> เรื่องสำคัญที่เราพูดถึงกันน้อยมาก !!! < (เชิญอ่านซักนิดครับ)

การสนทนาใน 'Racing Forum (Cars Forum)' เริ่มโดย DUKE_68, 13 มิถุนายน 2009

< Previous Thread | Next Thread >
  1. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    วันนี้ ขออนุญาติคุยเรื่องน่าเบื่อ แต่ผมเชื่อว่ามันสำคัญ "ที่สุด" สำหรับผู้ที่รักการขับรถอย่างพี่ น้องทุกๆท่าน

    "ความปลอดภัยในการขับรถ" และเทคโนโลยีความปลอดภัยในรถยนต์เป็นเรื่องที่เรากล่าวถึงกันน้อยมาก เมื่อเทียบกับเรื่องอื่นๆที่เรานึกถึงเกี่ยวกับรถยนต์... ทั้งๆที่มันเกือบจะเป็นสิ่งที่ทำให้เรามีความสุขในการใช้รถอย่างสูงสุด...

    เราพูดถึงการทำรถให้มีอัตราเร่งสูงสุด ความร็วปลายสูงสุด แต่เรามักไม่ค่อยพูดถึงการทำให้รถหยุดโดยใช้ระยะสั้นที่สุด และมีความเสถียรที่สุด

    [​IMG]

    ขอผมพูดถึงเรื่องเหล่านี้ซักกระทู้นะครับ เพราะเรื่องเหล่านี้ถ้ามันเกิดขึ้นแล้ว เรื่องราวของมันอาจไม่จบในวันเดียว...



    [MEDIA]http://www.youtube.com/watch?v=LS0l0PejmQw[/MEDIA]


    [MEDIA]http://www.youtube.com/watch?v=WnaEKPFYO9Q[/MEDIA]


    [MEDIA]http://www.youtube.com/watch?v=aMEdJFlPPdc[/MEDIA]


    หากบทความต่างๆที่กล่าวถึงนี้เป็นประโยชน์ต่อบุคคลใดแม้เพียงเล็กน้อย ขออุทิศแด่ "JOE E30CLUB" ครับ...

    DEDICATORY TO JOE E30 CLIB
     
    Show Aof และ prototype01 ถูกใจสิ่งนี้
  2. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    ได้เวลาหรือยังกับการเพิ่มอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยในรถยนต์

    [​IMG]

    ครั้งหนึ่งเราเคยได้อาศัยรถยนต์ทำหน้าที่เป็นยานพาหนะ ในการรับ-ส่งผู้คนและสิ่งของต่างๆ จากที่หนึ่งไปยังอีกที่หนึ่งด้วยความ รวดเร็วกว่าการใช้แรงงานจากสัตว์พาหนะ เท่านี้ก็เพียงพอกับความต้องการของผู้คนในยุคก่อน แต่ด้วยความต้องการของมนุษย์ที่ไม่มี วันสิ้นสุด ต่อให้มี ทรัพย์สินในครอบครองเป็นมูลค่ามหาศาลเพียงใดก็ตาม ทำให้วงการรถยนต์ต้องหาทางพัฒนาการตอบสนองความ ต้องการของมนุษย์ ให้มากขึ้น

    [​IMG][​IMG]

    ทุกวันนี้เราจะพบว่า ในความเป็นตัวตนของรถยนต์นั้น ไม่เพียงแต่จะอำนวยความสะดวกสบายในการใช้งานได้อย่างมากมายช่วยย่น ระยะ เวลาในการเดินทางให้รวดเร็วขึ้น แถมยิ่งถ้าเป็นรถที่มีราคาแพง ยิ่งให้ความปลอดภัยในการใช้งานเป็นเลิศ เพราะสามารถบรรจุ นวัตกรรมที่ช่วย ให้การขับขี่อย่างปลอดภัยเสริมเข้ามาได้อย่างไม่อั้น สมกับราคารถ แต่ในความเป็นจริงที่ปฏิเสธไม่ได้ก็คือ บนท้องถนน ทุกวันนี้ไม่ได้มีเพียง รถยนต์สุดหรูหรา แล่นอยู่บนท้องถนนเพียงไม่กี่คัน แต่รอบตัวนั้นยังมีเพื่อนร่วมทางอีกนับสิบและมีเป็นพันรุ่น ที่แล่น กันอย่างขวักไขว่ ดังนั้นจึง ไม่มีทางเป็นไปได้ว่า รถยนต์หรูราคาแพงจะสามารถปกป้องให้ผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารที่นั่งอยู่ได้อย่างปลอดภัย เต็มร้อยเปอร์เซ็นต์ หากมีอุบัติเหตุ เกิดขึ้นรุนแรง

    [​IMG][​IMG]

    ทำอย่างไรถึงจะให้การใช้รถมีความปลอดภัยกันอย่างถ้วนหน้า ไม่ใช่เพียงแค่คนที่มีเงินซื้อรถราคาแพงอย่างเดียว และแม้แต่คนเดิน เท้าหรือขี่จักรยานอยู่บนท้องถนนก็ควรจะได้รับการปกป้องด้วยเช่นกัน มาตรฐานความปลอดภัยของรถยนต์รุ่นใหม่ จึงได้ให้คะแนนการ ปกป้อง เพื่อนร่วมทางที่ไม่ได้นั่งอยู่ในห้องโดยสาร หรือคนเดินเท้าเข้าไปด้วย มาตรการเหล่านี้เป็นสิ่งที่สังคมจะต้องมีความรับผิดชอบ ร่วมกัน อย่าง น้อยก็มีตัวอย่างในหลายประเทศ ที่สามารถลดอัตราการบาดเจ็บและล้มตายของมนุษย์ที่เกิดจากอุบัติเหตุบนท้องถนน จาก ที่เคยอยู่ในอันดับต้นๆ ให้ลดต่ำลงไปอย่างน่าพอใจ และนั่นก็หมายถึงว่า คุณภาพของชีวิตของสังคมนั้นจะดีขึ้น

    เมื่อศึกษาลึกลงไปก็จะพบว่า ไม่เพียงแต่จะให้รถยนต์มีการติดตั้งอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยเสริมเข้าไปมากขึ้นเพียงใดก็ตามแต่ท้าย ที่สุดแล้ว พฤติกรรมในการใช้รถใช้ถนนของมนุษย์นี่แหละ จะมีส่วนช่วยลดสถิติที่น่าสะพรึงกลัวจากอุบัติเหตุได้มากที่สุด ถ้าทรัพยากร มนุษย์ของประเทศ มีความรู้ความเข้าใจในพื้นฐานของการขับขี่ยานพาหนะเป็นอย่างดี สามารถใช้รถใช้ถนนร่วมกันอย่างมีประสิทธิภาพ รู้จักและเข้าใจในกฎแห่ง ความปลอดภัย อุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยที่เสริมเข้ามาอาจจะแทบไม่มีความจำเป็นต้องใช้ แต่กับประเทศที่ยัง ไม่มีความเข้มงวดกับมาตรการ เรื่องความปลอดภัย ยกตัวอย่างบ้านเรานี่แหละ น่าจะเป็นประเทศที่ต้องใช้รถยนต์ที่มีอุปกรณ์มาตรฐาน ความปลอดภัยสูงเป็นพิเศษ เพื่อที่จะให้ ตัวเลขความสูญเสียลดลงไปได้บ้าง

    ลองมาดูปัจจัยที่เป็นความเสี่ยงที่พบเห็นกันได้ทั่วไป อย่างการซื้อรถยนต์ในบ้านเราเป็นเรื่องที่ง่าย แค่มีเงินนิดหน่อยก็ซื้อได้แล้ว รถยนต์ รุ่นใหม่ที่มีขายในบ้านเราส่วนใหญ่มีอุปกรณ์เพื่อความปลอดภัยติดตั้งมาให้น้อยกว่าที่ขายในประเทศ ที่เข้มงวดกับกฎระเบียบ ด้านจราจร และ ยังมีราคารุ่นต่อรุ่นโดยเฉลี่ยแพงกว่า เพราะระบบการจัดเก็บภาษี คนไทยส่วนใหญ่ขับรถ"ได้" จากการเรียนรู้จากญาติ พี่น้อง เพื่อนฝูง ผู้มี ประสบการณ์ หรือเป็นเอง ฯลฯ และส่วนน้อยจะขับรถ "เป็น" จากโรงเรียนหรือสถาบันฝึกอบรมที่มีหลักสูตรที่ได้ มาตรฐาน สิ่งแวดล้อมทาง สังคม ประเพณี และวัฒนธรรม ฯลฯ ทำให้คนไทยไม่ค่อยใส่ใจในเรื่อง "กฎแห่งความปลอดภัย" ที่ดูเหมือน เป็นสิ่ง "เล็กๆ น้อยๆ" และมองผ่าน ไป เช่น การขับขี่รถย้อนศร ขับขี่รถที่ไม่มีไฟท้าย เมาแล้วขับ ฯลฯ ระบบพรรคพวกเส้นสาย ญาติมิตร ตำแหน่งหน้าที่การงาน ทำให้บางคน ไม่สนใจกฎระเบียบของสังคม และจงใจฝ่าฝืนเป็นประจำ การจอดรถในที่ห้ามจอด การขับรถเร็ว ระดับที่เกินกฎหมายกำหนดถือเป็นเรื่อง ธรรมดา รถยนต์ในประเทศไทยสามารถตกแต่ง ดัดแปลงแก้ไขได้อย่างเสรี ทั้งๆ ที่มีกฎหมาย บัญญัติเป็นข้อห้ามเอาไว้ บ้านเราจึงมี "รถซิ่ง" เยอะมาก สำนึกในการใช้รถใช้ถนนไม่ค่อยเอื้อเฟื้อเผื่อแผ่ หรือให้อภัยกันง่ายๆ แต่กลับชอบ ที่จะเอาเปรียบคนอื่น ถ้ามีโอกาสทำได้ จุดที่อันตราย ที่สุดสำหรับคนเดินเท้ามักจะเป็นตรงทางม้าลาย เชื่อถือในสิ่งที่เป็นโชคลาง อิทธิฤทธิ์ ปาฏิหารย์ ฯลฯ มากกว่าความมั่นใจในตัวเอง

    จากเหตุและผลหลายข้อที่ยกตัวอย่างมาให้เห็นภาพ ก็พอจะมองออกว่า รถที่พวกเราใช้กันอยู่ หรือวางขายกันอยู่ในปัจจุบัน น่าจะมีอะไร ให้ มากกว่าชนชาติอื่นเป็นพิเศษ...อย่างนั้นหรือเปล่า? ไม่ใช่มีเพียง อวทม. ที่เต็นท์เอาไว้เพิ่มราคาค่าตัวรถเวลาตั้งขายให้ลูกค้า ABS หรือระบบป้องกันล้อล็อกตายเวลาเหยียบเบรกอย่างกะทันหัน เมื่อล้อไม่ล็อก เรายังมีโอกาสหักพวงมาลัยเลี้ยวหลบสิ่งกีดขวางได้ทัน แต่ถ้าไม่มีเจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้ละก็ เวลาเหยียบเบรกเต็มแรง ล้อรถจะถูกล็อกตายทั้งหน้า-หลัง แล้วก็พุ่งทื่อไปตามทิศทางที่รถแล่นมา ถ้า วินาทีนั้นมีอะไรขวางอยู่ข้างหน้า และเราต้องการจะหมุนพวงมาลัยเพื่อหักหลบ ล้อหน้ามันจะหันเลี้ยวไปตามพวงมาลัยอยู่เหมือนกัน แต่ล้อรถที่ถูกล็อกตายจะไม่เกิดผลใดๆ ต่อการบังคับเลี้ยว ตัวรถจึงพุ่งทื่อเข้าใส่สิ่งกีดขวางเข้าจังๆ ได้

    ปัจจุบัน ABS ได้ถูกพัฒนาต่อยอดมาเป็นระบบควบคุมการทำงานของล้อรถ เพื่อเสริมประสิทธิภาพการใช้งานได้สูงขึ้น จาก ABS ก็ได้พัฒนาขึ้นมาเป็น Traction Control - TRC คือเอาไว้ควบคุมการหมุนฟรีของล้อขับเคลื่อนของรถ ขณะที่เร่งออกตัวอย่างแรง มันจะช่วยดึงรอบเครื่องให้ลดลง พร้อมกันนั้นก็จะสั่งให้เบรกทำงานชะลอความเร็วของล้อที่หมุนฟรี เพื่อให้ล้อขับทั้งคู่ทำงานด้วยแรงบิด ที่ใกล้เคียงกัน และไม่มากจนเกินไปจนล้อหมุนฟรีได้อีก คราวนี้ตัวรถก็จะเคลื่อนที่ออกตัวไปได้อย่างราบเรียบ ไม่มีอาการปัดเป๋ แม้ว่าพื้นผิว ถนนจะเคลือบไว้ด้วยโคลนลื่นๆ

