะกว่าล้อหลัง น้ำหนัก

    ด้านหลังจะเบา ท้ายจะยก

    2. การเลี้ยวทำให้น้ำหนักรถถ่ายไปด้านข้างในทิศทางตรงกันข้ามกับทิศที่เราจะเลี้ยวไป

    ทำให้รถเอียงออกหนีโค้ง

    ถ้าแรงสองอย่างนี้รวมกันแล้วเกินภาระที่ยางล้อหลังจะรับได้ จะทำให้ ท้ายออกหรือ

    ท้ายปัดนั่นเอง(oversteer) จนอาจถึงขั้นรถหมุนได้

    การที่บอกไว้ด้านบนว่าให้เริ่มปล่อยเบรกและคลอคันเร่งก่อนที่จะเลี้ยวเป็น การถ่ายน้ำ

    หนักให้ไปอยู่ล้อหลังเหมือนเดิม หน้ารถจะได้ไม่ทิ่มขณะอยู่ในโค้ง น้ำหนักรถจะ

    กระจายอย่างสมดุล ไม่มีล้อใดรับภาระมากกว่าล้ออื่นเยอะๆจนทำให้เสียอาการ ล้อทั้งสี่

    จะเกาะถนนเท่าๆกัน รถจะไม่หมุน

    แต่ขณะอยู่ในโค้งหากเราเข้าโค้งด้วยความเร็วสูงเกินกว่ายางจะรับภาระได้ รถก็จะไถล

    ออกด้านนอก(แหกโค้ง หรือ understeer นั่นเอง) เพราะการเลี้ยวคือการที่รถต้อง

    พยามยามฝืนแรงที่ส่งมาจากทางตรงโดยใช้ความฝืด (friction) ที่ยางทำกับถนน เป็น

    ตัวเปลี่ยนทิศทางของรถให้เลี้ยว ถ้าหากแรงที่ส่งจากทางตรงสูงเกินไป เมื่อเราต้องการที่

    จะเลี้ยว ศักยภาพของยางในการที่จะฝืนรถให้เลี้ยวก็จะเหลือน้อยลง ถ้าหากหักพวง

    มาลัยมากเกิน รถก็จะแถออกด้านข้าง ทำให้เลี้ยวไม่เข้า วิธีแก้คือต้องชะลอ

    ความเร็ว(ยกคันเร่งหรือแตะเบรก แต่ถ้าจะแตะเบรกล้อต้องตั้งตรง ไม่เช่นนั้นก็จะกลาย

    เป็น oversteer ทำให้ท้ายออก รถหมุน) เพื่อให้ยางมีประสิทธิภาพเหลือมากพอที่จะ

    เลี้ยว


    สรุปข้อห้ามและข้อควรกระทำขณะเข้าโค้งสำหรับมือใหม่

    1. ห้ามเบรกอย่างรุนแรงขณะเข้าโค้ง

    2. ห้ามเหยียบคลัชแช่ไว้ขณะเข้าโค้ง

    3. เบรกให้เสร็จก่อนจะเริ่มเลี้ยว

    4. ไม่เปลี่ยนเกียร์ขณะอยู่ในโค้ง เพราะการ shift down ที่ไม่นุ่มนวลจะทำให้รถหน้า

    ทิ่ม และผลจะเป็นแบบ oversteer

    5. หลังจากเบรกเสร็จให้เริ่มคลอคันเร่ง (น้ำหนักคันเร่งแล้วแต่สถานการณ์ ถ้าช้าไปก็

    เติมได้ ถ้าความเร็วสูงพอแล้วก็แค่คลอไป)

    6. ถ้าไม่แน่ใจว่าโค้งนั้นต้องใช้ความเร็วเท่าใด ให้ใช้ความเร็วต่ำกว่าที่ประเมินไว้

    (ปลอดภัยไว้ก่อน)

    7. หากมีข้อสงสัยหรือไม่มั่นใจ ให้ถามคนมีประสบการณ์ทันที

    8. เมื่อไหร่ที่รู้สึกว่าเข้าโค้งแล้วไม่มั่นใจหรือกลัว แสดงว่าเราขับเร็วเกินฝีมือ ให้ชะลอ

    ความเร็วลง

    9. ไม่หักพวงมาลัยแบบฉับพลับ หรือกระตุกพวงมาลัยเวลาเลี้ยวหรือแซง เพราะจะ

    ทำให้รถเสียการทรงตัว

    10. อย่าเอาเวลาเป็นตัววัดฝีมือตัวเองเป็นอันขาด ขับช้ากว่าแต่กลับบ้านปลอดภัย ย่อม

    ดีกว่าเร็วแต่เสียวและเสี่ยง

    ผมเอง คงไม่ได้เน้นในเรื่องของเทคนิคมาก แต่คงจะเน้นเรื่องที่น่าจะทำให้ขับด้วยกัน

    ได้ปลอดภัยขึ้น (เนื้อหา มาจากสปีดซีเครทเล่มแรก)

    ๑. การที่เราจะต้องรู้ตลอดเวลา ว่ารถรอบๆตัวเรา อยู่ตรงไหนกันบ้าง เค้าพยายามจะทำ

    อะไรกันอยู่ มีคนพยายามจะแซงเราไม๊ อันนี้ก็คล้ายๆกับเวลาวิ่งบนถนน ต้องดูรอบๆ

    ตัวให้ดี แต่ไม่ได้มัวแต่ดูข้างหลัง ไม่ดูทางนะ

    ๒. ตัวเราเอง ก็ต้องพยายามสังเกตุ ว่าคนที่เรากำลังจะแซง รู้ตัวไม๊ ว่าเรากำลังวิ่งไล่

    หรือว่า กำลังจะเสียบแซงเค้าอยู่ ถ้าดูเหมือนกับว่าเค้าไม่รู้ตัวว่าเราจะแซง ต้องหาวิธี

    การทำให้เค้าเห็นเราก่อน เรื่องนี้ เราคงจะพอสังเกตุได้ คือ ถ้าคันหน้าเห็นเรา ขั้นแรก

    เค้าน่าจะเปลี่ยนไลน์ เพื่อที่จะพยายามบังเรา ถ้าเค้ายังขับไลน์ปกติ เราก็น่าจะต้องระวัง

    ถ้าคิดจะแซงเค้า

    ๓. การแซงที่ง่ายที่สุด คือ แซงทางตรง รองลงมาคือตอนเบรค ยากสุดคือแซงในโค้ง

    ๔. การแซงทางตรง ขั้นแรก เราต้องมั่นใจว่าเราออกจากโค้งด้วยสปีดที่สูงที่สุดเท่าที่จะ

    เป็นไปได้ก่อน ก็แปลว่า เราอาจจะต้องเว้นระยะจากคันหน้าบ้าง เพื่อที่จะสามารถทำให้

    ใช้พื้นที่ได้เต็มที่ ได้สปีดที่สูงที่สุด ถ้าเรามัวแต่จี้เค้าตลอด ทำให้เข้าโค้งได้ไม่เต็ม เราก็

    จะแซงเค้าทางตรงไม่ได้

    ๕. การแซงตอนเบรค โดยมารยาทคือ ถ้าเราเข้าไปได้ครึ่งคันทางด้านในของเค้าแล้ว

    เค้าควรจะให้เราไป แต่ก็เป็นแค่ไกด์ไลน์ ไม่แน่เสมอไป ที่ควรจะต้องทำก็คือ ไม่

    จำเป็นต้องเบรคลึกจนแซงเค้าไป เอาแค่ให้เท่ากับรถเค้าก็พอ ให้หัวพอๆกัน แต่เราอยู่

    ด้านใน และ ให้อยู่ใกล้เค้าให้มากที่สุดที่จะเป็นไปได้ โดยที่ไม่อันตรายเกินไป

    เนื่องจาก ถ้าเกิดชนกัน อยู่ใกล้ๆ ก็จะชนเบากว่า

    ๖. การบัง โดยมารยาท บังหนึ่งครั้ง กำลังดี ไม่ใช่โยกซ้ายขวาเพื่อจะบังให้ได้ แต่นี่ก็

