สะดุ้งตื่นเป็นพักๆยันเกือบเช้า เนื่องจากอากาศร้อน อบๆ ฝนตกหนัก ฟ้าร้อง มารู้ตัวอีกทีก็เกือบสว่าง ไฟมาแล้ว พี่เก่งลุกขึ้นไปเปิดแอร์ ได้นอนเย็นๆกันซักที ตอนนั้นฝนหยุดตกแล้ว ออกมานอกห้อง อากาศยังครึ้มๆอยู่ ปลุกน้องแพนออกไปเดินถ่ายรูปเล่นครับ กะว่าวันนี้จะเอารถข้ามแม่น้ำไปถ่ายรูปแถวๆที่เค้าเลี้ยงควายอยู่ซะหน่อย บ้านพักของเราครับ บรรยากาศของนักท่องเที่ยวยามเช้าที่ตื่นมาถ่ายรูปกัน ว่าแล้วก็ปล่อยครอบครัวพี่เก่งนอนต่อเหมือนเดิม ผมกับแพนออกมาเดินถ่ายรูปเล่น ไอน้ำจากท่อไอเสียที่เกิดจากความเย็นของอากาศในช่วงเช้า พร้อมกับขับรถข้ามแม่น้ำมาเก็บภาพสวยๆริมน้ำซองพร้อมกับ Terios ที่อุส่าห์พาเรามาถึงที่นี่ได้ เรือนำเที่ยวน้ำซองเริ่มพาลูกค้าออกเที่ยวบ้างแล้ว 2 รูปนี้อธิบายความหมายของประโยค "เราเป็นแค่ส่วนเล็กๆของธรรมชาติ" ได้เป็นอย่างดี ขอหล่อบ้างนะ เมื่อพระอาทิตย์เริ่มขึ้น จึงเตรียมตัวไปตลาดเช้าเพราะตั้งใจไว้แล้วว่าเช้านี้จะไป ก่อนไปเจอคนไทย 1 คนกำลังถ่ายรูปเล่นอยู่ ผมจึงชวนเค้าไปด้วย แต่ดูจากเวลาแล้วเค้าว่าไม่น่าจะทัน เพราะเค้าต้องขึ้นรถกลับเวียงจันทน์ตอน 9 โมงหรือไงนี่แหละ ซึ่งตอนนั้นก็ 8 โมงเข้าไปแล้ว เราจึงไปกันแค่ 2 คน น่าเสียดายที่ไม่ได้พาพี่คนนั้นมาด้วย ตลาดเช้าเลยจากที่พักที่ผมนอนคืนแรกที่วังเวียงไปหน่อยเดียวครับ มีของขายแปลกๆเยอะ ทั้งหนังควายสำหรับเอาไปปิ้งกิน แมลงแปลกๆ หนอนด้วงตัวใหญ่ๆ กระรอกก็กองขายไว้สำหรับให้คนซื้อไปทำอาหาร นกก็มี ตลาดที่นี่วิวข้างหลังเป็นภูเขามีหมอกคลุมอยู่ยอดเขา สวยมากๆเหมือนที่ในหนังสือบอกไว้เลย ผมใช้เวลาไม่นานนักที่ตลาดเพราะก็ไม่รู้จะซื้ออะไร ได้แต่ถามโน่นถามนี่แม่ค้าไปเรื่อย ถ้าร้านไหนแม่ค้าสวยหน่อยก็จะคุยนานหน่อย ^_^ ขับรถกลับมาที่บ้านพักครับปลุกทุกคน เก็บของ กินอาหารรองท้องกันด้วยแซนวิชยักษ์ทั้งใหญ่ทั้งยาว เค้าขายอยู่ริมถนนหน้าที่พักเรานั่นแหละ ตอนนั้นก็ติดต่อบริษัททัวร์หน้าที่พักเรานั่นเองว่าตกลงเราจะใช้บริการคุณนะ และเริ่มต่อรองราคาสำหรับ 5 คน ถ้าจำไม่ผิดเราได้ราคาคนละ 250 นะ ก็ถือว่า OK มีเรือ มีชูชีพ มีไกด์ให้ 1 คน สำหรับคณะของเรา เก็บตกวิวยามเช้า บัตรเติมเงินของที่นั่นครับ เล็กดีประหยัดกระดาษ ลืมเล่าให้ฟังว่าโทรกลับไทยก็ OK ดีนะ เสียงจะดีเลย์กันประมาณ 4 - 5 วิ เติมเงินหมื่นกีบ โทรซัก 4 - 5 นาทีก็หมดแล้ว