    ในช่วงปี 1995 Bosch แห่งเยอรมนี เจ้าตำรับผู้คิดค้นระบบเบรก ABS และ TRC ก็ได้พัฒนาต่อยอดการทำงานของล้อรถขึ้นมา อีกครั้งหนึ่ง คราวนี้มีการรวมเอาฟังก์ชันทั้งสองอย่างเข้าด้วยกัน และเพิ่มการทำงานใหม่ขึ้นมา เพื่อให้ระบบนี้สามารถช่วยรักษาการ ทรงตัวของรถขณะเข้าโค้งได้อย่างมั่นใจ เรียกว่า Stability Control แต่ส่วนใหญ่จะรู้จักกันในชื่อทางการค้าว่า ESP ซึ่งมาจากคำว่า Electronic Stability Program หรือ VSC - Vehicle Stability Control และชื่ออื่นๆ อีกหลายอย่าง แต่ทั้งนี้และทั้งนั้น เจ้าอุปกรณ์ที่ว่านี้จะทำหน้าที่เป็นตัวรักษาการทรงตัวของรถขณะเข้าโค้งเป็นหลัก

    การทำงานของระบบรักษาการทรงตัว จะอาศัยการตรวจจับองศาการหมุนพวงมาลัยขณะเข้าโค้ง และนำไปเปรียบเทียบทิศทางของ รถที่ถูกบังคับเลี้ยวว่าเป็นไปตามที่พวงมาลัยถูกบังคับหรือไม่ โดยมี Yaw Sensor ทำหน้าที่ตรวจเช็กจับอาการของรถอยู่ ถ้ามีอาการผิด ปกติ คือตัวรถไม่ได้เลี้ยวไปตามทิศทางการบังคับของพวงมาลัย เช่น หน้ารถทำท่าจะดื้อไม่ยอมเข้าโค้งที่เรียกว่าอาการอันเดอร์สเตียร์ ระบบ ESP จะสั่งให้มีการใช้เบรกที่ล้อใดล้อหนึ่ง อย่างในกรณีนี้จะมีการใช้เบรกที่ล้อหลังด้านในโค้ง เพื่อให้เกิดอาการเหมือนกับเป็น จุดหมุนของตัวรถ และน้ำหนักส่วนหน้าของตัวรถจะเกิดแรงเหวี่ยงกลับเข้าหาด้านในโค้งได้ในที่สุด และระบบก็จะยกเลิกการทำงาน เมื่อรถกลับเข้าสู่แนวบังคับของพวงมาลัยเรียบร้อย

    ในทางตรงกันข้าม กรณีที่ตัวรถเกิดอาการโอเวอร์สเตียร์ขณะเข้าโค้ง คือมีอาการท้ายรถถูกเหวี่ยงออกนอกโค้งอย่างแรงและจะหลุด ออกนอกทาง จะมีการจ่ายแรงเบรกไปที่ล้อหน้าด้านนอกโค้ง เพื่อลดแรงเหวี่ยงที่ท้ายรถ และดึงรถกลับเข้าสู่ทิศทางการบังคับเลี้ยวของ พวงมาลัย แบบนี้เป็นต้น อย่างไรก็ตามลักษณะการบังคับใช้เบรกที่ล้อใดล้อหนึ่งตามที่ยกตัวอย่างมา จะขึ้นอยู่กับการควบคุมของระบบ ESP ที่อาศัยข้อมูลทั้งจากการหันเลี้ยวของตัวรถ และความเร็วของล้อแต่ละล้อควบคู่กันไปด้วย เพื่อผลในการบังคับรถไม่ให้หลุดออกนอก แนวทิศทางการบังคับของพวงมาลัยเป็นหลัก

    ปัจจุบันอุปกรณ์ตัวช่วยดีๆ อย่าง ESP เพิ่งจะมีติดตั้งอยู่ในรถใหม่ ทั้งปิกอัพและรถเก๋งที่วางขายในบ้านเราเพียงแค่ 2% พอๆ กับ TRC แต่ถ้าใส่ ABS มาให้แล้วถึง 52% และลองเปรียบเทียบกับญี่ปุ่นที่ติดตั้ง ESPมาให้แล้ว 26%, ABS-87% ถือว่ายังห่างไกลโข ยิ่งเทียบกับยุโรปและสหรัฐที่มีตัวเลข ESP = 46% และ 47%, ABS = 88%, 94% ตามลำดับ ก็ต้องบอกว่างานนี้รถบ้านเราขายแพง แต่อุปกรณ์ไม่ค่อยจะครบ น่าจะใกล้ความจริง ก็คงต้องรอมาตรการภาคบังคับจากรัฐบาลที่จะเห็นความจำเป็นของระบบความปลอดภัย ที่ทันสมัยเหล่านี้มากน้อยแค่ไหน ไม่ใช่เพียงแค่เห็นเป็นอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์แล้วจ้องแต่จะคิดภาษีเพิ่มกันลูกเดียว ราคาตัวรถมันก็จะพุ่ง สูงขึ้นจนเกินตัว แล้วชาวบ้านเค้าก็เลยไม่สนใจจะให้ติดมากับรถด้วย ทั้งๆ ที่ปัจจุบันราคาของอุปกรณ์เหล่านี้ถูกลงกว่าแต่ก่อนมาก อาจจะ พอๆ กับราคาล้อแม็กงามๆ สักชุดเท่านั้น แต่คุณค่าของมันห่างไกลกันเยอะมาก และจะมีส่วนช่วยลดอุบัติภัยบนท้องถนนลงได้อีกมาก ต้องฝากให้ผู้เกี่ยวข้องลองพิจารณากันดู


    เนื้อหาจากWWW.GRANDPRIXGROUP.COM
     
  3. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    ท่านั่งขับรถที่ถูกต้อง

    การนั่งขับรถในท่านั่งที่ถูกต้อง ไม่เพียงแต่ช่วยบรรเทาความเมื่อยล้า แต่ยังช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการขับขี่

    เริ่มจากการปรับเบาะนั่งให้ได้ระยะเหมาะสม ปรับตำแหน่งพวงมาลัย และปรับมุมกระจกมองข้าง-มองหลัง นั่งให้เข่าอยู่สูงกว่าตะโพกเล็กน้อย งอข้อศอกเล็กน้อย ปรับพนักพิงให้เอนเล็กน้อย การนั่งชิดพวงมาลัยเกินไป ไม่ว่าจะด้วยจุดประสงค์ เพื่อต้องการมองด้านหน้าสุดของฝากระโปรงหน้า เพราะกลัวจะกะระยะไม่ถูกก็ไม่ควรทำ ควรใช้วิธีกะระยะเอาเอง เพราะท่านั่งที่งอข้อศอกมากเกินไปทำให้การหมุนพวงมาลัยไม่คล่อง นอกจากนี้ หากเกิดอุบัติเหตุ แม้คุณจะคาดเข็มขัดนิรภัย ก็ยังเสี่ยงต่อการอัดเข้ากับพวงมาลัย เพราะเข็มขัดรั้งไว้ไม่ทัน ทั้งเสี่ยงต่อการปะทะกับถุงลมนิรภัยที่ยังพองตัวไม่เต็มที่ ซึ่งเท่ากับเป็นการโดนเสยกลับ อาจเป็นอันตรายถึงชีวิตทีเดียว

    การปรับเบาะและท่านั่งขับรถที่ถูกต้อง มีผลมากต่อความปลอดภัยในการขับรถ รวมถึงความปลอดภัยเมื่อเกิดการชนด้วย การปรับเบาะที่ถูกต้องทำได้ไม่ยาก แค่ใช้ฝ่าเท้า เน้นว่าฝ่าเท้า ไม่ใช่ปลายเท้า เหยียบแป้นคลัตช์ให้สุด หรือถ้าเป็นเกียร์ออโต้ก็ใช้ฝ่าเท้าเหยียบแป้นเบรก แล้วเลื่อนตัวเบาะนั่งให้เข่างอเล็กน้อย นั่นเป็นตำแหน่งของเบาะนั่งที่เหมาะสมบางคนชอบปรับเบาะให้เอนมากๆ แล้วชะโงกตัวโหนพวงมาลัย จนหลังมาสัมผัสกับพนักพิงเต็มที่ เช่นนี้ก็ทำให้สูญเสียความฉับไวและแม่นยำในการควบคุมรถยนต์ เมื่อจะมองกระจกมองข้างและกระจกส่องหลังก็ต้องเบนแนวสายตามากขึ้น แถมยังทำให้เกิดความเมื่อยล้าเมื่อนั่งอย่างนี้นานๆ

    [​IMG]

    การปรับพนักพิงที่ถูกต้อง จะต้องไม่เอนหรือตั้งเกินไป ถ้าปรับพอดี จะเช็คได้โดย ใช้มือซ้ายจับพวงมาลัยในตำแหน่ง 9 นาฬิกา มือขวา 3 นาฬิกา แล้วข้อศอกต้องงอเล็กน้อย แต่แผ่นหลังต้องแนบกับพนักพิงตลอดเวลา ปรับเสร็จแล้วลองเลื่อนมือไปวางไว้บนสุดของวงพวงมาลัย แถวๆ ข้อมือต้องแตะกับพวงมาลัยจึงจะถูกต้อง ถ้าวงพวงมาลัยอยู่เลยไปถึงกลางฝ่ามือหรือโคนนิ้ว แสดงว่าปรับพนักพิงเอนเกินไป ถ้าวงพวงมาลัยอยู่ชิดเลยข้อมือเข้ามาแสดงว่านั่งชิดเกินไป

    หมอนรองศีรษะ ก็สำคัญ ควรปรับให้พอดี โดยให้เอนศีรษะแล้วพิงช่วงกลางหมอนพอดี แต่ศีรษะไม่ต้องพยายามพิงหมอนเวลาขับ เพราะหมอนรองศีรษะมีไว้รองรับเมื่อเกิดการชนแล้วศีรษะจะได้สะบัดไปด้านหลังน้อย ไม่ใช่ไว้พิงตอนขับ

    เข็มขัดนิรภัย ถ้าปรับสูง-ต่ำได้ ก็ควรปรับต่อจากการปรับเบาะ จะได้พอดีกัน ที่ถูกต้องสายเข็มขัดนิรภัยต้องพาดจากไหปลาร้าเฉียงลงมาที่สะโพก ส่วนด้านล่างก็พาดอยู่แถวกระดูกเชิงกราน อย่าให้สายพาดคอ หรือห้อยเลยหัวไหล่ลงไป

    พวงมาลัย ของรถรุ่นใหม่ๆ มักปรับสูงต่ำได้ ก็ควรปรับให้พอดี คือ ไม่สูงเกินไปเพราะจะเมื่อยเมื่อขับนานๆ และไม่ต่ำเกินไปจนติดต้นขา กระจกมองข้างและกระจกมองหลังเปรียบเสมือนตาหลังของคนขับ กระจกมองข้างควรปรับไม่ก้มหรือเงยเกินไป และปรับให้เห็นด้านข้างของตัวรถเรานิดๆ อย่าให้เห็นแต่ทางด้านหลังล้วนๆ ส่วนกระจกมองหลังก็ปรับให้เห็นด้านหลังเป็นมุมกว้างที่สุด ไม่ใช่ปรับไว้ส่องหน้าตัวเองแบบที่หลายคนทำกัน

    ทั้งหมดที่แนะนำต้องปรับตอนรถจอดนิ่งในที่ปลอดภัย อย่าปรับตอนขับรถหรือจอดบนถนน อันตราย ถุงลมนิรภัย หรือแอร์แบ็ก ซึ่งรถรุ่นใหม่ๆ มักมีมาให้อย่างน้อย 1 ใบในฝั่งผู้ขับ ถุงลมนิรภัยจะพองตัวขึ้นเองเมื่อเกิดอุบัติเหตุ มีไว้รองรับร่างกายส่วนบนเมื่อเกิดอุบัติเหตุ ไม่ให้ปะทะกับพวงมาลัยหรือแผงหน้าปัดโดยตรง ช่วยลดความบาดเจ็บได้ แต่ก็ต้องมีการใช้งานที่ถูกต้องด้วย

    สิ่งสำคัญในการขับรถที่มีถุงลมฯ คือ ต้องปรับเบาะและพนักพิงให้เหมาะสม อย่าให้ชิดเข้ามามากเกินไป คาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง และจับพวงมาลัยให้ถูกตำแหน่ง ถ้าปรับเบาะชิดไป และไม่คาดเข็มขัดนิรภัย ร่างกายส่วนบนอาจปะทะกับถุงลมฯ ผิดจังหวะ คือ ปะทะตอนถุงลมยังพองตัวไม่สุด ร่างกายพุ่งไปด้านหน้าแล้วเจอกับถุงลมฯ ที่พุ่งสวนออกมา กลายเป็น 2 แรงบวกเจ็บหนักแน่