    เป็นแค่ไกด์ไลน์เหมือนกัน ถ้าเป็นรอบเกือบเข้าเส้นชัย คงจะไม่ยอมกันง่ายๆ

    ๗. การศึกษาความหมายต่างๆของธงให้แม่นๆ แล้วคอยสังเกตุตลอดเวลา อันนี้ก็ตรงไป

    ตรงมา ที่เพิ่มเติมคือ ให้ลองสังเกตุความจริงจังในการโบกธงของนายสนามด้วย คือ ถ้า

    ดูว่าเค้าโบกจริงจังมากๆ ก็อาจจะแปลว่าเหตุการณ์มันอาจจะน่ากลัวมากด้วย

    ๘. การวิ่งในสนาม เค้าแนะนำว่า ให้มองคนอื่นให้เป็นส่วนนึงของสนาม ที่ไม่อยู่กับที่

    เราก็แค่ปรับไลน์ของเราให้วิ่งผ่านพวกเค้าไป อย่าไปโฟคัสที่จะแซงเค้าให้ได้อย่างเดียว

    เกินไป จะทำให้ผ่อนคลายมากกว่า

    ๙. ในรอบซ้อม เราควรจะลองไปวิ่งในไลน์ที่เหมือนกับเราจะแซง เพื่อจะได้เห็นภาพ

    และ เป็นการตรวจสอบสภาพของพื้นสนามในไลน์แปลกๆนั้นไปด้วยในตัว

    ๑๐. การขับแข่ง กับการวิ่งให้เร็ว มันเป็นสิ่งที่ต้องเรียนรู้ทั้งสองอย่าง และ จะขาดอย่าง

    ใดอย่างนึงไป ก็ไม่ดี จะเน้นแข่งได้อย่างเดียว ก็ไม่ดี จะขับคนเดียวเร็ว ก็คงไม่ชนะใน

    การแข่ง สำหรับคนที่แข่งมาตลอด ก็อาจจะลองดูเรื่องของการวิ่งคนเดียวให้เร็วได้ด้วย

    อาจจะทำให้ประสพความสำเร็จในการแข่งมากขึ้น สมดุลมากขึ้น

    วิธีฝึกก็คือ เราจะต้องคุมน้ำหนักเบรค ให้หัวทิ่มเท่าเดิมตลอด ตั้งแต่เริ่มเบรค จนถึง

    ตอนที่รถเกือบจะหยุด จะต้องค่อยๆคลาย ให้หัวทิ่มน้อยลงอย่างต่อเนื่อง จนหัวไม่ทิ่ม

    เลยตอนที่รถหยุดพอดี

    ที่จะยากก็คือ

    ๑. เราจะต้องเบรค แรง/เบา ขนาดไหน ถึงจะได้ระยะเบรคที่พอดี กับความหัวทิ่มที่จะ

    ต้องคงที่ตลอด คือ ไม่ทิ่มน้อยลง หรือ มากขึ้น จนกว่าจะถึงจุดที่เกือบจะหยุด

    ๒. พอความเร็วเริ่มลดลง ด้วยน้ำหนักเบรคเท่าเดิม หัวมันจะทิ่มมากขึ้น ดังนั้น เราจะ

    ต้องปรับน้ำหนักเบรคให้น้อยลง ถึงจะทำให้หัวทิ่มเท่าเดิมได้

    ๓. ตอนที่ค่อยๆลดน้ำหนักเบรคก่อนจะหยุด จะค่อนข้างคุมยาก เพราะต้องให้หัวค่อยๆ

    ทิ่มน้อยลงเรื่อยๆ

    ผลทางตรงของการฝึกอันนี้ คือ การที่เราจะสามารถคุมเบรคได้ดีขึ้น ถ้าคนที่อยากจะไป

    วิ่งในสนาม ถือเป็นพื้นฐานที่สำคัญมาก และ คนที่นั่งด้วย ก็จะนั่งสบายแน่ๆ แต่ก็ยังได้

    ผลทางอ้อมอื่นๆ เช่น การรับรู้เรื่องของ G-Force ที่เกิดขึ้นจากการเบรค และ สามารถ

    ปรับน้ำหนักของเท้า ตามแรง G-Force ที่เปลี่ยนไป เพื่อให้สามารถคุมน้ำหนักการ

    เบรค ให้ได้แรง G-Force ตามที่ต้องการ

    เอาง่ายๆเรื่อง Heel and Toe ก่อนละกันนะครับ ตามหลักการง่ายๆ มันคือการ

    บาลานซ์รถ เวลาที่เราต้องการลดเกียร์ ว่า จะทำ down shifting ยังไง ไม่ให้รถมี

    อาการกระชาก หรือกระตุก หรือเสียอาการ

    ในขณะที่เรา down shifting หรือ ลดเกียร์ลง รอบเครื่องจะตีขึ้นสูง เนื่องจากอัตราทด

    ของเกียร์ที่ต่ำกว่า

    ทีนี้ การจะทำให้มันนุ่มนวล ก็ต้องอาศัยการ Blip throttle(แย๊บคันเร่ง) เพื่อช่วยเร่ง

    รอบเครื่องขึ้นไปรอ ในจังหวะที่เรากำลังจะปล่อยคลัทช์

    แล้วถามว่า เกี่ยวกับคำว่า Heel and Toe ได้ไง? ก็นี่หละครับ กระบวนการลดเกียร์ลง

    มักจะอยู่ในขั้นตอนการลดความเร็วก่อนเข้าโค้ง

    โดยที่(ส่วนมาก) 1.เราจะใช้ด้านบนของเท้า(ตั้งแต่บริเวณนิ้วโป้งหรือ Toe)เป็นตัวกด

    แป้นเบรค---2.เท้าซ้ายเหยียบคลัทช์---ลดเกียร์ลง---3.ใช้ส้น เท้า(Heel)เป็นตัวแย๊บ

    คันเร่งเพื่อเร่งรอบขึ้นไปรอ---4.ปล่อยคลัทช์ ทำซ้ำจะไปถึงเกียร์จะเราจะใช้ออกจาก

    โค้งก็เป็นอันเสร็จพิธี ขั้นตอนทั้ง 4 ดูเหมือนจะง่ายนะครับ แต่ว่ามันจะต่อเนื่องกันหมด

    โดยมาก ผู้ที่หัดใหม่ๆ มักจะคุมน้ำหนักเบรคเท้าไม่อยู่ เวลาใช้ส้นเท้าแย๊บคันเร่ง ก็จะ

    เผลอกดน้ำหนักปลายเท้าที่เบรคลงไปด้วย ไม่ต้องตกใจครับ เป็นอาการปกติของคนหัด

    ใหม่
     
  5. OaT_DBS

    OaT_DBS New Member Moderator

    538
    170
    0
    ขอย้ำเรื่องอุปกรณ์ที่ต้องนำไปนะครับ
    1. หมวกกันน๊อคเต็มใบ จะเปิดคางหรือปิดคางก็ได้
    2. ถุงมือขับรถยนต์/โกคาร์ท/มอเตอร์ไซ/จักรยาน ได้หมดครับ
    3. เสื้อแขนยาว
    4. กางเกงยีนส์ขายาว
    5. รองเท้าผ้าใบ

    ตัวรถ
    สัญญาณไฟต้องใช้ได้ ไฟหน้า ไฟเบรค ไฟเลี้ยวต้องอยู่ในสภาพพร้อมใช้งาน
    เข็มขัดนิรภัยจะเป็นแบบเดิมหรือ 4จุดก็ได้แต่ต้องอยู่ในสภาพที่สมบูรณ์พร้อมใช้งานครับ
     
  6. karunyoo_EK

    karunyoo_EK New Member Member

    167
    21
    0
    ดีจริงๆเลยครับ
     
  7. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    [​IMG]

    Credit : Citymania


    - โค้งแรก (สุดทางตรง)ก็เอาเลยครับพี่น้อง โค้งนั้นจะส่งกันมาเต็มๆ ตรงยาวๆ

    แถมด้วยก่อนเข้าโค้งจะลงเขานิดๆพอผ่านเลข 2 จะขึ้นเขาหน่อยๆ

    โค้งนี้จะหลุดกันเยอะ เพราะว่าจะโดนโค้ง 1 หลอกให้เข้าไลน์ใน

    ซึ่งจริงๆแล้วต้องเกาะไลน์นอกไปก่อนเพื่อตั้งลำเข้าไลน์ในโค้ง 2

    ในกรณีรอบแรกเพิ่งออกตัวกันมาเป็นกลุ่มๆ ให้ระวังให้มากๆ

    ดูไลน์กันให้ดีๆว่าใครจะไปไลน์ไหน ถ้าเห็นใครเข้าไลน์ใน ในโค้ง 1

    ให้เดาได้เลยว่าถ้าเค้าไม่เบรค หรือความเร็วยังสูงอยู่ โค้ง 2 เค้าจะ

    บานออกอย่างไม่ต้องสงสัย และอีกอย่าง ที่โค้ง 2 ไลน์กลางๆ จะขรุขระ

    ถ้าเข้าไลน์ในไม่ได้ ให้ออกไลน์นอกด้วยความระมันระวัง

    - ช่วง 2 - 3 (U-Turn หลังเขา)จะเป็นขึ้นเขาและลงเขา ส่วนมากความเร็วจะไม่ค่อยสูง

    เพราะถูกดักไว้ตั้งแต่โค้ง 2 และขึ้นเนินมา ไลน์โค้ง 3 ไม่ยากเท่าไหร่

    - ช่วง 4 - 5 (100R) ช่วงนี้คนจะโดนหลอกให้เข้าไลน์ในตั้งแต่โค้ง 4 ทั้งๆที่

    โค้ง 4 ไม่ใช่โค้งที่มีองศาแคบ เราสามารถประคองเข้าไลน์ไปได้

    โดยแทบจะไม่ต้องเบรค และไม่ต้องเสียความเร็วอะไรมากมาย

    เข้าแค่ไลน์นอกๆ กลางๆก็สามารถผ่านไปได้แล้ว เพื่อที่ก่อนจะเข้าโค้ง 5

    จะได้ตั้งลำเข้าไลน์ได้ง่ายๆ .. ปล. หลังโค้ง 5 จะเป็นทางขึ้นเขา

    - โค้ง 6-7 (S1)อันตรายมากๆ ให้จำไว้ให้มั่น เพราะขึ้นเขามาจะไม่เห็นโค้ง

    ถ้าเราไม่ได้เข้าไลน์ไว้รอ หรือยกคันเร่งและเบรคไว้รอ

    จะทำให้เข้าไลน์ไม่ได้ รวมถึงบางคนที่ลืมหรือไม่ชินสนามพอโผล่จากเนินเขา

    ก็จะตกใจเมื่อเจอโค้ง อาจจะตกใจจนเบรคเกินกว่าเหตุ รถเสียหลักหมุน

    ปล. โค้งนี้หลุดกันเยอะเหมือนกันนะ

    - โค้ง 8-9-10 พอหลุดจากโค้ง 7 มาแล้วจะเป็นทางลงเขานิดๆ

    ช่วงนี้ความเร็วรถบางคันจะมาเร็วเหมือนกันเพราะถ้าเข้า 6-7 มาดี

    ตรงนี้สำคัญที่ พอผ่าน 8-9 มาแล้วมันต้องตั้งลำเพื่อเข้าไลน์ 10

    ซึ่งถ้าจำไม่ผิด ก่อนเข้า 10 จะเป็นขึ้นเขานิดๆ อาจจะพอดักความเร็วได้บ้าง

    แต่ทางที่ดี ไลน์ 10 ดูให้ดีๆ ระวังเรื่องความเร็วให้มากๆ

    เพราะถ้าออกจาก 8-9 มาไม่ดีพอ ก็จะไม่ได้ไลน์ที่ดีที่สุด นั้นหมายถึงว่า

    ถ้าผิดไลน์ ความเร็วของรถเราก็ต้องต่ำกว่าการเข้าไลน์ที่ถูก

    เมื่อรู้ว่าผิดไลน์แล้วก็อย่าฝืน

    - โค้ง 11 ถ้ารถแรงมากๆก็ต้องดูไลน์กันหน่อยแหละ

    แต่โดยมากโค้งนี้จะไม่มีปัญหาอะไร


    *** อ่อ พิท อยู่กลางๆโค้ง 11 ทางขวามือนะ


    *** สำคัญที่สุดคือเพื่อนร่วมแข่งขัน เมื่อไหร่ที่มีการจะแซงกัน

    ให้ระวังกันให้มากๆด้วย ถ้าเราจะแซงใครพยายามดูไลน์คันหน้าเราด้วย

    ว่าเค้าเข้าไลน์ไหน เพื่อที่ว่าถ้าเราตัดสินใจแซงในโค้ง จะได้ไม่ชนกัน

    ตัวอย่างเช่นโค้ง 1-2 ถ้าคันหน้าบ้าเลือดเข้าไลน์ในตั้งแต่โค้ง 1

    ให้ระวังไว้เลยว่าเค้ามีโอกาสจะหลุดหรือบานออกในโค้ง 2

    ย้ำนะครับ ระวังๆกันด้วย ขับๆอยู่ก็มองกระจกหลังกันด้วยว่ากำลังจะถูกแซงหรือเปล่า

    คงแนะนำกันได้เท่านี้แหละ
    _________________
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 9 พฤษภาคม 2009
  8. Dear To Mana

    Dear To Mana New Member Member

    94
    115
    0
    ขออณุญาติจากคลับเขาแล้วยังคับ เอามาโพสต์อ่ะ คริคริ :D
     

  9. น่าจะมีการประชุมนักแข่ง ก่อนการแข่งขันสักหน่อยนะ

    ขอบคุณสำหรับข้อมูลด้วยคร้าบ
     
  10. จำไม่หวัดไว้ เทคนิคมันเยอะจริงๆ แต่ยังไงก็ขอขอบคุณไว้ ณ ที่นี้เป็นอย่างสูง
     
  11. tamazung

    tamazung New Member Member

    1,024
    197
    0
    เดี๋ยวจดก่อนพอดีไม่มีเครื่องprint

    ยอดเยี่ยมครับน้ากานต์ตอนแรกนึกว่าหนีออกนอกประเทศไปซะและ อิอิ
     
  12. thananonn

    thananonn New Member Member

    1,973
    34
    0
    ขอให้แข่งกันด้วยความระมัดระวัง นะครับ
    ขำขำ กันนะครับ อภัยได้ก็อภัยกันนะครับ