    การจับพวงมาลัย ก็เกี่ยวข้องกับถุงลมฯ เพราะถ้าจับไม่ถูกตำแหน่งแขนอาจไปขวางทางการพองตัวของถุงลมฯ ทำให้ถุงลมฯ ไม่ได้ทำงานตามที่ออกแบบมา

    ส่วนรถที่มีถุงลมฯ ฝั่งข้างคนขับก็ต้องเพิ่มความระมัดระวังไม่วางของขวางทางถุงลมฯ และอ่านคำเตือนเรื่องถุงลมฯ ในคู่มือประจำรถอย่างละเอียดก่อนใช้งานด้วย ถุงลมนิรภัยจะช่วยลดความบาดเจ็บได้ก็ต่อเมื่อมีการใช้งานอย่างถูกวิธี จำง่ายๆ ว่า อย่านั่งชิดเกินไป และต้องคาดเข็มขัดนิรภัยตลอดการขับรถ ไม่งั้นอาจกลายเป็นถุงลมมหาภัยได้

    ตำแหน่งการจับพวงมาลัยที่ถูกต้อง

    จริงๆ แล้วอยากจะบอกว่า คนไทยมีการจับพวงมาลัยผิดตำแหน่งกันมากกว่าครึ่ง แต่ก็ไม่ได้สำรวจอย่างจริงจัง แค่ลองนั่งริมถนนคอยดูคนขับรถผ่านไปเท่านั้น 3 สาเหตุที่ทำให้หลายคนปฏิบัติกันผิดๆ ก็คือ

    1. เน้นความสบายของตนเองเป็นหลัก
    2. จับพวงมาลัยตามใจชอบ ก็ไม่เห็นจะเกิดอุบัติเหตุเลย
    3. ไม่มีใครบอกใครสอน ทั้งตอนหัดขับรถ หรือคนอื่นนั่งไปด้วย

    ตำแหน่งที่ถูกต้องของการจับพวงมาลัย เมื่อเปรียบเทียบกับหน้าปัดนาฬิกา เพราะเป็นวงกลมเหมือนกันน่าจะเข้าใจกันได้ง่าย มือซ้ายอยู่ในตำแหน่ง 9 นาฬิกา มือขวาอยู่ในตำแหน่ง 3 นาฬิกาส่วนตำแหน่ง 10 และ 2 นาฬิกา อนุโลมได้ แต่ไม่แนะนำ เพราะความแม่นยำในการบังคับควบคุมจะด้อยกว่าตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกาซึ่งอยู่ครึ่งหรือช่วงกลางของวงพวงมาลัยพอดี
    การกำพวงมาลัยสำหรับการขับรถบนเส้นทางเรียบ ไม่ใช่วิบาก ควรใช้นิ้วโป้งเกี่ยวช่วยด้วยเสมอ กำแน่นพอประมาณ แต่ไม่หลวมเกินไป ควรจับพวงมาลัย 2 มือ ที่ตำแหน่ง 9 และ 3 นาฬิกาอยู่เสมอ (แต่ไม่ถึงกับเกาหรือปรับวิทยุไมได้) อย่าชะล่าใจเมื่อเห็นเส้นทางโล่งๆ หรือเดินทางไกล เพราะถนนเมืองไทยมีหลุมโดยไม่ได้คาดหมาย หรือมีอะไรให้หักหลบฉุกเฉินได้เสมอ และหลังเปลี่ยนเกียร์แล้ว อย่าวางมือคาไว้บนหัวเกียร์ ให้ยกมือขึ้นมาจับพวงมาลัยครบ 2 มือตามปกติ

    อ่านแล้วนอกจากจะนำไปปฏิบัติ (เหมือนว่าบางคนจะแก้ไขยาก เพราะเคยชิน แต่ถ้าตั้งใจก็ไม่ยาก) ก็ควรเผยแพร่ออกไปเท่าที่ทำได้ เพราะไม่ใช่เรื่องยากเลยกับการจับพวงมาลัยครบ 2 มือตามตำแหน่งที่บอก เกือบตลอดการขับ ถ้าขับทางไกลแล้วรู้สึกเมื่อย ก็แค่บีบข้อศอกเข้ามาแตะลำตัวเท่านั้นเอง ไม่ควรคิดว่าจับพวงมาลัยตำแหน่งแบบไหนๆ ก็ไม่เคยขับรถชน เพราะถ้าพลาดเพียงครั้งเดียว อาจไม่มีโอกาสนึกถึงการแนะนำนี้เลยก็เป็นได้
     
    ST190...Set...bo ถูกใจสิ่งนี้
  4. โอ๊ค_TENGUNOYU

    โอ๊ค_TENGUNOYU New Member VIP

    2,185
    64
    0
    ขอบคุณครับ
     
  5. มรดกพ่อ

    มรดกพ่อ New Member Member

    2,307
    29
    0
    เป็นประโยชน์มากๆครับ
     
  6. mInnu

    mInnu New Member Member

    434
    10
    0
    เยี่ยมครับ
     
  7. gri

    gri New Member Member

    1,163
    26
    0
    ผมรอดอุบัติเหตุด้วยระบบ ABS และ traction control มาแล้ว 2 ครั้ง
    ในรถเปอร์โย 406

    ผมเจอน้ำขังนองพื้นถนน ตรงทางโค้ง
    แล้วต้องเบรคเต็มเหนี่ยว
    เพราะว่าไอ้จัญไรตัวหนึ่งมันยกรถมอ'ไซค์ข้ามเกาะกลางถนนมา
    โดยไม่ได้คิดจะแหกตาดูอะไรเลยยย
    แต่ผมก็หักหลบได้ ถ้าชนมา คนขี่มอ'ไซค์กระเด็นไปอีกฟากแน่นอน
    เพราะผมขับที่ 120


    ครั้งที่ 2 ฝนตกเสร็จ ตอนกลางคืน ถนนเส้นเดิม
    โค้งเดิม น้ำนองเหมือนเดิม มองไม่เห็น ไม่ได้เบรค
    แต่ระบบ traction control มันจัดการให้เอง


    ขอขอบคุณวิศวกร ผู้ประทานเทคโนโลยีนี้ให้แก่รถของเรา
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 14 มิถุนายน 2009
  8. civicvertu

    civicvertu New Member Member

    4,233
    129
    0
    เห็นมีชื่อพี่โจE30คิดถึงพี่เค้าจับใจเลยคับ

    RIP.คับพี่โจแม้นานมาเเล้วเเต่พี่ก็ยังอยู่ในใจผมเสมอคับ...
     
  9. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS

    CLICKS!

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=xd5KDvXbE3M[/media]

    --------------------------------------------------------------------------------

    [​IMG]

    ระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS เกิดมาจากแนวคิดในการแก้ปัญหาการลื่นไถลในขณะเบรก เนื่องจากความฝืดของระบบเบรกมีมากกว่าความฝืดของยางกับพื้นรถ เราทราบกันดีว่า ในขณะเบรกเราไม่ต้องการให้ล้อล็อกตายเพราะจะทำให้ควบคุมรถไม่ได้และการที่ล้อล็อกตายก็เพราะมีแรงจากการเบรกกดอยู่ การทำให้ไม่ให้ล้อล็อก ต้องปลดแรงจากการเบรกออก แต่พอปลดแรงเบรกออก รถก็ไม่หยุด เป็นเงื่อนไขกลับไปกลับมาอยู่อย่างนั้น

    วิศวกรจึงแก้ปัญหานี้โดยการออกแบบให้ระบบเบรกทำงานแบบจับ-ปล่อยในจังหวะที่เร็วประมาณ 50 ครั้ง/วินาที เพราะพบว่าถ้าทำได้เร็วมาก ๆ จะทำให้ได้ผลอย่างที่ต้องการทั้งสองทางคือ การที่ล้อไม่ล็อกทำให้ยังสามารถที่จะควบคุมทิศทางของรถได้ และในขณะเดียวกันก็สามารถทำให้รถหยุดได้ด้วย แต่การที่จะให้ระบบเบรกทำงานอย่างนั้นได้ต้องมีอุปกรณ์ที่ค่อนข้างซับซ้อนเข้ามาเกี่ยวข้อง เช่น ต้องมีตัวตรวจจับการหมุนของล้อ, มีหน่วยประมวลผล เป็นต้น เพื่อรับทราบว่าความเร็วในการหมุนของล้อแต่ละข้างเริ่มจะหยุดนิ่งหรือแตกต่างกันหรือไม่ อย่างไรก่อนจะสั่งการให้ระบบเบรกทำงาน รวมทั้งมีชุดปั๊มและวาล์วที่สามารถทำงานด้วยความถี่หลายสิบครั้งต่อวินาที

    ลักษณะการทำงานแบบจับ ๆ ปล่อย ๆ นี้เองที่ผู้ขับขี่บางท่านสงสัยว่าระบบเบรกในรถของตนจะผิดปกติหรือไม่ เพราะเมื่อเหยียบเบรกแล้วมีแรงต้านกระตุกถี่ ๆ ที่แป้นเบรก ซึ่งในกรณีนี้ถ้าเป็นที่มีระบบ ABS ไม่มีอะไรผิดปกติแต่กลับแสดงว่าระบบทำงานได้ดี แต่ถ้าเป็นรถที่ไม่มีระบบ ABS แล้วมีอาการคล้าย ๆ อย่างนั้น คงต้องนำรถเข้าศูนย์ตรวจเช็กกันเสียทีแล้ว เพราะจานเบรกอาจจะคดหรือมีชิ้นส่วนอะไรหลุดหลวมก็ได้

    ที่กล่าวมานี้คงพอจะทำให้ท่านได้รู้จักกับระบบเบรกป้องกันล้อล็อก ABS กันมากขึ้น ก่อนที่จะลองไปตรวจสอบระบบเบรกของรถตนเอง มีข้อควรระวังที่อยากจะฝากไว้ว่า เบรก ABS ไม่ได้ทำให้รถหยุดได้ทันใจมากขึ้น กลับจะทำให้ระยะเบรกยาวขึ้นด้วยซ้ำ เพียงแต่เบรก ABS ช่วยให้สามารถควบคุมการบังคับเลี้ยวของรถได้ในขณะใช้เบรกบนพื้นผิวถนนที่ลื่นเท่านั้น


    [​IMG]
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2009
  10. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

    --------------------------------------------------------------------------------

    เข็มขัดนิรภัยในรถยนต์เป็นอุปกรณ์ชนิดหนึ่ง ที่ช่วยเสริมสร้างความปลอดภัยให้กับ ผู้ขับขี่และผู้โดยสารรถยนต์ ซึ่งหากเกิดอุบัติเหตุเข็มขัดนิรภัยจะช่วยรั้งผู้ขับขี่ หรือผู้โดยสาร ให้ติดกับเบาะที่นั่ง ไม่กระเด็นออกนอกตัวรถหรือไปกระแทกกับส่วนของรถยนต์

    สำหรับในประเทศไทยของเรา ได้มีการประกาศใช้กฎหมายที่บังคับให้ผู้ขับขี่รถยนต์ และผู้โดยสาร ที่นั่งตอนหน้าทุกคน ต้องคาดเข็มขัดนิรภัยทั้งในกรุงเทพฯ และต่างจังหวัด เมื่อวันที่ 7 ตุลาคม 2540

    และก่อนจะมาเป็นเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์ เข็มขัดนิรภัยได้ถูกนำมาใช้ครั้งในสมัยสงครามโลกครั้งที่ 1 โดยมีจุดมุ่งหมายเพื่อป้องกันนักบินตกหล่นลงมาจากเครื่องบินในขณะบิน เพื่อทำการต่อสู้ทางอากาศ ซึ่งมีการบินโฉบเฉี่ยวไปมา รวมทั้งพลิกลำตัวเครื่องบิน และด้วยความปลอดภัยนี้เอง เข็มขัดนิรภัย จึงถูกพัฒนามาเป็นเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์

    ปัจจุบันเข็มขัดนิรภัยในรถยนต์มี 3 ประเภท คือ

    ประเภทที่ 1 เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 4 จุด มีลักษณะเป็นสายเข็มขัดที่ยึดติกับบริเวณของพื้นรถ 2 จุด เพื่อคาดบริเวณตักและอีก 2 จุด ยึดจากโรลบาร์ผ่านเบาะนั่งคนขับ มาบรรจบกับ 2 จุดแรก เข็มขัดนิรภัยแบบนี้นิยมใช้ในรถแข่ง เพราะให้ความปลอดภัยแก่นักแข่งรถสูงสุด

    ประเภทที่ 2 เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 3 จุด มีลักษณะเป็นสายเข็มขัดที่ยึดจากเสากลางหนึ่งจุด และยึดจากพื้นรถอีก 2 จุด เมื่อคาดเข็มขัดนิรภัยสายเส้นหนึ่ง จะคาดผ่านบริเวณไหล่ของคนนั่ง ส่วนอีกเส้นหนึ่งจะคาดผ่านบริเวณตัก ซึ่งเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 3 จุดนี้นิยมใช้ในรถยนต์ทั่วไป โดยติดตั้งที่เบาะนั่งสำหรับผู้ขับขี่และผู้โดยสารตอนหน้า

    ประเภทที่ 3 เป็นเข็มขัดนิรภัยแบบยึด 2 จุด มีลักษณะเป็นสายเข็มขัดที่ยึดจากพื้นรถด้านหนึ่ง ไปอีกด้านหนึ่ง โดยคาดผ่านบริเวณตัก เข็มขัดนิรภัยแบบยึด 2 จุด มักจะใช้กับ ที่นั่งผู้โดยสาร ตอนหลัง แต่รถยนต์รุ่นใหม่บางรุ่นได้มีการเปลี่ยนเข็มขัดนิรภัยสำหรับผู้โดยสารที่นั่งตอนหลัง จาก 2 จุด เป็น 3 จุด ทั้งนี้เพื่อให้ผู้โดยสารที่นั่งตอนหลังมีความปลอดภัยมากยิ่งขึ้น


    ฉะนั้นเมื่อก้าวขึ้นรถไม่ว่า จะเป็นผู้ขับขี่หรือผู้โดยสารควรคาดเข็มขัดนิรภัยทุกครั้ง โดยฝึกให้เกิดความเคยชิน ทั้งนี้เพื่อความปลอดภัยในการขับขี่ของตัวคุณเอง


    [​IMG]
     
    Ctrl_s ถูกใจสิ่งนี้
  11. EK แปดริ้ว

    EK แปดริ้ว New Member Member

    484
    74
    0
    ชื่นชมมากๆเลยครับมีแต่สิ่งดีๆมาให้ชาวเว็ปตลอด
     
  12. TankEk

    TankEk New Member Member

    6,091
    562
    0
    ขอบคุณมากเลยคับ
     
  13. Kammy ka~

    Kammy ka~ New Member Lady Member

    761
    39
    0
    กระทู้ดี มีสาระ (อีกแล้ววว:D:D:D:D) ขอบคุนค่ะ :eek::eek:

    ps. นู๋บวกให้พี่จนวนบวกไม่ทันแล้วเนี่ยยย อิอิ:D
     
  14. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    เบาะรถแต่งและเบาะรถแข่ง

    การแต่งรถนอกจากจะแต่งภายนอกให้สวยแล้วภายในก็ต้องสวยด้วย บางท่านคิดว่าเห็นรถแต่งวิ่งผ่านมาภายนอกก็ดูสวยดี ภายในใส่เบาะอะไรก็ไม่รู้ สีแดงบ้าง น้ำเงินบาง ล้วนดูสะดุดตา หรือ ต้องการแต่งเพื่อโชว์สาวหรือปล่าวไปซื้อแต่งบ้างดีกว่า พอไปดูราคาแทบตกใจหงายผึ่ง ราคามันช่างแพงเหลือเกิน มีตั้งแต่หลักหมื่นต้นๆจนถึงแสนต้นๆต่อตัว ทำไมมันถึงแพงอย่างนั้น จริงๆแล้ว เบาะจำพวก racing หรือเบาะรถแต่งมีความสำคัญนอกจากความสวยความงามแล้วยังมีประโยชน์อีกมาก

    เบาะ racing มีอยู่ด้วยกัน 2 แบบ คือ

    [​IMG]

    semi backetseat เป็นเบาะที่ปรับได้ และพับได้สามารถปรับการเอนหลังให้ผู้ขับขี่ขับได้สบายที่สุด
    เหมาะกับรถสปอร์ตสองประตูที่ต้องพับเบาะลงเพื่อให้คนที่นั่งเบาะหลังได้ขึ้น ลง แบบนี้มักออกแบบโดยมีโครงสร้างภายในเป็นเหล็กลวดขึ้นรูปเป็นโครงเบาะ ใส่ชุดกลไกลที่จะพับเบาะขึ้นลงไว้ที่ฐานเบาะและชุดปรับเดินหน้าถอยหลังไว้กับชุดรางเบาะ แบบนี้มีโครงสร้างคล้ายเบาะธรรมดาทั่วๆไป แต่จะต่างที่วัสดุที่แข็งแรงกว่าน้ำหนักเบากว่า และออกแบบได้เหมาะกับสรีระของคนขับมากกว่า
    อีกแบบคือ แบบ

    [​IMG]

    fully bracketseat คือ เบาะที่ไม่สามารถปรับเอนนอนได้ เหมาะกับรถที่ใช้ในการแข่งขันและ รถที่ไม่ต้องการพับเบาะสำหรับขึ้นลง แบบนี้วัสดุ มีหลายประเภท เช่น แบบโครงเหล็กขึ้นรูปแล้วใช้ผ้าเบาะหุ้มนอก และแบบขึ้นรูปด้วยวัสดุ เช่น พลาสติกฉีดขึ้นรูป หรือไฟเบอร์ชนิดต่าง เช่น คาร์บอนไฟเบอร์ มีหลายเกรด แล้วแต่เทคนิคของ แต่ละผู้ผลิต พวกนี้จะมีความแข็งแรงมากกว่า และมีน้ำหนักเบากว่ามาก



    :: ประโยชน์
    เบาะ racing นอกจากจะมีความสวยงามแล้ว ยังมีประโยชน์เช่นให้การขับขี่ที่ดีกว่าเนื่องมาจาก เบาะพวกนี้ได้รับการออกแบบมาดีกว่าของโรงงาน เช่นการโอบรัดผู้ขับขี่ให้เข้ารูปและได้สรีระกับผู้ขับขี่ ทำให้ผู้ขับขี่มีความมั่นใจในการขับขี่เพิ่มขึ้น สามารควบคุมรถได้ดีขึ้น และ จากวัสดุที่ดีกว่าทำให้นั่งสบายกว่าเบาะเดิมที่มาจากโรงงาน จนบางโรงงานต้องใช้เบาะ racing มาใช้ในรถสปอร์ท และ รถยนต์
    ที่มีสมรรถนะสูงมีน้ำหนักเบากว่า เหมาะกับพวกรถที่ใช้ในการแข่งขัน เป็นการลดน้ำหนักรถไปในตัว นิยมใช้พวก fully bracketseat
    ให้ความแข็งแรงสูง เบาะพวกนี้มีความแข็งแรงมาก เพราะต้องโอบกระชับผู้ขับขี่ในยามที่เกิดอุบัติเหตุ เบาะพวกนี้สามารถป้องกันอันตรายของผู้ขับขี่ได้ เช่น บางรุ่นมีหูป้องกันการกระแทกศีรษะด้านข้างของผู้ขับ บางรุ่นใช้วัสดุพวก คาร์บอนเคฟล่า ที่มีคุณสมบัติแข็งแรงกว่าเหล็ก ยืดหยุ่นตัวได้ดี แต่น้ำหนักเบาะกว่ามาก
    ให้การยึดเกาะถนนได้ดีกว่า เพราะเบาะพวกนี้จะออกแบบมาให้เตี้ยกว่าเบาะทั่วไป ทำให้น้ำหนักของผู้ขับขี่ มีน้ำหนักกดต่ำลงมีผลในการช่วยลดการโยนตัวของรถในขณะเข้าโค้งใช้ในการแข่งขันเพราะเบาะพวกนี้ต้องออกแบบมาให้เหมาะกับการแข่งแต่ละประเภท เช่น บางรุ่นเบาะจะมีปีกข้างเดียวใช้ในการแข่งขันรถที่นักแข่งต้องเข้าเกียรบ่อยๆ พวกแรลลี่ พวกที่ใช้ใน NASCARเบาะจะมีปีกกว้างข้างเดียวเพื่อรับน้ำหนักนักแข่งที่ต้องขับรถวนขวา และออกแบบมา ให้ใช้กับเซพตี้เบลท์แบบ 6 จุด และ 8 จุด พวกนี้จะสามารถล็อคนักแข่งไม่ให้หลุดไปไหนเวลาเกิดอุบัติเหตุ



    :: การเลือกซื้อ
    ส่วนใหญ่แล้วจะเลือกซื้อตามลักษณะการใช้งานว่าจะใช้แบบไหน ถ้าต้องการนั่งขับขี่สบาย สามารถขับรถได้นานๆระยะทางไกลๆ ควรเลือกแบบ semi backetseat เพราะสามารถปรับให้เหมาะกับการนั่งได้แต่ถ้าต้องการการขับขี่ที่ดี กระชับตัว เบา และแข็งแรง ก็คงต้องเลือกแบบ fully bracketseat สมัยนี้เลือกได้ทั้งของใหม่และของเก่าเชียงกง และแบบที่เป็นเบาะทรง racing ที่ติดมากับรถโรงงาน
    เช่น พวก NISSAN SKYLINE GTR , SUBARU IMPRESA , MITSU FTO , MASDA RX7 ,หรือ พวก MITSU EVO และแบบทีผลิตมาจากโรงงานผู้ผลิตโดยตรงที่นิยมเช่น ของ RECARO , SPARCO , BUDDY CLUB ,BRIDE , TRD และอีกมาก

    :: การติดตั้งและข้อควรระวัง
    เวลาซื้อเบาะควรที่จะซื้อรางเบาะมาให้ตรงกับรุ่นรถของเราเพราะเขาได้ออกแบบมาได้เหมาะ เช่น ตำแหน่งความสูงต่ำ ตำแหน่งตรงกับพวงมาลัย ต่ำแหน่งการปรับเอนตัว ล้วนต้องมีการออกแบบมาทั้งสิ้นแต่ถ้าเป็นเบาะเก่าเชียงกงเบาะส่วนใหญ่จะไม่มีรางมาคงต้องอาศัยการดัดแปลงแต่ต้องดัดแปลงให้ขาเบาะมีความแข็งแรงพอที่จะรับน้ำหนักผู้ขับขี่ ตำแหน่งความสูงต่ำ ตำแหน่งพวงมาลัย และ ต้องเพื่อ
    การรับน้ำหนักที่จะเพิ่มขึ้นจากแรง G ของรถเวลาออกตัว เข้าโค้ง และเบรก และ ต้องมีความแข็งแรงพอที่จะรองรับการเกิดอุบัติเหตุด้วย


    [​IMG]


    CREDIT บทความโดย : webmaster thaispeedcar.com
     
  15. Ea"RT"h

    Ea"RT"h New Member VIP

    7,434
    191
    0
    ขอบคุณ
     
  16. Alif & Otis

    Alif & Otis New Member Moderator

    1,696
    51
    0
    เรื่องสำคัญอันดับหนึ่งเลยครับ...
     
  17. ST190...Set...bo

    ST190...Set...bo New Member Member

    2,993
    18
    0
    สำคัญมากๆๆๆ
     
  18. FIFTYFIFTY AC-M92

    FIFTYFIFTY AC-M92 New Member VIP

    1,790
    29
    0
    สำคัญมากครับ และจะนำไปใช้ครับ ป๋ม
     
  19. Piccolo

    Piccolo New Member Member

    1,672
    65
    0
  20. prototype01

    prototype01 Active Member Privilege

    800
    47
    28
    มีประโยชน์มากครับ เพิ่มเติมอีกนิด เรื่องความปลอดภัยในการขับขี่

    มันต้องเริ่มจากจิตสำนึกของคนขับมากที่สุดครับ

    เพราะถึงแม้ว่าระบบในรถจะปลอดภัยเพียงใด

    สุดท้าย ก็ยังต้องใช้คน ในการควบคุมรถคันนั้น
     
  21. CHAP_ZA

    CHAP_ZA Member Member

    327
    5
    18
    เรายังมีไรที่ผิดอีกเยอะเลยนะเนี่ยยยยย........
     