    ที่สำคัญ มารยาทและการมีน้ำใจนักกีฬา เป็นสิ่งที่ดีนะครับ
     
  13. x1542

    x1542 New Member Moderator

    1,252
    156
    0
    แจ่มมาก มีสาระก็คราวนี้แหละ ขอบคุณครับ ...ขอให้นักแข่งทุกท่านเน้นความปลอดภัยเป็นหลักนะครับ อย่าคะนอง อย่างเห็นรอยยิ้มทุกคนหลังแข่งเสร็จครับ :)
     
  14. MOO - VTEC

    MOO - VTEC New Member Member

    2,228
    74
    0
    สุดยอดเลยครับ
     
  15. EK9625

    EK9625 New Member Member

    758
    86
    0
    จำไม่หมดครับเยอะมาก แต่เยี่ยมเลยครับ
     
  16. no.69

    no.69 Active Member Member

    234
    51
    28
    ข้อมูลเยี่ยมเลยน้ากานต์
     
  17. *+*DOME-VTEC *+*

    *+*DOME-VTEC *+* New Member Moderator VIP

    2,123
    167
    0
    มี pretty บริการปะครับ :)
     
  18. OaT_DBS

    OaT_DBS New Member Moderator

    538
    170
    0
    อ้าวนึกว่าโดมจะเอาไปเองซะอีก :D
     
  19. จัดมาเผื่อด้วยนะครับ
     
  20. J.EK

    J.EK New Member Member

    81
    26
    0
    ถ้าว่างอาจตามไป
     
  21. beer_beer

    beer_beer New Member Member

    225
    56
    0
    ขอบคุณมากครับน้า
     
  22. tamazung

    tamazung New Member Member

    1,024
    197
    0
    อย่าเลยแบบเมิงอ่ะเจอกันปล่อยตัวคลองมะขามเทศ ถึง ตลาดวัดตะกล่ำดีกว่ามั้ย
     
  23. BoBo_EK

    BoBo_EK New Member Member

    2,491
    146
    0
    เข้ามาศึกษาครับ
     
  24. เมื่อวันเสาร์-อาทิตย์ ถ้าคัยได้ไปดูวีออสกะยาริสที่ กกท.(ขออนุญาตินอกค่ายนิดนึง) คงได้ความรู้ผมไปนั่งศึกษาการเข้าโค้ง เพื่อไปขออนุญาติผู้จัดการส่วนตัว(มันก้อยังไม่ยอมหั้ยไปพีระ) ก้อค่อนข้างได้ความรู้

    ปล.ฮอนด้าน่าจะมีจัดใน กทม. บ้างจัง
     
  25. iodineman

    iodineman New Member Member

    186
    107
    0
    แหร่มมากน้ากาญ ความรู้แน่น สมเป็นแชมป์ สิงห์แรซซิ่ง สคูล จริงๆๆ
     
  26. NU53

    NU53 New Member Member

    641
    0
    0
    ขอบคุณคับ ข้อมูลมีประโยชน์มากคับ


    ถ้ามีเวลา จะตามไปเชียร์นะคับ
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 12 พฤษภาคม 2009
  27. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    เพิ่มเติม

    ก๊อปจาก club si มาอีกที

    ต้องขออนุญาตนำบทความของพี่ Okumi Club RT และอ.อั๋น จาก siamsubaru ครับ คิดว่าคงเป็นประโยชน์กับพี่ๆ น้องๆ


    ข้อแนะนำในการเตรียมตัวขับขี่
    1. SAFETY FIRST
    1.1 ตัวรถ

    เช็คให้อยู่ในสภาพที่สมบูรณ์ ตรวจเช็คสภาพรถโดยทั่วๆไป ระดับน้ำในหม้อน้ำ น้ำมัน

    เครื่อง น้ำมันเบรค สภาพสายพาน สายเบรค จุดยึดต่างๆลองโยกดูว่ามีหลวมหรือหลุด

    หรือไม่ เช็คสภาพยาง ลมยาง (ควรเติมประมาณ 36 ปอนด์) เช็คว่า safety belt ยัง

    งานได้ดีหรือเปล่า ที่สำคัญคือว่าให้เอาสิ่งของที่ไม่จำเป็นออกจากรถให้หมดก่อนออก

    จากบ้านนะครับ อย่าให้มีสิ่งของที่กลิ้งได้อยู่ในรถหรือท้ายรถแม้แต่อย่างเดียวนะครับ

    อย่าคิดว่าจะเอาออกที่สนามนะครับเพราะว่าเอามากองๆกันที่สนามโอกาสหายสูง ดัง

    นั้นเอาออกให้หมดก่อนออกจากบ้านนะครับ ก่อนเข้าสนามแนะนำให้เติมน้ำมันให้เต็ม

    ถังครับเพราะว่าเราอยู่ทั้งวันเดี๋ยวต้องออกไปเติมบ่อยๆ ปั๊มน้ำมันก็ไกล


    1.2 ผู้ขับ

    เตรียมร่างกายให้พร้อมโดยการพักผ่อนให้เพียงพอ ดื่มน้ำให้เพียงพอ ห้ามดื่มของ

    มึนเมา ควรแต่งการด้วยชุดสบายๆ เตรียมผ้าขนหนูมาซักผืนเอาไว้เช็ดหน้าซักผืน

    รองเท้าควรเป็นผ้าใบหุ้มข้อ ห้ามส้นสูงหรือรองเท้าแตะ หากสวมหมวกกันน็อคได้จะดี

    มาก

    1.3 สภาพสนาม


    ในการขับสามรอบแรกควรใช้ความเร็วต่ำเพื่อสำรวจสภาพสนามเสียก่อนว่ามีอุปสรรค

    อะไรบ้าง โค้งไหนที่อันตราย พื้นสนามเป็นอย่างไร มีน้ำหรือดินอยู่บนสนามหรือไม่


    2. ศึกษาสนามและ line การขับ

    ก่อนจะมาซ้อมควรศึกษา line มาล่วงหน้าเพื่อเป็นการประหยัดเวลา

    3. กฎ กติกา มารยาท


    3.1 การลงไปขับในสนามต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง ทั้งผู้ขับและผู้นั่ง

    3.2 ต้องขับตาม line ที่กำหนดให้เท่านั้น ห้ามสวนทางโดยเด็ดขาด

    3.3 ต้องเข้าออก pit ตามจุดที่กำหนดให้เท่านั้น ห้ามใช้ความเร็วใน pit lane โดยเด็ด

    ขาด

    3.4 ถ้ารถเกิดมีปัญหาให้จอดข้างทางโดยล้อทั้งสี่ต้องอยู่นอกเลนวิ่ง แล้วเปิดไฟฉุกเฉิน

    3.5 การแซง คันหน้าที่ช้ากว่าควรจะให้คันหลังที่เร็วกว่าแซง ผู้ที่

    ปล่อยให้แซงควรลดความเร็วลงเล็กน้อยแต่ไม่ควรเหยียบเบรคกระทันหันและไม่ควร

    เปลี่ยนไลน์การวิ่ง ให้อยู่ในไลน์ที่วิ่งอยู่เพราะคันหลังอาจสับสนจนเกิดอุบัติเหตุได้ ถ้า