  22. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    จะทำอย่างไรเมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถ

    [​IMG]

    กรณีที่ 1

    เมื่อยางรถระเบิดขณะขับรถยางระเบิดในขณะขับรถ มีข้อแนะนำให้ปฏิบัติดังนี้

    1. มือทั้งสองต้องจับอยู่ที่พวงมาลัยอย่างมั่นคง
    2. ถอนคันเร่งออก
    3. ควบคุมสติให้ดีอย่าตกใจมองกระจกหลังเพื่อให้ทราบว่ามีรถใดตามมาบ้าง
    4. แตะเบรกอย่างแผ่วเบาและถี่ๆ อย่าแตะแรงเป็นอันขาด เพราะ ว่า จะทำให้รถหมุน
    5. ห้ามเหยียบคลัตช์โดยเด็ดขาดเพราะถ้าเหยียบคลัตช์รถจะไม่เกาะถนนรถจะลอยตัวและ จะทำให้บังคับรถได้ยากยิ่งขึ้น อาจเสียหลักเพราะการเหยียบคลัตช์เป็นการตัดแรงบิดของเครื่องยนต์ ให้ขาดจากเพลา
    6. ห้ามดึงเบรกมืออย่างเด็ดขาด จะทำให้รถหมุน
    7. เมื่อความเร็วรถลดลงพอประมาณแล้วให้ยกเลี้ยวสัญญาณเข้าข้างทางซ้ายมือ
    8. เมื่อความเร็วลดลงระดับควบคุมได้ ให้เปลี่ยนเกียร์ต่ำลงและหยุดรถ

    ข้อสังเกตเมื่อยางระเบิด คือ ไม่ว่ายางด้านใดจะระเบิดล้อหน้าหรือล้อหลังก็ตาม เมื่อระเบิดด้านซ้าย รถก็จะแฉลบไปด้านซ้ายก่อน แล้วก็จะสะบัดกลับ และสะบัดไปด้านซ้ายอีกที สลับกันไปมา และในทำนอง ตรงกันข้าม หากระเบิดด้านขวาอาการก็จะ กลับเป็นตรงกันข้ามอุบัติเหตุร้ายแรงที่เกิดขึ้นส่วนมากก็คือ หากขณะยางระเบิดรถวิ่งอยู่ที่ความเร็วสูงมากๆ พอยางระเบิดขึ้นมารถก็จะกลิ้งทันที ทำอะไรไม่ได้

    ดังนั้นการขับรถที่ใช้ความเร็วสูงๆจึงมักจะแก้ไขอะไรในเรื่องนี้ไม่ได้
    เพื่อเป็นการป้องกันอุบัติเหตุร้ายแรงที่จะเกิดขึ้น ในขณะขับรถ จึงไม่ควรขับรถเร็ว
    (ความเร็วทีถือว่าปลอดภัยใน DEFENSIVE DRIVING คือ ความเร็วไม่เกิน 100 กิโลเมตร ต่อชั่วโมง)



    กรณีที่ 2 เมื่อรถตกน้ำ

    ในกรณีที่รถเกิดอุบัติเหตุแล้วตกลงไปในแม่น้ำ ลำคลองใดๆ ก็ตาม รถจะไม่ตกลงไปในน้ำแล้วจมทันที เหมือนหิน ตกน้ำ แต่จะค่อยๆจมลงทีละน้อยๆ จนกว่าจะถึง พื้นล่างและในนาทีวิกฤตนี้ ควรตั้งสติให้ดี และปฏิบัติดังต่อไปนี้

    1. ปลด SAFETY BELT ออกทุกๆคน รวมทั้งผู้โดยสารด้วย
    2. อย่าออกแรงใดๆเพื่อสงวนการใช้อากาศหายใจซึ่งมีอยู่เป็นจำนวนจำกัด
    3. ให้ยกส่วนศีรษะให้สูงเหนือระดับน้ำที่ค่อยๆ เพิ่มขึ้นในรถ
    4. ปลดล็อกประตูรถทุกบาน
    5. หมุนกระจกให้น้ำไหลเข้าในรถเพื่อปรับความดัน!ในรถและนอกรถให้เท่ากันมิฉะนั้นท่านจะเปิดประตูรถไม่ออก เพราะน้ำจากภายนอกตัวรถจะดันประตูไว้
    6. เมื่อความดันใกล้เคียงกันแล้วให้ผลักบานประตูออกให้กว้างสุดแล้วท่านก็ออกจากห้องโดย
    สารของรถได้
    7. จากนั้นท่านอาจจะปล่อยตัวให้ลอยขึ้นเหนือน้ำตามธรรมชาติ หรือจะว่ายน้ำขึ้นมาก็ได้ ในกรณีนี้หาก น้ำลึกมากๆอาจจะมองไม่เห็นว่าทิศใดเหนือน้ำ ทิศใดใต้น้ำเพราะว่า มืดไปหมดไม่ควรใช้วิธีว่ายน้ำ เพราะอาจจะว่าย ไปในทิศทางที่ไม่ขึ้นเหนือน้ำ

    กรณีเช่นนี้ ควรปล่อยตัวให้ลอยขึ้นตามธรรมชาติหรือลองเป่าปากดูว่า ฟองอากาศลอยไปในทิศทางใดให้ว่ายน้ำไปในทิศทางที่ฟองอากาศลอยไป ก็จะไม่มี อาการ หลงน้ำ

    นอกจากนั้น ก่อนออกจากรถ หากท่านมีผู้โดยสารที่เป็นเด็กๆ อาจจะหนีบ เด็กๆ นั้น ออกมากับท่านได้อีกหนึ่งคน ดังนั้นหากท่านปฏิบัติ ตามวิธีการเหล่านี้ ก็จะช่วยให้ชีวิตของท่าน ปลอดภัยได้ ในยามคับขัน


    [​IMG]
     
  23. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    ปูพื้นฐานกับ ส่วนประกอบของระบบเบรก ก่อนเริ่มต้นโมดิฟายด์

    [​IMG]

    คิดจะแต่งรถทั้งที ไม่ใช่แต่งแต่ให้แรงๆ และ เร็วๆ เพียงอย่างเดียวนะครับ แต่ที่ต้องคำนึงอีกสิ่งก็คือ หยุดๆ และให้อยู่ๆ ด้วย บางคนคิดว่า เอาเครื่องให้แรงๆไว้ก่อน เบรกเดียวค่อยเก็บเงินทำทีหลัง ผลแรงจริงๆ แต่มิดไปแล้วครับพี่ จะทำเบรกสักหน่อย แต่กลับต้องเปลี่ยนเป็นทำสีทั้งคัน บางคนบอกเบรกอยู่ดีแล้ว ไม่เคยมีปัญหา แต่พอซัดๆ เบรกๆ บ่อยๆ เข้าเหยียบเบรกอีกที อุ๊ยต๊ายตาย เบรกหายไปซะยังนั้นก็มี นั่นไงล่ะ เจออาการเบรกเฟดเข้าให้แล้ว สำหรับรถแรงๆ บางครั้งขับไล่เกียรหนึ่งมาเต็ม พอสับเข้าเกียรสอง แต่มีเหตุให้เหยียบต้องเบรกซะอย่างนั้น อ้าวเบรกข้าหายไปไหน ต้องแก้เอาชีวิตรอดกันพัลวัน ทุกอย่างย่อมเกิดขึ้นได้ อนิจจา คราวนี้เรามาทำความเข้าใจเรื่องระบบเบรกกันก่อนดีกว่า แล้วต่อด้วยปัญหาต่างๆ และการดูแลรักษาระบบเบรก ให้เข้าใจกันก่อน แล้วจึงค่อยมาดูกันว่า การจะโมดิฟลายระบบเบรกให้ดีขึ้น ควรจะเริ่มต้นที่จุดใด และเขามีวิธีการโมดิฟลายอย่างไรกันบ้าง สนใจส่วนใดเลือกอ่านดูละกัน

    ส่วนประกอบของระบบเบรก
    1. แป้นเบรก (Brake Pedal)หรือขาเบรก
    เป็นอุปกรณ์ที่ติดอยู่ในรถ ทำหน้าที่คล้ายคานกด รับแรงกดมาจากขา (เท้า) ของผู้ขับขี่ เมื่อเหยียบเบรก ขาเบรกก็จะไปกดสากเบรก ที่สามารถปรับตั้งให้เบรกสูง หรือต่ำได้ ให้เข้าไปกดชุดดันในหม้อลมเบรก

    2. หม้อลมเบรก ( Booster) เป็นอุปกรณ์ช่วยเพิ่มแรงกด ให้กับขาของเราให้มีแรงกดมากขึ้น ออกแรงเหยียบน้อยลง โดยภายในจะเป็นชุดสุญญากาศ ต่อแรงลมดูดมาจาก เช่นในรถเครื่องยนต์เบนซิล จะต่อมาจากท่อร่วมไอดี หลังลิ้นปีผีเสื้อในบริเวณนี้ในรอบต่ำ ที่ลิ้นปีผีเสื้อยังเปิดไม่สุด แรงดูดของลูกสูบจะทำให้เกิดแรงดูดสุญญากาศสูงมาก แต่ในรอบเครื่องสูงๆแรงดูดจะน้อยลง หม้อลมนั้นจึงจำเป็นต้องมีขนาดใหญ่ เพื่อเก็บสะสมแรงดูดสุญญากาศไว้ให้มากๆ เพื่อไว้ใช้ในตอนเบรกที่รอบสูงๆ และการเบรกติดต่อกันหลายๆครั้ง ส่วนในเครื่องยนต์ดีเซลมักจะต่อมาจาก ปั้มสุญญากาศแบบอิสระ หรือต่อพ่วงจากปั้มลมหลังตูดไดชาร์จอีกที

    3. วาล์วสุญญากาศ (Combo Vale) เป็นลักษณะ One Way Vale ทำหน้าที่ให้ระบบสุญญากาศ เป็นไปในทิศทางเดียว คือให้มีแรงดูดจากหม้อลมเบรกไปยังเครื่อง หรือปั้มลม ป้องกันแรงดันสุญญากาศย้อนกลับ หรือรั่วไหลออกจากหม้อลม


    4. แม่ปั้มเบรก (Master Cylinder) เป็นชุดสร้างแรงดันไฮโดริคให้กับน้ำมันเบรก ให้เกิดแรงดันสูง ภายในประกอบด้วยชุดลูกยางเบรกหลายตัว แต่ละตัวมีหน้าที่ส่งแรงดันของน้ำมันเบรก ไปในสาย หรือท่อน้ำมันเบรก แรงดันขึ้นอยู่กับขนาดของแม่ปั้ม ลูกสูบเบรก ขนาดของลูกยางเบรก และระยะของสากเบรกที่ติดกับแป้นเบรกว่ามีอัตตราทดเท่าไร
    5 น้ำมันเบรก (Brake Fluid) เป็นสารเหลวที่ใช้เป็นตัวกลางในการถ่ายทอดกำลัง แบบไฮโดรลิคไปสู่ปั้มเบรค หรือคาริบเปอร์เบรก อีกทั้งยังเป็นสารหล่อลื่นให้กับลูกยางเบรก ลูกสูบเบรก คุณสมบัติของน้ำมันเบรกแบ่งตามคุณสมบัติการทนความร้อน หรือที่เรียกกันว่า DOT (Department of Transportation) โดย DOT3 จะทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 205 องศา DOT4 ทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 230 องศา และDOT5 สามารถทนความร้อนได้ไม่ต่ำกว่า 260 องศาเซลเซียส

    6. ท่อน้ำมันเบรค และสายอ่อนเบรก (Brake Lines) อยู่ในระบบส่งแรงดัน ท่อน้ำมันหรือที่เรียกกันว่า แป๊ปเบรก เป็นท่อเหล็ก หรือทองแดงภายในกลวง เพื่อให้น้ำมันเบรกไหลผ่านด้วยแรงดันสูง


    7. สายอ่อนเบรก (Brake Host) สายอ่อนเบรกทำมาจากท่อยางไฮโดรลิค หลายชั้นหุ้มด้วยยางกันการเสียดสี และกันความร้อน สามารถอ่อนตัวไปตามการหมุนของล้อ และการขยับของช่วงล่างได้อย่างคล่องตัว
    8. ปั้มเบรก หรือคาริเปอร์เบรก (Caliper Brakes)
    ถ้าเป็นระบบดิสเบรก จะเป็นลักษณะเหมือนปากคีบ หรือเรียกกันว่าก้ามปู ภายในบรรจุลูกสูบเบรก แบ่งตามจำนวนลูกสูบ เรียกว่า พอร์ท เช่น 1 พอร์ท หรือ 4 พอร์ท เพื่อป้องกันการรั่วไหลของน้ำมันเบรกด้วยลูกยางเบรก เป็นชีลกลมๆรอบๆลูกสูปเบรก ป้องกันฝุ่นและน้ำเข้าด้วยลูกยางกันฝุ่นอีกครั้ง
    ในระบบดรั้มเบรก ปั้มเบรก จะเรียกกันว่ากระบอกเบรก เป็นลักษณะเป็นแท่งกลวงยาว ภายในบรรจุลูกสูบเบรก เป็นแท่งกลมประกอบติดกับลูกยางเบรกทั้ง 2 ด้านต่อมาดันผ้าดรัมเบรกให้ขยับเข้าออกได้

    9. จานเบรค แบ่งได้เป็น 2 ระบบคือ
    ระบบ ดรั้มเบรก (Drum Brakes) จานเบรกจะเป็นรูปถ้วย มีชุดแม่ปั้มเบรก และผ้าเบรกประกอบอยู่ภายใน ผ้าดรัมเบรกจะเป็นลักษณะรูปเสี้ยวครึ่งวงกลม 2 ชิ้น ประกอบกับชุดสปริงดึงกลับ ชุดสายเบรคมือ และชุดตั้งระยะห่างของผ้าเบรก
    ข้อดี ผ้าเบรก และจานเบรก มีเนื้อที่สัมผัสกันมาก การเบรกจึงมีประสิทธิภาพสูง สิ้นเปลืองวัสดุน้อย ผ้าเบรกสึกช้ากว่าอายุการใช้งานยาวนาน หมดปัญหาเรื่องจานเบรกคด
    ข้อเสีย ระบายความร้อนได้ช้า ในการใช้งานเบรกหนักจะเกิดอาการเบรกเฟด (เบรกลื่นในขณะความร้อนสูง) ต้องคอยตั้งระยะผ้าเบรกอย่างสม่ำเสมอ ระยะผ้าเบรกในแต่ละล้อที่ไม่เท่ากัน ส่งผลให้ประสิทธิภาพในการเบรกไม่เท่ากันไปด้วย รถอาจเสียการทรงตัวเวลาเบรกได้ ถ้ามีการเปียกน้ำต้องใช้เวลาในการสลัดน้ำทิ้งนาน หรือรอเกิดความร้อนจนน้ำแห้ง และจะเกิดอาการลื่น เกิดการสะสมตัวของฝุ่นเบรก ทำให้ประสิทธิภาพต่ำลง
    ระบบ ดิสเบรก (Disk Brakes) จานเบรกเป็นลักษณะกลมแบน คล้ายจานดิส มีทั้งแบบมีร่องระบายความร้อน และไม่มีร่องระบายความร้อน จานเบรกทำมาจากวัสดุหลายชนิด เช่นเหล็กหล่อ และวัสดุผสม ผ้าเบรกแบ่งเป็น 2 ชิ้นประกบกับจานเบรก โดยมีแม่ปั้มเบรก หรือก้ามปูหนีบไว้อีกที
    ข้อดี มีการระบายความร้อนที่ดี ลดอาการเบรกเฟดในการใช้งานเบรกติดต่อกัน และรุนแรง ระยะห่างผ้าเบรกมีการปรับตั้งได้เอง ตามความหนาของผ้า ทำให้ประสิทธิภาพดีเท่ากันในทุกล้อ ลดการสะสมตัวของฝุ่นเบรก
    ข้อเสีย จานเบรกติดตั้งภายนอกสัมผัสกับความชื้น น้ำ และฝุ่นผง ทำให้มีการสึกหรออย่างรวดเร็ว เกิดอาการบิดตัวได้ง่าย เมื่อต้องเจอกับน้ำในขณะมีความร้อน ใช้ต้นการผลิตทุนสูง


    10. ผ้าเบรก (Brake Pad) เป็นตัวที่ทำให้เกิดความฝืดระหว่าง ผ้าเบรก และจานเบรก ความฝืดมากมีผลทำให้รถยนต์ ลดความเร็วได้ระยะทางที่สั้นลง ผ้าเบรกแบ่งเกรดตามวัสดุที่ใช้ผสมในเนื้อผ้าเบรก และค่าความฝืดหรือค่า มิว Coefficient of Friction ได้ 3 แบบคือ
    1. NAO (Non Asbestos Organic) ใช้วัสดุที่มีความอ่อน จำพวก เคฟล่า ส่วนผสม ของยางไม้ ไฟเบอร์ จากเดิมที่เคยใช้พวกแร่ใยหิน Asbestos ที่ถูกยกเลิกไปแล้ว เนื่องจากความไม่ปรอดภัยต่อระบบหายใจ พวกนี้จะมีความฝืดที่ดีในอุณหภูมิต่ำ แต่ที่ความร้อนสูงจะจับตัวได้ไม่ดี มีเสียงรบกวนน้อย ส่วนมากใช้กับรถ OEM จากโรงงาน ระดับความฝืดอยู่ที่ 0.30 - 0.45
    2. Semi-Metallic ใช้วัสดุจำพวกใยโลหะที่มีความอ่อน มีส่วนประกอบเช่น เนื้อไฟเบอร์ประมาณ 50% เป็นตัวช่วยให้เกิดความฝืด และทนความร้อน ใช้เรซิ่นประมาณ 15% ช่วยในการประสานตัว และสาร Abrasive 10% และพวก Metal Power อีก 10 % พวกนี้จะมีความฝืดดีที่อุณหภูมิสูง ใช้กับรถบรรทุกหนัก และรถที่ใช้งานเบรกหนักอย่างต่อเนื่อง เช่นรถที่ชอบขับที่ความเร็วสูงเบรกบ่อยๆ ระดับความฝืดจะอยู่ที่ 0.40-0.55
    3. Fully Metallic ใช้วัสดุพวกผงเหล็กที่มีความละเอียด เช่นผงทองแดง ไททาเนียม เซรามิค คาร์บอน มาขึ้นรูป ผ้าเบรกพวกนี้จะมีประสิทธิภาพมากที่ความร้อนสูง มีความฝืดคงที่ แต่จะมีเสียงดัง มีการสึกหรอสูงทั้งผ้าเบรก และจานเบรก เหมาะสำหรับรถแข่งในสนามแข่งขันที่จานเบรกร้อนตลอดเวลา ระดับความฝืดอยู่ที่ 06.0 ขึ้นไป


    [​IMG]

    CLICKS!

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=rgbDyJhBb4c[/media]

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=WXxozXrWmZw[/media]

    [media]http://www.youtube.com/watch?v=xd5KDvXbE3M[/media]
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2009
  24. Dark_EK

    Dark_EK New Member VIP

    546
    28
    0
    ความรู้ที่ดีครับขอบคุนมากครับ
     
  25. pornnirun

    pornnirun New Member Member

    1,929
    44
    0
    ขอบคุณครับ
     
  26. nikexposure

    nikexposure Well-Known Member VIP

    3,466
    41
    48
  27. CARINA

    CARINA Well-Known Member VIP

    6,061
    165
    63
    ขอบคุณครับน้า
     
  28. spuknic

    spuknic New Member Member

    501
    52
    0
    ยอดเยี่ยม
     
  29. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    ?ѭ???ʹ?Ե?ͧ?к??á

    ?á???? ???ҡ?÷??????????º?á ????????֡??? ?á?ѹ?????????? ?á??? ??ͧ?͡?ç????º?á?ҡ? ?ҡ???á???? ?Դ?Ҩҡ???????˵? ?? ?ç?ٴ?ح?ҡ?Ȣͧ?????????? ???л????ٴ䴪??????? ???ͼ????????????? ????? PVC ???? Combo Vale ???? ?????????
    ?á??? ????????º?á????????֡??? ???á??ŧ??ӡ??һá?? ????º??ҧ????á??????ŧ? ???ҡ?âͧ?á??? ??ǹ?ҡ?Դ?Ҩҡ ?١?ҧ???????á?? ???ҡ???֡??? ???ͺ?? ??????ç?ѹ?áŴŧ ??ͧ?͡?ç?á?ҡ??? ???͵?ͧ????º?á????ѹ ????????
    ?á?Դ ?ҡ??????͹ö???ҡ???á?ӧҹ?????ʹ???? ö?е??? ?á??͹?ա??????????? ?á?Ѵ????-??? ö???????͡ ?ʹ??????ö????? ???ҡ?âͧ?á?Դ ??ǹ?ҡ?Դ?ҡ ????١?ҧ?ѹ??蹢ͧ???????á???? ??????չ?ӫ??????㹡?к͡?á ???Դʹ???Դ?Ѵ ?١?ٺ?á???????ö????͹???????͡??
    ?????? ????¹?ش???????????á??ҧ ?ʹ?ҢѴʹ???͡ ????????? ??С?к͡?á ???Ͷ????ʹ???ҡ???Դ???? ?з???????ѹ?á???ǫ???? ??ͧ????¹?١?ٺ?á ????????????駪ش

    [​IMG][​IMG]

    ?áᵡ ????ҡ?? ????º?á???? ???á?????á?? ?????á??з??Ѻ???ö ???͹?????????͹???Ǩ?ŧ?Դ??? ?????????º?á????ö?ѧ????觷??????????????? ????͹??????á
    ???˵?
    1. ?Դ?ҡ???Ǣͧ????ѹ?á ???????͹?áᵡ ??????áᵡ ???͹???ѹ?á???ǫ?????????ҹҹ ?١?ҧ???????á ??????????á??? ??????¨?????ѹ?á????????͡?????
    2. ????á??? ????ش?͡ ???????¤??駷?? ???ҷ?????á????ҹ? ????ѧ??????????????Ѻ???????¹ ????á?кҧ?ҡ????ش?͡?ҡ?ѡ???????á ?з?????١?ٺ?á??ش ?á??ᵡ?ѹ??
    3. ??ǹ??Сͺ??к??Դ?????ش???? ?Դ?????????˵? ???ҡ???á (???????????????ش????? ??????????????ѡ??ͤ) ??͵?ִ???á??ش ?ѡ?á ???ͤ??Ժ?????á?ִ????? ?????ǹ??Сͺ??ҧ???к??á??Сͺ???????ش?͡
    4. ?????͹?áᵡ ?????͹???????ҡ? ???Դ?ҡ?ú?? ???һ??ԡ?ٴ? ???????º?á??Ѻ ?ͧ???????͹?١?? ?ǡ????ѹ?????ҡ ????????º?á????ç?ѹ????ѹ?á??ӡ?????֡?? ??????ҤѺ?ѹ ????º?á?зѹ?ѹ???ҧ?ç ?????͹?á???Դ????Ѻ?ç?ѹ??????ᵡ?͡ ??С?õԴ????????͹?á???? ???´?աѺ??? ????ҧ ???????´?աѺ?к???ǧ??ҧ?ͧö

    [​IMG][​IMG]

    ?á??? ????ҡ?? ?á?????Դ???§?ѧ ????͹?????աѺ???? ?á????
    ???ҡ?âͧ???ҷ?????á??? ????á?ҧ??蹨?????ǹ????繵??????????СѺ?ҹ?á????????Դ???§?ѧ ???ҡ?????ѭ?ҳ??͹ ???͵Դ??? ??Է???????????ἧ˹?һѴ ??ͧ?պ????¹?·ѹ?? ???Шз???????á?աѺ???á??????? ?????????¹?ҹ?á???? ?????Թ?????ա
    ?á??? ????ҡ?÷??????º???? ???á?Դ?ҡ???蹢???ŧ? ????֡???????? ö????á????ҡ??????֡??蹶֧?ǧ????? ????????????º?á ?Դ?ҡ??????з?ҹ价?駤ѹ
    ???˵??Դ?ҡ ?ҹ?á?Դ??ä??Դ??? ???С????ҹ????ع?ç?Թ? ?????¹?? (?ҹ?á?????͹?Ѵ ?????͹???ѡ?кԴ????????) ?١?׹??????? ??͵??????? ????á?֡????????ҡѹ ?ҡ?ù???Դ?????к?????á ??д????á
    ?á???§?ѧ ?ҡ?? ?????§?ѧ????Դ???㹢???á ??ǹ?ҡ?Դ?Ҩҡ ????á ??Шҹ?á ?蹼???á??? ?????硼???աѺ?ҹ ?ҹ?á??????ҡ????ͧ?ҡ??? ????Թ?????ش???????´?? ??ͧ???èҹ?á???? ???Ҽ???á?????? ?ҹ?á?????º?? ???§???ѧ?ѡ?Դ?ҡ ???§?ͧ????á?ͧ ????á????Ե??????ҵ?Ұҹ ?Ѵ????ٻ?Դ??Ҵ ???Դ??????? ?繪?ͧ??ҧ????ҡ?????????Դ???§?ѧ ??????????ѧ??¤?Ѻ????????????? ???????§??????ͧ ?????ҹ????ҡ ???????¹????á????????????Ըա?÷??շ???ش??Ѻ

    ?á࿴ ????ҡ???á???? ?á???????㹢?з????????????٧ ???͵Դ??͡ѹ???????? ???????áẺ?ѡ??? ?ҡ?ù???Դ????? ???ҷ??Ѻö?Ҵ??¤????????٧?ҡ? ?????á?????á???á????? ?????á?ա?????ա?Ѻ?Թ?ҡ?????????͹?ѧ???????º?á??? ?????ҹ?ҡ????ҡ
    ???˵??Դ?ҡ ??????͹?ͧ?ҹ?á????٧?Թ? ?ҹ?á?????ҹ˹ѡ?Ҩ???Դ??????͹?٧???? 1,000 ͧ?? ?ҹ?á?Ҩ?Դ???????ᴧ ????͹???硶١??? ????Դ??â??µ???ҡ ????к?¤?????͹?ͧ?ҹ?á???? ????á????դس???ѵ?㹡?÷???????͹??? ???Դ????ء??????????? ???????ö?Ѻ?ҹ?á????????? ????֧????ѹ?á???س???ѵ?㹡?÷???????͹??? ?з???????ѹ?á??ʹ ?Դ??â??µ???繿ͧ?ҡ?? ??????ç?ѹ????ԤŴ???ŧ
    ?ҡ???á࿴??? ????繻ѭ?Ңͧ?ѡ??? ???ͺ???áẺ?ع?ç ?á?????Դ??͡ѹ ??? ö???Ѻ???? ?????????٧