    อยู่ในโค้งให้รอจนถึงทางตรงแล้วถึงปล่อยให้แซง



    3.6 ให้สังเกตุสัญญาณธง หากมีธงแดงให้ชลอและเข้า pit หามีธงเหลืองให้ขับช้าลงใน

    บริเวณนั้นๆ


    4. ข้อควรปฏิบัติก่อนลงทำการขับ

    4.1 ปรับตำแหน่งเบาะนั่งให้อยู่ในตำแหน่งที่ถูกต้อง ขาต้องไม่เหยียดตึงเมื่อเหยียบ

    แป้นต่างๆจนสุด แขนต้องไม่เหยียดตรงเมื่อทำการเลี้ยวเพราะจะเป็นการโหนพวง

    มาลัยทำให้บังคับได้ไม่ดีและไม่ปลอดภัยหากเกิดอุบัติเหตุ

    5. ข้อควรสังเกตุระหว่างขับ

    ควรมองเกจ์ต่างๆบนหน้าปัดว่ามีสิ่งใดผิดปรกติดอยู่เสมอๆเช่นเข็มความร้อน ไฟเตือน

    engine check และคอยฟังเสียง สังเกตุอาการต่างๆที่ผิดปรกติ ถ้ามีสิ่งปรกติเกิดขึ้นให้

    ลดความเร็วและนำรถเข้า pit อย่าฝืน หากมีน้ำมันเครื่องรั่วไหลให้รีบนำรถเข้าข้างทาง

    ทันทีและดับเครื่อง ห้ามฝืนขับต่อเนื่องจากจะเป็นอันตรายต่อผู้อื่น


    5. ในกรณีที่รถเกิดหมุน

    ถ้าเกิดรถควบคุมไม่อยู่แล้วรถหมุนให้เหยียบเบรคค้างไว้เลยจนกว่ารถจะหยุดนิ่งจริงๆ

    นะครับ ช่วงก่อนหยุดมักจะชอบปล่อยเบรคให้รถมันเลี้อยเล่น ยิ่งถอยหลังยิ่งไม่ยอม

    เบรค ถ้าช่วงที่เอาไม่อยู่จริงๆแล้วไม่ต้องไป countersteer ให้เสียเวลานะครับ ทำล้อ

    ตรงๆแล้วเบรคให้สุดไปเลย

    4. การขับอย่างถูกวิธี

    4.1 การจับพวงมาลัย

    ห้ามโหนพวงมาลัยหรือหงายสอดมือสาวพวงมาลัย เวลาคืนพวงมาลัยให้ใช้มือส่งอย่า

    ปล่อยแล้วจับ

    เทคนิคการจับพวงมาลัยมีสองแบบคือ

    4.1.1 Crosshand การ จับไม่ปล่อย ปล่อยเมื่อมันไขว้กัน

    4.1.2 Push and pull การ ปล่อยจับ ตามๆกัน ไม่มีไขว้แขน

    4.2 การเบรค

    โดยทั่วไปแล้วเราจะใช้ประสิทธิภาพของรถจาก 100% ในด้านต่างๆดังต่อไปนี้

    เครื่องยนต์ 70-100%

    ช่วงล่าง 50-70%

    เบรก 30-50%

    การเบรคที่ดีนั้น ไม่เพียงแต่ได้ระยะสั้นที่สุด แต่ต้องควบคุมทิศทางขณะเบรคได้ด้วย

    การเบรคที่ดีคือการเบรคที่รุนแรงแต่อยู่ในลิมิตของยางและช่วงล่าง

    reaction ในขณะที่ยกเท้าจากคันเร่งมากดเบรคก็ทำให้ระยะเบรคต่างกันได้เยอะ

    4.3 การเข้าโค้ง

    การเข้าโค้งนั้นควรจะศึกษา line และความเร็วที่รถของเราสามารถเข้าโค้งได้ เริ่มต้น

    ควรจะเบรคในทางตรงและถ้าต้องมีการลดเกียร์ควรทำให้เรียบร้อยก่อนจะเริ่มเลี้ยว

    การใช้ eye technics ควรจะกำหนดจุดมองให้ห่างจากหน้ารถไปยังเส้นทางที่จะไป

    เท่าที่จะทำได้ มองจุดเบรคจุดเลี้ยวล่วงหน้า เมื่อถึงจุดเบรคให้มองจุด apex ไว้เลย เมื่อ

    เลี้ยวเข้าใกล้จุด apex ให้มองไปยังจุดทางออกโดยใช้หางตามองว่าเข้า apex ถูกต้อง

    ไหม

    การทำ downshift เพื่อทำ engine break จะเป็นการใช้แรงเครื่องช่วยฉุดให้เบรคได้

    สั้นขึ้น แต่ข้อควรระวังคือรถอาจเกิดอาการล้อล็อคได้ทำให้ควบคุมทิศทางไม่ได้ ยิ่งถ้า

    ถนนลื่นหรือฝนตกต้องระวังให้มาก การใช้ควรดูรอบเครื่องที่เหมาะสมว่าตอนเบรคแล้ว

    รอบที่เท่าไหร่ถึงควรจะ downshift เกียร์ลง

    สังเกตุจากอาการของรถว่าไม่มีการล็อคของล้อ เวลาปล่อยครัชต์ควรผ่อนช่วยไม่ให้ล้อ

    ล็อคด้วย

    - ในขณะที่เลี้ยวห้ามเหยียบครัชต์ค้างไว้

    - ควรมีการเดินคันเร่งเพื่อกระจายน้ำหนักของรถและเพิ่มแรงยึดเกาะถนน

    - การออกจากโค้งไม่ควรกระทืบคันเร่งอย่างรุนแรง ควรจะค่อยๆเร่งขึ้นไปอย่างต่อ

    เนื่อง

    การหักพวงมาลัยควรจะหักให้น้อยที่สุดเท่าที่จำเป็น ใช้พื้นที่ของสนามให้เต็มที่ ใช้ eye

    technic ดูจุดเบรค จุดเลี้ยว จุดที่ออกจากโค้งเพื่อให้ใช้สนามได้เต็มที่

    อาการ Understeer และ Oversteer

    ถ้ารถมีอาการ over หรือ understeer นั้นแปลว่าเราเข้าโค้งด้วยความเร็วที่มากเกิน

    หรือมุมเลี้ยวแคบเกินกว่าที่ช่วงล่างและยางจะรับได้ การขับที่ดีนั้นคือจุดที่รถเกือบจะ

    ออกอาการข้างต้น (คุมได้เต็มที่)
     
  28. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    บรรยาย line พีระ


    ขอบคุณ และขออนุญาติ

    อาจารย์ อั๋น ด้วยครับ

    http://www.siamsubaru.com/board/index.php?topic=24978.0


    โค้งสุดทางตรง

    มาเริ่มกันเลยที่โค้งแรก โค้งที่หวาดเสียวอันดับต้นๆของสนามเลย

    นั่นคือ โค้งสุดทางตรงนั่นเองครับ

    ตรงนี้ เช่นเดียวกับทุกๆสนามที่ผมแนะนำมาตลอดคือ จะไม่มีจุดเบรคตายตัว เพราะ

    รถแต่ละคัน เซตมาคนละแบบ ความเร็วที่มาถึงจุดเบรคก็ห่างกันเยอะ ในรถแต่ละคัน

    ดังนั้น ผมจะบอกให้คร่าวๆ ไว้แล้วกันครับ จุดเบรคสำหรับรถขับ4 เดิมหรือไม่

    เดิมก็ตามแต่ จะเริ่มต้นประมาณก่อนถึงทางออกจากพิทฝั่งขวา ลดหลั่นไปตาม

    ความเร็วที่ส่งลงมา

    ขาลง เราสามารถใช้ได้หลากหลายไลน์มากๆครับ ไม่ว่าจะเป็นวิ่งริมฝั่งขวา วิ่งกลาง

    แทรค หรือแม้แต่วิ่งหนีบฝั่งซ้ายลงไป ลองมองดูที่ Layout สนามนะครับ

    ตรงนั้น จริงๆแล้วจะเป็นลักษณะ สองโค้งต่อกัน มากกว่าเป็นโค้งเดียว วิธี attack จึง

    สามารถทำได้หลายแบบ ตามที่บอกไป จุดสำคัญ อยู่ที่ สปีดที่ส่งลงไปมากกว่าครับ

    เราจำเป็นต้องคำนวนสปีดให้ดี ไม่มาก และไม่น้อยเกินไป การทำ down shifting ก็

    เช่นกัน จำเป็นต้องทำด้วยความนุ่มนวลเป็นพิเศษ เนื่องจากขาลง เป็นสโลป เอียงไป

    ทางขวา รวมถึงพื้นสนาม มีคลื่นมีลอนเล็กน้อยตรงจุดเบรค ดังนั้น ต้องคุมน้ำหนัก

    เบรคให้ดี เพื่อให้รถเสียอาการน้อยที่สุด



    ถ้าต้องการ concentrate กับการเบรค ผมแนะนำให้เบรคลงไปโดยไม่ต้อง

    downshifting ช่วย จนกว่าจะถึงด้านล่าง หรือจุดที่จะเริ่มเลี้ยว ค่อยลดเกียร์(แบบ

    ข้ามเกียร์มาเลย) วิธีนี้ ทำให้เราไม่ต้องพะวงกับอย่างอื่น พุ่งสมาธิไปที่การเบรค และ

    ไลน์ 100% เมื่อถึงจุดที่เริ่มจะ turn ตรงนี้ก็มีหลายรูปแบบเช่นกัน ถ้าสำหรับผม

    ผมใช้วิธี turn ก่อนถึงหญ้าฝั่งขวาประมาณ 1 คันรถ แล้วรีบเล็งไปที่จุด apex ฝั่งซ้าย

    ขาขึ้นทันที ตรงนี้ พยายามทำให้เป็นเส้นโค้งน้อยที่สุดครับ มองทะลุตั้งแต่ apex ซ้าย

    ไปถึงแบ๊งค์ ฝั่งขวา เดินคันเร่ง/คุมพวงมาลัยเนียนๆ อย่าฝืนพวงมาลัยไว้ครับ

    ปล่อยให้รถวิ่งไปเต็มไลน์ให้มากที่สุด(ตอนขาขึ้น)

    อ่ะ จบไป1โค้งครับ เดี๋ยวว่างๆมาต่อกันกับ 5 โค้งที่เหลือ


    U-Turn หลังเขา


    มาถึงโค้งที่สอง นั่นก็คือ ยูเทิร์น ที่พวกเราเรียกกันติดปากว่า ยูเทิร์นหลังเขาครับ

    โค้งนี้ จริงๆ ไม่ได้ยากครับ แต่ข้อผิดพลาดส่วนใหญ่ ไม่น่าเชื่อว่าจะเกิดจากโค้งนี้เป็น

    ส่วนมาก

    วิธีการ attack โค้งลักษณะนี้ ถ้าเป็นรถประเภทอื่นๆ เช่น รถล้อเปิด รถขับหน้า ผม

    จะไม่พูดถึงตอนนี้ แต่จะโยงให้ฟังทีหลังนะครับ

    จุดสำคัญของโค้งนี้ คือจุดที่เราตัดสินใจเบรค และความเร็วที่เราสามารถลดลงมาได้

    เมื่อเริ่มเบรค รวมไปถึงการเทรลลิ่งเบรคเข้าไปในโค้งครับ

    ด้วยความเร็วที่เราส่งขึ้นมาจากโค้งแรก ก่อนถึงจุดเบรคตรงยูเทิร์น ก็น่าจะมี

    ประมาณเกียร์ 4 แน่ๆ ดังนั้น สิ่งที่ไม่ควรทำอย่างยิ่งคือ การพยายามเบรคลึกเกินไป

    เนื่องด้วยโค้งลักษณะนี้ เป็นโค้งที่ผมเรียกว่า Rotation turn หรือ โค้งประเภทที่ต้อง

    เปลี่ยนทิศทางรถค่อนข้างมาก ดังนั้นเราต้องดูรัศมีโค้งเป็นหลักครับ

    การจะพยายามเข้า หรือออกจากโค้งแบบนี้ด้วยความเร็วที่สูงเกินไป (overspeed)

    มักจะออกมาไม่ค่อยสวยนัก ถ้าเร็วเกินไปตอนขาเข้า นั่นทำให้หน้าไถ

    เดินคันเร่งกลางโค้งไม่ได้ ถ้าเร็วเกินไปตรงขาออก แน่นอน หน้าไถอีก ก็ต้องยกๆ

    คลอๆ ตอนช่วงขาออก เสียเวลากันไปอีกครับ

    ดังนั้น เราจำเป็นต้องหาความเร็วที่พอดีที่สุด ด้วยการคุมน้ำหนักเบรคตอนขาเข้า รวม

    ไปถึงการเทรลลิ่งเบรคเข้าไปในโค้ง เพื่อคุมน้ำหนักรถด้านหน้า

    จนไปถึงจุด transition หรือจุดที่จะเปลี่ยนจากเบรคมาเป็นคันเร่ง ต้องนุ่มเนียน และ

    รวดเร็ว พยายามอย่าให้เกิดอาการกระตุกครับ

    ขาออก ก็เช่นกันครับ การรีบร้อนเดินคันเร่งเกินไป หรือขืนพวงมาลัยมากไป มัก

    ทำให้เกิดอาการ under ได้เช่นกัน

    ย้อนกลับมาที่ไลน์ที่จะเข้าโค้งนี้นิดนึงครับ ไลน์ที่ผมแนะนำสำหรับรถขับ4

    ไม่ใช่ไลน์ยอดฮิตแบบ ทิ่มไปเบรคลึกๆ แล้วเลี้ยวออกมาเช็ด late apex

    แบบที่รถหลายๆแบบทำกันนะครับ ผมแนะนำให้ใช้วิธีเลี้ยวก่อนนิดหน่อย แต่เลี้ยว

    ไปตลอดไลน์..... งงมั้ยครับ ไม่ใช่การบีบไลน์นะครับ

    แต่เป็นการทำให้ไลน์ไม่ถูกบีบมากเกินไปที่จุดใดจุดนึง นั่นคือ เมื่อเราเริ่ม turn พวง

    มาลัย เราจะเพิ่มองศาการ turn มากขึ้นเรื่อยๆจนถึงจุด apex

    ตรงนี้เราเริ่มคืนพวงมาลัย เราจะได้รัศมีเท่ากับขาเข้า คืนด้วยการเพิ่มองศากลับไป จน

    กระทั่งพวงมาลัยตรง ในขณะที่รถเราไปถึงขอบแบ๊งค์ฝั่งซ้าย

    ตรงทางออกพอดี ลองนึกภาพตามไปนะครับ

    ความสำคัญของทั้งขาออกและขาเข้าสำหรับโค้งนี้ก็คือ


    มันเป็นโค้งที่มีส่วนสร้างสปีดกับโค้งเร็วที่เหลือเกือบทั้งหมดครับ

    ตั้งแต่ 100R ไปถึง S1 S2

    เริ่มต้นมาจากโค้งยูเทิร์น ซึ่งเป็นโค้งแคบๆนี่ละครับ เพราะฉะนั้น ตัดสินใจให้ดีครับ

    เลือกให้ถูก ทั้งจุดเบรค ไลน์ วิธีเบรค วิธีเลี้ยว วิธีเดินคันเร่ง

    หวังว่า คงไม่ทำให้เครียดกันนะครับ
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 13 พฤษภาคม 2009
  29. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    100R!!