    [​IMG][​IMG]

    ??ô????ѡ???к??á ??Т?ͤ?????ѧ
    ???????¹???¹???ѹ?á ?????Ҩ?????ա??????????Ŵ?дѺŧ???ҧ㴡??? ????ѹ?á??????Ѻ???????¹???»????ҧ???»??? 1 ???? ???й???ѹ?á????ǹ??Сͺ?Ҩҡ????ѹ??? ?֧?ա???????ǡѺ?͹??????? ??????к??á?Դʹ?? ??????͹????٧?Թ价?????Դ?ͧ?ҡ??㹷?͹???ѹ ??蹼?????֡??ͧ͢?١?ҧ?á?????´?? ?Ѻ???????á ??????к͡?á??????????Ǣ?? ????ѹ?á??ͧ???͡?????ç?Ѻ??õ?Ұҹ??????Ե??˹? ?? DOT3 ?????????ö?ӹ???ѹ?á DOT ??蹼?? ???͹ӹ???ѹ???????᷹ ???Шз?????١?ҧ?á?????
    ???????????ҧ????á ??к???????á ??????ҧ?????ҧ??? ??Шҹ?á????ҡ??? ???ѧࡵ??ҡ???????º?á?е??ŧ ??С?ô֧?á??ͷ???٧??? ?дѺ????ѹ?áŴ???ŧ ??õ?ͧ?ӡ?öʹ?ҹ?á?ҷӤ??????Ҵ ??ҽ?蹷?? ??е?????м???á???Դ??? ??õ?駨???䢤ǧ??????ͧ????????ع????ѹ??? ??ҹ??ѧ?ҹ?á ??????????????????ع?ѧࡵ?????????????ع?״??? ?????????? ?ӷ?? 2 ??? ?????ѧࡵ?ҡ???§?á? ???Ҵ֧?á??ͤ?è??????? 5 ? 7 ?á

    ??õ?Ǩ?ͺ????á ????á????ǹ????֡??????ǡ?????ǹ??? ?????ա???????շ?駨ҹ?á ??н?蹵?ҧ? ??öʹ???繻?Ш? ?ѧࡵ???º??º?Ѻ????á?ͧ?????С??ͧ ???դ???˹??? 100 % ????á????????Ǥ???˹Ҩ?Ŵŧ??????? 㹨ش????ӡ??? 40 ? 30 % ??鹶?????????ʹ??? ???м???á㹪?ǧ???????͹??? ????֡??ͨ??Ǵ???ǡ?????????ҵ?? ???֧?дѺ?ҧ?ҡ ???ͼ???á?Ҩ??ش??͹?????ҧ?зѹ?ѹ ?繼???????????աѺ?ҹ?á????????? ?????Թ???? ???Ͷ?Ҽ???á??ش?͡?ҡ?ѡ?á ?١?ٺ?????á ??й???ѹ?á????ش?͡ ??????¡?ѹ????áᵡ????ͧ
    ???????¹?ҹ?á ??С?????èҹ?á ????????á????????м???????ҡ ??? ?Թ ??С?û??????????á??? ?з????ҹ?á????? ??âѺö??¹?Ӣ?з??ҹ?á??͹ ?з????ҹ?á?? ???ͺԴ??? ??ͧ?ӡ?????èҹ ????????ͧ??????èҹ?á ???? 2 ?Ը? ??öʹ?ҹ?á?????ô???????ͧ???èҹ Ẻ????ͧ?????ç?٧????Ҩ??ͧ?ա??????¹??ú??١?׹??????? ????§?????ɽ?蹼????硻л??Ѻ??û?Сͺ?ҹ?á?׹ ??С????????ͧ???èҹẺ??ЪԴ??? Ẻ???????ͧ???????Ҷʹ?ҹ?á ????١?׹??? ????????§?ç?????͹???????Ѻ??Ҿ?????? ????١?׹??? ??????????ͤ???????? ??????èз????ҹ?á?ҧŧ ?ҹ?á???ҧ?з?????Դ???ᵡ???? ??Ф?????? ???????¹?ҹ?á???????繡?ôշ???ش

    ??÷Ӥ??????Ҵ?ҹ?á ????ը?ú? ???????Ỵ???͹ ?Դ??????ҹ?á ???????????ҧ?ҹ?á??੾?? ??????????ѹ?????ҷӤ??????Ҵ ???Ͷ?????ը?ԧ? ?????Թ???? 100% ???? ??š????ź???ط????ҹ??

    ??õ?Ǩ?ͺ?????͹?á ??õ?Ǩ?ͺ?繻?Ш????????? ????????????ҡ?ú?? ?Դ???????ٻ ??͡??????¹͡?ա?Ҵ ?????ա?????´?? ????պ????¹?ѹ?? ?????Ҩ???Դ???ᵡ??????
    ?????ҧ???????¹?ش?????á ?á??????Ѻ?????ҹ?????繻?Ш? ??????Ѻ???????¹?ش???? ?Ӿǡ?١?ҧ???????á ?١?ҧ?١?ٺ?á ????ҧ?ѹ??? ???ҧ???? 2 ? 4 ?դ??? ???Ͷ?????ա????¹?? ??ͧ?պ??Ǩ?礷ѹ?? ????١?ҧ?ѹ??蹷??????????Ҿ ?????????ö?ѹ?????н???? ??ӷ??????ҹ????㹡?к͡?á ??????????á ?з?????١?ٺ?á????Դʹ?? ?繵??? 㹡?к͡?á ??????Դ?ҡ???á?Դ ???͹???ѹ?á???ǫ??


    CREDIT : THAISPEEDCAR.COM
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2009
  30. DUKE_68

    DUKE_68 Well-Known Member Privilege

    6,189
    129
    63
    เริ่มต้นโมดิฟายด์เบรกให้อยู่ขึ้น และวิธีต่างๆที่นิยมกัน

    จากเมื่อตอนที่แล้ว เราพอจะทราบกันแล้วว่าระบบเบรก ประกอบไปด้วยอุปกรณ์ตัวใดบ้าง ปัญหาต่างๆของระบบเบรก และการดูแลรักษา เรามาดูกันต่อว่าถ้าเราคิดว่า การใช้งานเบรกของเรานั้น รุนแรงกว่าที่เบรกธรรมดาจะรับแรงกระทืบของเราได้แล้ว ควรทำอย่างไร และการโมดิฟลายระบบเบรกนั้น ควรเริ่มต้นโมกันจุดใด มีวิธีอย่างไหนบ้าง

    [​IMG][​IMG]

    1. เปลี่ยนผ้าเบรกใหม่
    เป็นวิธีแรก ที่นักซิ่งเริ่มทำกันเมื่อรู้สึกว่า เริ่มจะเบรกไม่อยู่ คื่อการหาผ้าเบรกเกรดที่ดีกว่ามาใช้แทน ผ้าเบรกที่เกรดสูงกว่ามาตราฐาน OEM จากโรงงาน คือผ้าเบรกที่มีคุณสมบัติทนความร้อนสูงขี้น และมีความฝืดสูงจำพวก Semi Metallic ที่มีส่วนผสมของ พวก Orgarnic , Sinter Metal , ไฟเบอร์ , ผงอลูมิเนียม และผงทองแดง พวกนี้จะมีแรงฝืดที่อุณหภูมิสูง คือตอนจานเบรกร้อนจะจับตัวดี แต่ตอนเย็นๆอาจจะลื่นๆ ซึ่งผู้ใช้ต้องควรระวัง

    การเลือกซื้อ
    ผ้าเบรกพวก Woven Lining หรือพวกที่โฆษณาว่าเป็นผ้าทองแดง ราคาถูก พวกนี้ไม่ต่างจากของ OEM มากเท่าไหร่ แค่นำทองแดงมาผสมให้ดูดี แต่ใช้งานตอนเย็นๆก็เบรกดี แต่พอร้อนๆหน่อยเบรกไม่อยุ่ซะงั้น พวกนี้ไม่ควรเลือกซื้อครับ

    ผ้าเบรกพวก Semi Metallic ราคาจะอยู่ที่หลักพันต้นๆ ถึงหลักพันปลายๆ ขึ้นอยู่กับส่วนผสมของแต่ละยี่ห้อ ถือว่าใช้ได้ดีกับรถซิ่งตามท้องถนน ข้อเสียคือกินจานเก่ง และอาจมีผงดำติดล้อแม็ค

    ส่วนพวก Fully Metallic ราคาจะอยู่หลัก 3 พันขึ้น พวกนี้เบรกอยู่ดี แต่อาจมีเสียงดังบ้าง จานเบรกจะสึกหรออย่างรวดเร็ว คุณภาพดีมากแต่ราคาก็สูงตามขึ้นไปด้วย ถ้าการเบรกไม่ขนาดหักโหมแบบ One Make Race แบบ Semi ถือว่าเพียงพอต่อการใช้งานแล้ว
    ในรถที่ใช้ในสนามจริงๆมักจะใช้แบบล้อหน้ายี่ห้อหนึ่ง แต่ล้อหลังอีกยี่ห้อ หรือคนละชนิดกันเลย ขึ้นอยู่กับทีมช่างจะเลือกใช้ให้เหมาะกับการขับขี่ของนักแข่งแต่ละคน

    [​IMG][​IMG]
    [​IMG][​IMG]

    2. เปลี่ยนเป็นระบบดิสเบรกหลัง
    สำหรับรถที่เป็นดรัมเบรกหลัง การเปลี่ยนเป็นระบบดิสเบรก เป็นทางเลือกที่ดี ส่วนมากนิยมซื้อชุดดิสเบรกจากเชียงกง ของเก่ายี่ปุ่นตรงรุ่นมาใส่

    การเลือกซื้อชุดดิสเบรค ควรเลือกให้ตรงรุ่นกับรถที่เราใช้อยู่ จุดยึดต่างๆต้องเหมือนกัน สายเบรกมือต้องอยู่ในสภาพสมบูรณ์ไม่ขาดหาย จานดิสเบรกยังหนาไม่เป็นรอย ผ้าเบรกยังหนาใช้ได้อีกนาน สายอ่อนเบรกไม่แตกร้าว และคานปีกนกที่ติดมาต้องไม่บิดเบี้ยวเพราะการกระแทก หรือเกิดการชน แต่สิ่งที่สำคัญที่สุดในการเปลี่ยนดิสเบรกหลัง คือต้องเปลี่ยนดิสเบรกหน้าให้มีขนาดโตขึ้นตามขนาดของรถที่เราหยิบยืมดิสเบรกหลังเขามา รุ่นที่เป็นดิสเบรกหลัง สังเกตุได้ว่าจานดิสเบรกหน้าจะโตกว่า รุ่นดรัมเบรก จึงควารหาดิสเบรกหน้ามาใส่ให้ตรงรุ่น เพราะฉะนั้นแรงจับหลังอาจมีมากกว่า เกิดอาการท้ายปัดได้ ส่วนสำหรับผู้ที่เปลี่ยนดิสเบรกหลังแล้วรู้สึกว่าเบรกไม่อยู่ จานเบรกหลังไม่จับ ส่วนมากมักเกิดจาก วาล์วลดแรงดันน้ำมันเบรก เป็นวงจรลดแรงดันน้ำมันที่จะไปสู่ล้อหลัง ต้องเปลี่ยนใหม่ให้ตรงกับรถรุ่นที่เป็นดิสเบรกหลัง

    [​IMG][​IMG]

    3. เปลี่ยนหม้อลมเบรกให้ใหญ่
    บางครั้งแล้วเราคิดว่า หม้อลมเบรกใหญ่จะทำให้เบรกอยู่ขึ้น แต่จริงๆแล้ว หม้อลมเบรกทำหน้าที่ในการช่วยผ่อนแรงเท้าที่เหยียบเบรกเท่านั้น ขนาดของหม้อลมมีความสัมพันธ์กับน้ำหนักรถ แรงดูดสุญญากาศกับเครื่องยนต์ ความแรงของเครื่องยนต์
    การเลือกซื้อหม้อลม ควรจะเลือกให้โตขึ้นอีกนิดหน่อย เช่นเป็นหม้อลมแบบชั้นครึ่ง พวกนี้จะมีเนื้อที่เก็บแรงดูดสุญญากาศไว้ช่วยในการเหยียบเบรกได้หลายๆครั้ง ส่วนการเปลี่ยนหม้อลมที่มีขนาดโตเกินไป อาจทำให้การเหยียบเบรกเบาๆ ล้อก็เกิดอาการล็อค ถือว่าอันตรายมาก หรือถ้าแรงดูดของเครื่องไม่พอ ก็เกิดอาการเบรกตื้อได้ วิธีดูหม้อลมที่ดี ต้องไม่มีการบุบ ลองกดขา และใช้นิ้วอุดท่อลมดู ต้องไม่มีอาการรั่ว หรือมีเสียงดัง แม่ปั้มเบรกไม่มีน้ำมันรั่ว หรือมีน้ำมันเบรกค้างอยู่ในหม้อลม สากเบรกที่ตัดต่อต้องมีความแข็งแรงพอ