    โค้งที่คนพูดถึงมากโค้งนึงในสนามพีระ จะบอกว่า พูดถึงมากที่สุดเลย ก็น่าจะใช่

    ครับแล้วเค้าพูดถึงอะไรกัน?

    โค้งนี้มีอะไรให้พูดถึง?

    บางคนว่า เป็นโค้งที่น่ากลัวที่สุด บางคนว่า เป็นโค้งที่มันส์ที่สุด บางคนว่า เป็นโค้ง

    ที่แซงยาก แต่บางคนบอกว่า นี่ล่ะ จุดที่จะแซง

    เอาละฮะ เกริ่นมาพอควร ผมว่าเรามาเริ่มต้นด้วยการดู Layout ของโค้งนี้กันดีกว่า

    (รูปอยู่หน้าแรกครับ)


    จากยูเทิร์นหลังเขาลงมา ในรูปจะเห็นว่า มีโค้งขวาอยู่ติดกันสองโค้งด้วยกัน ดู

    แล้วก็ไม่เห็นจะยากเย็นอะไร แค่ out-in-out ง่ายๆเหมือนโค้งอื่นๆ

    แต่......ด้วยความที่มันเป็นโค้งหลอกตานิดๆ(ตรงขาเข้า) ทำให้ดูเหมือนรถวิ่งเข้าไปหา

    กำแพง(ซึ่งดูแล้วใกล้จริงๆ) ทำให้หลายๆท่านเกิดอาการ"แหยง"

    คือกลัวไปซะก่อนที่จะเข้าด้วยซ้ำ วิธีที่ง่าย แต่ทำจริงๆยากคือ การมองหาจุดที่จะเริ่ม

    เบรค+เลี้ยว แล้วเบรคตรงไหน เบรคแค่ไหน? เริ่มเลี้ยวตรงไหน?

    นี่ก็เป็นคำถามตามมาอีก จุดเบรคตรงนี้ ก็เหมือนอีกหลายๆสนาม หลายๆโค้งครับ

    นั่นคือ... ไม่มีจุดเบรคตายตัว เพราะมันขึ้นกับความเร็วที่ส่งลงมา


    จากยูเทิร์นหลังเขา ส่งมาลงมาเร็ว ก็แน่นอนว่าอาจจะต้องเบรคก่อน หรือเบรคเยอะ

    กว่ารถที่ออกยูเทิร์นมาไม่เร็วนัก รวมไปถึงสมรรถนะยาง

    น้ำหนักรถ จะว่าไปก็คือ factor ตรงนี้ ผมใช้คำง่ายๆว่า รถใครรถมัน ไม่มีสูตร

    สำเร็จจะดีกว่า


    หลายท่านบอกว่า เฮ้ยพี่ ผมไม่เบรคเลย ขาเข้า100R ฮ่าๆๆ คุณทำได้

    ครับ ถ้ารถคุณหนักไม่ถึงตัน หรือ รถคุณไม่มีแรงจะส่ง ไม่มีสปีดลงมา

    พอถึงขาเข้า ถ้าไปเบรคอีก ก็พอดี เพื่อนๆข้างหลังทิ่มบั้นท้ายเอาแน่นอน

    แต่กับรถขับ4แบบพวกเรา เป็นไปไม่ได้ครับที่จะไม่เบรค (พวกยกคันเร่งมา

    แต่ไก่โห่ หรือพวกออกจากยูเทิร์นมาห่วยๆ ไม่นับนะครับ)

    คือถ้าจะ attack จริงๆ ไล่ลงมาจาก โค้งยูเทิร์น ยังไง สปีดในรถแบบพวกเรา น่าจะมี

    ประมาณเกียร์5 หรือ ปลายๆเกียร์4 ก็ไปดูกันเอาเองครับ

    ว่าประมาณเท่าไหร่ และถ้าเค้าไปด้วยสปีดขนาดนั้นโดยไม่เบรคเลย จะเกิดอะไรขึ้น


    อ่ะ งั้นถ้าจะเบรค ก็ควรจะทำแค่เพื่อ"ลดความเร็ว"ลงมาอยู่ในสปีดที่พอเหมาะ

    เริ่มเลี้ยวแบบ early นิดๆ นิดเดียวนะครับ ไม่มากเกินไป

    เพราะถ้ามากไป ทั่นจะไปตุงอยู่ที่แบ๊งค์ฝั่งซ้ายด้านใน เดินคันเร่งออกมาลำบาก และ

    ก็ไม่ใช่ late จนเกินไป เพราะรถแบบพวกเรา มีน้ำหนักมาก ถ้าจะ late

    หมายความว่า อาจจะต้องเบรคลงไปเยอะ เป็นเหตุให้สปีดตกอีก

    พูดถึงคันเร่งกันนิดนึงครับ จากจุดที่เบรค จนถึงจุดที่เริ่มเลี้ยว พอรถตั้งลำจะเข้าได้

    แล้ว ก็เตรียมเดินคันเร่งได้เลย ท่อนแรก อาจะจะรู้สึกเสียวๆหน่อย

    เพราะโค้งมันหลอกตาครับ แต่พอเข้าไปแล้ว จะรู้ว่ามีพื้นที่เหลือพอควร ไปให้สุด

    ไลน์ เกือบๆถึงแบ๊งค์ซ้ายแรกครับ นั่นคือจบท่อนแรก



    ท่อนที่สอง.... ถ้าคิดว่าท่อนแรกเสียว หรือยากแล้ว ท่อนนี้น่าจะหนักกว่า

    นิดๆ เพราะสปีดที่จะต้องใช้ต่อไป มีแต่เพิ่มขึ้นๆๆ ไปเรื่อย

    ในขณะที่ ลักษณะพื้นผิวตรงท่อนสอง ดูแล้วเหมือนกับว่าจะเอียงออกด้านนอก เชิญ

    ชวนให้กระเด็นไปหากำแพงมากกว่า

    ตรงนี้ การเดินคันเร่ง และการมอง สำคัญครับ ถ้ามัวแต่เกร็ง พอเดินคันเร่งรถจะ

    ออกแนวสไลด์นิดๆไปด้านข้าง ก็คงอดเผลอไม่ได้ที่จะต้องไปมองว่า

    ใกล้ตกหญ้ารึยัง ซึ่งนั่นทำให้อันตรายมาก เราจำเป็นต้องมอง"ไลน์ที่จะพารถไป"