    4. เปลี่ยนจานเบรกให้ขนาดโต
    สำหรับรถที่แรงม้าสูงๆ ารเปลี่ยนจานเบรกให้มีขนาดใหญ่ขึ้น ถือเป็นทางเลือกที่ดีที่สุด จานเบรกที่มีขนาดโต จะทำให้เนื้อที่จานเบรกมีขนาดมากขึ้น สามารถใช้ผ้าเบรกที่มีขนาดกว้างขึ้น แรงฝืดจึงสูงกว่า และจานเบรกที่มีขนาดโตจะทำให้จานมีเนื้อที่ระบายความร้อนได้มากขึ้น ระบายความร้อนได้เร็ว จานเบรกยิ่งมีขนาดโตขึ้นเท่าไหร่ ยิ่งสามารถลดรอบการหมุนของล้อได้เร็วขึ้น ออกแรงน้อยลง เป็นลักษณะการผ่อนแรงในระบบคาน แรงเบรกที่วงนอกสุดจะออกแรงน้อยกว่า แรงเบรกที่อยู่ในวงในสุด คล้ายกับเบรกก้ามปูของจักรยาน ที่จับบนขอบล้อ จะลดรอบได้เร็วกว่า
    การเลือกซื้อ ในรถที่สามารถหยิบยืมจานดิสเบรกขนาดโตมาใส่โดยไม่ต้องดัดแปลงถือว่าโชคดี
    และปลอดภัยที่สุด เช่นตระกูลนิสสันมักนิยมใช้ของ SKYLINE R32 R33 แม่ปั้ม 4 Port ถือว่าคุ้มค่า ราคาตั้งแต่ 3500 ขึ้นไป หรือพวก S14 หรือถ้าตะกูล Toyota ก็พวก CELICA GT4 หรือพวก Mitsu ก็พวกตระกูล EVO นั่นเอง
    สำหรับรถที่ต้องทำการดัดแปลง จากระบบดิสเบรกรุ่นอื่น ยี่ห้ออื่น การดัดแปลงทำได้หลายวิธีเช่น กลึงดุม และเจาะรูจานเบรกให้พอดีกับรูของล้อ หรือสร้างอแดปเตอร์มาเสริมให้ใส่จานเบรกได้พอดี ส่วนการยึดคาริเปอร์เบรกถือว่าเป็นส่วนที่สำคัญมากที่สุด การดัดแปลงจุดยึดคาริเปอร์ควรใช้ระบบการสร้างอแดปเตอร์ แบบปีกผีเสื้อ ใช้เหล็กที่มีความหนา หรืออลูมิเนียมเกรดสูงมาตัดสร้าง เจาะรูยึดน๊อตติดกับรูคาริเปอร์เดิม ส่วนอีกด้านหนึ่งยึดกับคาริเปอร์ตัวใหม่ที่ใหญ่กว่าเดิม ส่วนการตัดหูยึดคาริเปอร์เดิม แล้วสร้างเหล็กมาตัดเชื่อม ถือว่าเป็นการไม่ปรอดภัย เพราะหูยึดคาริเปอร์เก่าติดดุมจะเป็นเหล็กหล่อ ส่วนหูยึดคาริปเปอร์ใหม่ที่สร้างขึ้นนิยมใช้เหล็กเหนียวตัดเป็นหูและเชื่อมติดกัน วิธีนี้จะทำให้เหล็กหล่อที่ได้รับความร้อนในการเชื่อม เกิดความเปราะแตกร้าวง่าย ลวดเชื่อมคุณภาพต่ำไม่สามารถประสานรอยเชื่อมได้ดี
    5. การเจาะรู และ เสาะร่องจานเบรก
    รูบนจานเบรกทำหน้าที่ในการระบายความร้อนระหว่างผ้าเบรก และจานเบรก ในใช้งานที่อุณหภูมิสูงความร้อนระหว่างผ้าและจานจะสูงมากเกิดเป็นไอความร้อนในรูปของแก็ส ทำหน้าที่สกัดกันการสัมพัสกันระหว่างผ้าเบรกและจานเบรก การเจาะรูจึงช่วยในการระบายความร้อน และแก็สให้ผ่านรูเล็กๆออกไป
    ร่องจานเบรกทำหน้าที่กวาดฝุ่นผงของ ผ้าเบรกให้หลุดออกได้ง่ายขึ้น เป็นการช่วยทำความสะอาดผ้าเบรกไปในตัวเท่านั้นเอง
    สำหรับจานเบรกซิ่งส่วนมากจะมีการเจาะรู และเสาะร่องมาจากโรงงาน แต่สำหรับจานเบรกแบบโรงงานก็สามารถนำมาเจาะรู ได้ การเจาะรูต้องมีการคำนวน ระยะห่างให้เหมาะสม การเจาะรูจานเบรกแม้จะช่วยในการระบายความร้อน แต่ก็เป็นจุดอ่อนทำให้จานเบรกเกิดการแตกร้าวได้ง่ายๆ (แม้แต่จานเบรกซิ่งยังแตกร้าวให้เห็นกันบ่อยๆ) ดังนั้นการเจาะรูจานเบรกไม่ควรเจาะรูให้ถี่มากเกินไป หรือใช้เป็นระบบนำจานเดิมไปเซาะร่องก็ถือว่าเพียงพอแล้ว แถมยังง่ายต่อการดูแลอีกด้วย

    [​IMG][​IMG]

    6. คบหากับชุดเบรกซิ่ง
    จานเบรกซิ่งสมัยนี้มีให้เลือกมากมายหลายยี่ห้อ ราคามือสองก็ตั่งแต่หลักหลายหมื่น จนถึงหลักแสน ถ้าเป็นของใหม่ราคาต้องเล่นกันที่หลักแสนอย่างเดียวครับ จานเบรกซิ่งส่วนมากจะทำเป็นลักษณะ 2 ชั้น วงนอกเป็นจานเบรกโลหะผสมเกรดสูง แล้วแต่สูตรของแต่ละยี่ห้อ ส่วนด้านในเป็นจานสำหรับยึดดุมล้อ ทำจากอลูมิเนียมเกรดสูง 7075 ยึดน๊อตโดยรอบกับตัวจานดิสเบรก จานดิสเบรกแบบนี้มีข้อดีอยู่ที่ น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้เร็ว ด้วยวัสดุที่ดีกว่าการเจาะรูระบายความร้อนจึงเสี่ยงต่อการแตกร้าวยากกว่า การออกแบบเป็น 2 ชั้นแยกจากกัน ช่วยลดการบิดตัวของจาน ลดอาการเบรกสั่น และยังช่วยให้จานเบรกบิดตัวรับกับผ้าเบรกได้แนบสนิทขึ้น
    ส่วนคาริเปอร์มีทั้ง แบบ 2 พอร์ต 4 พอร์ต และ 6 พอร์ต ทำจากอลูมิเนียมอัลลอยผสม น้ำหนักเบา ระบายความร้อนได้ดี ลูกสูบเบรก ใช้แบบน้ำหนักเบา ป้องกันความร้อน ลูกยางเบรกเป็นลูกยางเกรดพิเศษ ทนความร้อนสูง ใช้งานได้กับน้ำมันเบรกเกรดสูงได้เป็นอย่างดีไม่มีบวม
    ผ้าเบรกจะใช้เป็นเกรดสูงจำพวก Fully Matallic มีแรงฝืดสูง และทนความร้อนได้กว่า 1,200 องศาเซลเซียส
    ดั้งนั้นรถแต่งที่ใช้งานหนัก แรงม้าสูงๆ และใช้งานเบรกอย่างต่อเนื่อง อย่างพวกรถแข่งในสนาม จำเป็นต้องลงทุนคบหากับจานเบรกซิ่งเสียเป็นส่วนใหญ่ เพื่อลดการเกิดอุบัติเหตุ สูญเสียระยะเบรกน้อย และทำเวลาได้ดีขึ้น
    ส่วนจานเบรกที่ใช้กับรถแข่งระดับโลก มักจะนิยมใช้จานเบรกที่ทำจาก วัสดุเซรามิคผสม ทนความร้อนได้กว่า 1,600 องศา และคาริบเปอร์แบบลูกสูบไททาเนียม ซึ่งราคาคงไม่ต้องพูดถึง
    การเลือกซื้อ ถ้าเป็นของใหม่เกาะกล่อง แค่กำหนดขนาด ให้ตรงกับรุ่นรถที่เราต้องการเท่านั้น แต่ถ้าเป็นของเก่าเชียงกง ต้องดูที่จานเบรกต้องไม่ไหม้ หรือสึกหรอรุนแรง ผ้าเบรกยังเต็มๆ เพราะถ้าซื้อมาแล้วใช้ได้ไม่นานผ้าหมด ก็เสียเงินเพิ่มอีก หาซื้อผ้าเบรกยากมาก ยิ่งจานหมดด้วยแล้ว ซื้อใหม่ทั้งชุดอาจง่ายเสียกว่า

    [​IMG][​IMG]

    7. เปลี่ยนน้ำมันเบรกให้ DOT สูงขึ้น
    สำหรับน้ำมันเบรก ที่มีค่าทนความร้อนได้สูงขึ้นที่เรียกว่า DOT นั้น มีส่วนป้องกันการเดือดของน้ำมันเบรก น้ำมันเบรกที่เดือดจะเกิดฟองอากาศ ประสิทธิภาพจะลดต่ำลงทันที สำหรับผู้ที่ใช้งานเบรกที่รุนแรงต่อเนื่อง การเปลี่ยนน้ำมันเบรกให้มี DOT สูงขึ้น ช่วยป้องกันการเดือดได้เป็นอย่างดี โดยคำนึงถึงค่า DOT เช่น DOT 3 ทนความร้อนได้ 205 องศา DOT 4 ทนได้ 230 องศา ส่วน DOT 5 ทนได้ 260 องศา การใช้เบรกที่รุนแรงก็ควรเปลี่ยนน้ำมันเบรกให้คุณภาพดีขึ้นด้วย
    8. เปลี่ยนสายอ่อนสแตนเลสถัก
    สายอ่อนสแตนเลส ภายในมักจะผลิตจาก เทฟล่อนอย่างดีทนความร้อน และการกัดกร่อนได้สูง ภายนอกถักขึ้นรูปด้วยเส้นใยสแตนเลส ป้องกันการขยายตัว และการเสียดสี หัวต่อแบบไฮโดรลิคอย่างดีป้องกันการหลุด หรือแตก
    สายอ่อนสแตนเลส มีข้อดีกว่า สายอ่อนแบบยาง ตรงที่ สายอ่อนไม่มีการขยายบวมในขณะที่แรงดันน้ำมันเบรกสูงๆ การบวมตัวของสายอ่อนทำให้แรงดันที่ส่งมายังคาริบเปอร์เบรกลดต่ำลง การเปลี่ยนสายอ่อนสแตนเลส จะช่วยให้แรงดันที่ส่งมายังแม่ปั้มคาริบเปอร์สูงกว่า ออกแรงในการเหยียบเบรกน้อยลง ให้สัมพัสที่เท้าเบรกได้มากกว่า ง่ายต่อการควบคุมจังหวะเบรก
    การเลือกซื้อ ถ้าเป็นของใหม่ง่ายๆแค่ซื้อให้ตรงรุ่น ความยาวใกล้เคียงกับของเดิม หัวต่อตรงรุ่น ตรงเกลียวกับรถของเรา ถ้าเป็นของเก่าสภาพต้องไม่มีชำรุด หรือน้ำมันเบรกซึม หรือเก่ามากเกินไป ขยับดูสายต้องไม่แข็ง
    การโมดิฟลายระบบเบรกยังมีอีกมาก หลายวิธี แค่ยกตัวอย่างมาให้พอเข้าใจ แต่ที่สำคัญคืออย่ามองข้ามความปรอดภัย อย่างที่ว่า รถยนต์ที่วิ่งด้วยความเร็วสูง ย่อมหยุดยาก ถ้าหยุดไม่ได้แล้ว ย่อมเสียหายมาก ฝากไว้ด้วยครับ


    [​IMG][​IMG]

    CREDIT : THAISPEEDCAR.COM
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 8 กรกฎาคม 2009
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้