    มากกว่าจะทำแบบนั้นครับ

    ตรงทางออกท่อนสอง มีหลายไลน์ที่ใช้กัน นักแข่งบางคนบอกให้เดินคันเร่งให้เต็ม

    ไปจนถึงสุดแบงค์ซ้าย เรียกว่าไต่ขอบหญ้ากันเลย

    แต่ก็มีอีกหลายคน ที่เลือกไลน์ตรงกลาง ไม่นอก ไม่ในมากเกินไป ซึ่งผมกกำลังจะ

    อธิบายว่า มันไม่มีไลน์ไหน ผิด หรือถูก 100% รถแรงน้อยๆ

    หรือรถที่อัตราทดเกียร์ไม่ดี จำเป็นต้องรักษารอบเพื่อไต่ขึ้น S1 ก็อาจจำเป็นต้องใช้

    การเดินคันเร่งเต็มเหนี่ยว ให้รถบานไปสุดไลน์ เพื่อไม่ให้รอบตก

    ในขณะที่รถแรงบิดดีๆ แบบขับ4 อาจจะไม่จำเป็นก็ได้ ในเมื่อมีกำลังพาขึ้นไป ก็

    อาจจะใช้วิธีออกไปแนวกลางๆหน่อย เพื่อให้ชิดฝั่งขวาก่อนเข้า S1

    ไอ้สองไลน์นี้ ผมเคยเห็นนักแข่งระดับหัวแถว วิ่งไล่กันขึ้นมาจนถึงS1 ด้วยไลน์สอง

    แบบ บอกได้เลยว่า ไม่แตกต่างกันเลย

    จุดสำคัญคือ พยายามรักษาสมดุลย์รถให้ดีมากกว่า อย่าให้รถออกอาการตุปัดตุเป๋

    การเดินคันเร่ง พยายามทำให้นุ่มเนียน ไม่ใช่เหยียบๆยกๆ

    แล้วท่านจะไปถึง S1 โดยสวัสดิภาพครับ
     
  30. musachi

    musachi New Member VIP

    2,336
    264
    0
    S1


    อ่ะ มาว่ากันที่โค้งน่าเสียวอันดับสองของพีระครับ เจ้า S1 นี่เอง




    ทำไมถึงบอกว่าเป็นโค้งที่น่าหวาดเสียว? เพราะความที่เราส่งขึ้นมาจาก

    100R ด้วยความเร็วสูง แล้วขึ้นเนิน

    เราไม่มีทางได้เห็นโค้ง S1 ก่อนได้เลย เพราะทั้งจุดเบรค หรือจุดที่จะให้เล็งไลน์นั้น

    อยู่ด้านหลังเนิน กว่าจะได้เห็น ก็ใกล้มาก

    นี่เป็นสาเหตุที่ทำให้มือใหม่หลายๆท่าน กะไม่ถูก คือกว่าจะเห็น ก็เกือบๆจะถึงจุด

    เบรคซะแล้ว

    คำแนะนำของผม สำหรับมือใหม่ๆ คือ วิ่งผ่านโค้งนี้ด้วยความเร็วไม่มากซะ


    ก่อน จนกระทั่งจำทั้งจุดเบรค และไลน์ได้แบบมั่นใจ

    แล้วจึงค่อยๆเพิ่มความเร็วมากขึ้นๆ จนกระทั่งถึงจุดที่ต้องเริ่มปีนขอบแบ๊งค์

    ถ้าจะอธิบายกันซะหน่อยก็คือ การเข้า S ให้เร็ว คือทำยังไงก็ได้ให้ไลน์ที่วิ่ง เป็น

    เส้นตรงมากที่สุดเท่าที่จะทำได้ หรือเท่าที่รถจะวิ่งไปได้

    ทีนี้ จะทำเป็นเส้นตรงได้ ก็คือ ต้องปีนแบ๊งค์ ปีนขอบปูนขาวแดงมากขึ้นเรื่อยๆ นั่น

    หมายความว่า เมื่อเริ่มเพิ่มความเร็วในการเข้าโค้ง

    เราก็ต้องturn early มากขึ้น เพื่อทำให้เป็นเส้นโค้งน้อยลง ถูกมั้ยครับ? ในขณะ

    เดียวกัน การมองไลน์ใน S1 ต้องมองแบบทะลุโค้ง

    คือมองยาวตั้งแต่ทางเข้า-กลางโค้ง-ทางออก คือมองไปจนสุดขอบแบ๊งค์ฝั่งซ้ายตรง

    ทางออกกันไปเลย

    จุดเบรค ตรงนี้ก็เช่นเดียวกับทุกๆโค้งครับ คือ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ถูกส่งขึ้น

    มากจาก 100R รวมไปถึงสมรรถนะการลดความเร็วของท่าน

    แต่โดยมาตรฐาน จุดที่ท่านจะเบรค อยู่ก่อนถึงจุดที่จะเริ่ม turn เล็กน้อยครับ นั่นก็

    คือบริเวณพื้นที่ก่อนแบ๊งค์ขาวแดงฝั่งขวาตรงทางเข้า


    ดังนั้น ขั้นตอนง่ายๆ( แต่ทำยาก) คือ ชิดขอบแทรคฝั่งขวา--เล็งจุดเบรค--เบรค--ลด

    เกียร์--เริ่มturnพร้อมเดินคันเร่งยาวจนถึงทางออกครับ

    Tips หลักๆสำหรับโค้งนี้ก็คือ

    1. ต้องแม่น แม่นนี่คือ แม่นจุดเบรค แม่นไลน์ที่จะไป ไม่ว่าจะปีนหรือไม่ปีนแบ๊งค์

    2. ต้องมั่นใจ ถ้าท่านลังเล ไม่ว่าตรงไหนของโค้งนี้ ทั้งทางเข้า กลางโค้ง หรือทางออก ท่านอาจจะจบโค้งนี้ที่กำแพง

    3.คันเร่งต้องเต็ม ต้องตัดสินใจให้ดีครับ ตั้งแต่จุด transit จากเบรค มาคันเร่ง คือ เมือเริ่มเดินคันเร่งเมื่อไหร่ จะมีไม่มีการเหยียบๆยกๆอีก

    การทำแบบนั้น(เหยียบๆยก) ส่งผลให้รถเกิดอาการถ่ายน้ำหนักที่ไม่จำเป็น โดยเฉพาะโค้งความเร็วสูงแบบ S1 ที่ต้องการความแม่นเป็นหลัก

    สิ่งที่ท่านทำได้มากที่สุดกับคันเร่งในโค้งนี้ คือ แค่คลอคันเร่งก่อนเข้านิดเดียวเท่านั้นครับ ที่เหลือคือ กดเต็ม

    ที่ผมบอกให้กดตั้งแต่เริ่มเข้า ก็เพื่อให้รถมีแทรคชั่นเต็มๆเข้าไปในโค้ง และปัญหาที่พบบ่อยก็คือ การที่เราไม่กล้ากดคันเร่งขาเข้า

    ยิ่งทำให้เราเสี่ยงต่อการหลุดไลน์ และหลุดโค้งนี้มากขึ้น ( ไม่กดคันเร่ง--รถไม่มีtraction--รถหลุดไลน์ไปถึงขอบทางออกก่อน--หลุดโค้ง)

    4. ไม่มีการเบรคในโค้งนี้เด็ดขาด ไม่ว่ากรณีใดๆครับ เหตุผลนั้น ต่อเนื่องมาจากข้อ3ครับ เผลอแตะเบรคเมื่อไหร่ ท่านมีสิทธิ์ spin out

    และแน่นอนครับ ถ้าหมุนแบบนั้นก็ตัวใครตัวมันแน่นอน


    นั่นคือ tips เบื้องต้นที่จำเป็นต้องทำให้ได้นะครับ ถ้าคิดจะเข้า S1 ให้เร็ว จริงๆยังมีเรื่องของการปีนแบ๊งค์โค้งนี้

    แต่ผมไม่แนะนำให้ทำมากขนาดนั้นครับ คือถ้าเราไม่ได้ไปถึงระดับแข่งขันแบบเอาเป็นเอาตาย การจะปีนขอบแบ๊งต์เต็มๆแบบรถแข่ง

    น่าจะเสี่ยงต่อการตกแบ๊งค์ ซึ่งถ้าโชคดี ก็คือ เสียแค่ล้อแม๊กซ์ ถ้าโชคร้าย อาจถึงปีกนก หรือกระเด็นไปถึงกำแพงได้ครับ

    เข้าโค้งไหนในพีระก็แล้วแต่ ควรใช้ความระวังสูงครับ ถ้าไม่มั่นใจตรงไหน อย่าฝืนทำครับ
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้