ระหว่างรอรถมารับเราเพื่อจะไปปล่อยที่จุดลงน้ำก็เห็นร้านข้างๆเป็นจุดเช่าห่วงยางสำหรับล่องน้ำซอง ไม่รู้นะครับ บางคนว่าได้บรรยากาศ แต่ผมว่ามันอันตรายไปหน่อย เพราะน้ำซองที่ล่องกันบางช่วงเป็นแก่งเล็กๆ มีโขดหินมากมายทั้งที่โผล่เหนือน้ำและอยู่ใต้น้ำ การนั่งห่วงยางล่องแม่น้ำอย่างไร้ทิศทางคงต้องมีโดนแก่งโดนหินกันบ้าง คันนี้ขนนักท่องเที่ยวไปล่องหวงยาง รอซักพักรถก็มารับเราพร้อมไกด์นำทาง ระหว่างทางเจอรถตกถนนด้วย คาดว่าพยายามกลับรถแต่ไม่ทันระวัง เป็นรถป้ายทะเบียนลาว ผู้หญิงทั้งคันเลย ^_^ ที่เห็นนี่คือโรงเรียนครับ เป็นโรงเรียนที่วิวสวยและอากาศดีที่สุดแห่งนึงของโลกเลยทีเดียว เรานั่งรถออกไปเลยวังไซไปหน่อยเดียวครับ เริ่มพายกันจากตรงนั้น โดยแบ่งเป็น 2 ลำ ลำละ 3 คน ลำแรกให้พี่เก่งนั่งหน้า อ้อถือกล้องนั่งกลาง ไกด์ชำนาญการพายเรือและรู้ไลน์ในแม่น้ำนั่งหลัง ไกด์รับประกันว่าลำนี้ยังไงก็ไม่เปียก เลยให้อ้อนั่งถือกล้องไว้ตรงกลาง อีกลำเป็นแพน แอ้ และผม ซึ่งผมกับแพนเคยพายเรือประเภทนี้มาบ้างแล้วจึงพายกันเองได้ กลุ่มนักท่องเที่ยวฝรั่งที่มาล่องห่วงยางกัน เห็นไหม ห่วงยางลอยไปไร้ทิศทาง ไปเจอจุดที่มันตื้นก็ดากครูดพื้นลอยต่อไปไม่ได้ 555 ก่อนเริ่มพายก็เก็บภาพกันซักหน่อย เริ่มพายซักพักก็ถึงวังไซจุดโดดน้ำเล่นที่เรามานั่งกินข้าวแบบกร่อยๆกันเมื่อวาน ถ่ายจากข้างล่างสามารถมองเห็นความสูงได้อย่างชัดเจน ตรงนั้นเจอนักท่องเที่ยวมากมาย ซึ่งตรงนี้เราสามารถแวะเล่นน้ำได้โดยที่ไกด์ก็จะรอเรา แต่เราไม่แวะเล่นครับ เพราะเดี๋ยวเราต้องกลับไปเวียงจันทน์วันนี้แล้ว จึงไม่มีเวลามากพอที่จะมาเล่นน้ำอีกรอบในวันนี้ ระหว่างทางผ่านแก่งย่อมๆหลายแก่ง ต้องให้ไกด์น้ำทางให้ครับ ไม่งั้นเราไม่รู้เลยว่าควรล่องไปทางไลน์ไหน จุดนี้เรียกว่าถ้ำนอนครับ เป็นจุดเที่ยวระหว่างการพายเรือ ตามข้อมูลคือเป็นถ้ำที่คนลาวสมัยก่อนใช้เป็นที่อยู่อาศัย แก่งนี้น่ากลัวมากๆหินโผล่เป็นก้อนๆเลย มีบางช่วงลำผมตามไลน์ไม่ทันครับ หินก้อนใหญ่ผลุบๆโผล่ๆอยู่ข้างหน้า ผมหักหัวเลี้ยวหลบแต่ด้วยความแรงของน้ำ เรือเราก็ขวาลำเข้าไปหาหินก้อนนั้น ยังไม่ทันได้หักหัวกลับหรือพายเพื่อเร่งเรือให้พ้นหิน .... เข้ากลางลำไปแล้วครับพี่น้อง ไกด์ที่นำไลน์ไปแล้ว หันเรือกลับมาดูลำผมครับว่าจะผ่านได้ไหม แล้วอ้อก็เหมือนจะรู้นะว่าลำผมจะโดนแน่ๆ ตั้งกล้องรอถ่ายเลย จึงได้ภาพขณะกระแทกหินจนแทบจะตกเรือมาครับ นี่ก็ขอหล่อบ้าง ... เราพักกลางทางเพื่อเอาน้ำออกจากเรือผมด้วย เหมือนว่ามันจะรั่วนิดๆ แต่ไม่เป็นปัญหาครับ ตรงนั้นเราเปลี่ยนเอาแอ้ไปนั่งลำโน้น แล้วเอาอ้อที่ถือกล้องมาไว้ลำผม เพื่อที่จะได้ถ่ายรูปเรือลำนั้นบ้าง ซึ่งผมมั่นใจว่าลำผมก็คงไม่คว่ำหรอกนะ ระหว่างรอเอาน้ำออกจากเรือ ก็เล่นเปียกๆกันบ้างเพื่อให้ได้บรรยากาศการพายเรือคายัค เนื่องจากลำนั้นตัวแห้งกันเหลือเกิน ก็ให้ไกด์พายหลังให้อะนะ รู้ไลน์หมดมันจะเปียกได้ไง ก็เลยจัดการให้เปียกกันเอง ไอ้ตอนสลับตัวกันตรงจุดจอดพักเนี่ยะ เจอผู้ชายเกาหลีเล่นไม่รู้เรื่อง เอาพายกวักน้ำมาสาดใส่พวกเราด้วย ก็เข้าใจนะว่า อารมณ์สนุกสนาน มาเที่ยวกันมันก็เป็นบรรยากาศเปียกน้ำบ้างเป็นธรรมดา แต่นี่เล่นไม่เลือก สาดน้ำใส่อ้อที่ถือกล้องผมอยู่ด้วย ขนาดไกด์บอกไปว่า be careful แล้วชี้ไปที่กล้องเค้ายังไม่รู้เรื่อง ตะโกนบอกว่า Hey !!! camera ก็ยังไม่หยุด จนไกด์ต้องทำเสียงดังๆใส่ ก็เหมือนยังไม่รู้ตัวแต่ก็หยุดเล่นไปเอง ก็ช่างมัน อ้อก็เอากล้องหลบน้ำได้ทันกล้องไม่ได้เป็นอะไร ... พายเรือออกจากจุดพักแป๊บนึง ก็ใกล้ถึงแถวๆที่พักแล้ว เจอชาวบ้านกำลังเก็บแหดักปลาด้วย เจอควายฝูงเดิมครับ กำลังลงมาว่ายน้ำเล่น ช่วงที่ผ่านจุดที่ผมเอารถไปถ่ายรูปตอนเช้า จะเป็นร่องน้ำที่เชี่ยวที่สุด สุดยอดแห่งความตื่นเต้น เพราะตอนนี้คนถือกล้องอยู่บนเรือที่ผมพาย แต่ก็ผ่านมาได้อย่างปลอดภัย เปียกบ้างนิดหน่อยเพราะน้ำแรงพอสมควร ซักพักก็ถึงจุดที่เป็นที่พักของเราพอดี ตอนนั้นมีฝนตกลงมานิดหน่อย อากาศครึ้มๆเราก็ขึ้นฝั่งได้พอดี ลุงแดงไกด์นำทางของเราผูกเรือเข้าด้วยกันแล้วพายจากไปท่ามกลางฝนพร่ำๆ เอาเป็นว่ากิจกรรมการเที่ยวของเราที่วังเวียงหมดลงเพียงเท่านี้ ตอนนั้นก็เวลาบ่ายโมงแล้ว เดินไปขอใช้ห้องน้ำ ณ ที่พักที่เรานอนเมื่อคืน เค้าก็ยินดีให้เราใช้ได้ พร้อมทั้งนั่งกินข้าวมือสุดท้ายที่วังเวียงร้านอยู่ข้างๆที่ติดต่อที่พักของเรานั่นแหละ ราคาไม่แพง วิวสวยมากๆ วิวสุดท้ายที่วังเวียง เสียดายเหมือนกันที่เวลาน้อยไปหน่อย อยากอยู่ต่ออีกซักคืน สรุปตามความคิดเห็นของผมคือ วังเวียงเราพลาดไป 1 วันกับการไปพจญภัยในทางลูกรังที่ข้ามสะพานไปอีกฝั่ง ซึ่งจริงๆแล้วมีถ้ำอีก 1 ถ้ำที่ไม่ต้องข้ามน้ำไป ห่างจางวังเวียง 1 กิโล ในถ้ำเปิดไฟให้ชมได้อย่างงดงาม ตามข้อมูลที่หนังสือเขียนไว้นะครับ อีกที่คือ ออแกนิกฟาร์มที่น่าไปแต่ผมไม่ได้ไป แต่ไม่เป็นไรครับ ถ้ามีโอกาสคงได้กลับมาเยือนวังเวียงอีกครั้งแน่นอน เรากินข้าว ซึมซับภาพสุดท้ายของวังเวียงเสร็จแล้วก็ออกเดินทางออกจากวังเวียงทันที มุ่งหน้าสู่เวียงจันทน์ ซึ่งขากลับไม่ค่อยมีไรตื่นเต้น ขับไปหลับไป ตลอดทาง 555 พ้นช่วงที่เป็นภูเขา ผมจึงเริ่มง่วงสุดๆเพราะเส้นทางเริ่มไม่มีอะไรให้ตื่นเต้น จึงสลับกับพี่เก่งให้พี่เก่งขับแทน ส่วนผมก็หลับยาว แวะปั๊ม ปตท. พลังไทยเพื่อใคร !?!? ขากลับเราใช้เวลาได้เร็วพอสมควร จากการชินเส้นทาง ชินการขับเลนขวา และขากลับเป็นทางลงเขาซะส่วนมาก เราใช้เวลาเพียง 2 ชั่วโมงก็ถึงเวียงจันทน์โดยที่ฟ้ายังไม่ทันมืด และเริ่มภารกิจหาที่นอน เย็นวันนั้นเรามีเวลามากพอที่จะจอดรถแล้วเดินเลือกที่พักแถวๆริมน้ำโขง เดินอยู่หลายซอย เข้าๆออกๆหลายที่ เพื่อหาที่พักคอนเซ็ปเดิม "ไปกับกู...ถูกแต่เหนื่อย" ระหว่างทางเราได้เจอร้านอาหารน่าสนใจอยู่ร้านนึง ชื่อร้านอาหารดอกจำปา เป็นร้านที่จัดโต๊ะนั่งอยู่กลางส่วนเล็กๆ บรรยากาศดี ดูเมนูหน้าร้านอาหารแล้วไม่แพง จึงเล็งไว้ว่าเราจะมากินมื้อเย็นกันที่นี่ ผ่านไปเจอรถ BYD อีกแล้วครับ สวย เล็ก น่ารัก กระทัดรัด กระชับมือจริงๆ เราเดินเข้าออกหาที่พักอยู่หลายที่ สังเกตได้ว่าที่พักเพิ่มขึ้นจากปีที่แล้วหลายที่ บางทีก็ทาสีใหม่ปรับปรุงใหม่ คงเพราะรองรับนักท่องเที่ยวช่วงซีเกมส์ สุดท้ายแล้วเราเลือกที่พักชื่อ ดอกจำปา2 ชื่อเดียวกับร้านอาหาร แต่ถามพนักงานแล้วเค้าว่าไม่เกี่ยวกัน ห้องพักที่ดอกจำปา2 ราคาห้องเตียงเดี่ยว + แอร์ + TV + น้ำอุ่น + Wifi นอนได้ 2 คนพร้อมอาหารเช้าราคา 700 ห้องเตียงคู่ จริงๆแล้วนอนได้ 2 คน พร้อมอาหารเช้าราคา 800 แต่เราขอว่าห้องเตียงคู่นอน 3 คนได้ไหม เค้าก็ให้ แถมมีอาหารเช้าให้คนที่ 3 ด้วยโดยไม่คิดเงินเพิ่ม เราเลยตกลงในทันที เพราะอาหารที่เรากินกันแต่ละมื้อก็ตกคนละ 100 บาทต่อคนอยู่แล้ว ลองหักลบกับค่าห้องดูก็ถือว่าราคาห้องถูกใช้ได้เลย สภาพโรงแรมก็ใหม่ สะอาด ดูดี แนะนำเลยครับถือว่าคุ้ม อยู่ในซอยไหนบอกไม่ถูก จากถนนเลียบน้ำโขง ปากซอยจะมีป้ายโฆษณาใหญ่ๆอยู่บนตึก เข้าซอยมา ร้านดอกจำปาอยู่ขวามือ เลยมานิดนึงโรงแรมอยู่ซ้ายมือ คุ้มค่าแก่การไปเยือน ฟันธง !!! ปากซอยที่มีป้ายโฆษณาใหญ่ๆไฟสว่างๆอยู่ข้างหน้า เมือเสร็จธุระจากที่พักแล้ว เราก็มากินข้าวกันที่ร้านดอกจำปา บรรยากาศดีมากๆครับ มีอาหารหลายชาติให้เลือกกิน อาหารเกาหลีก็มี อาหารไทยรวมกับเมนูอาหารลาว กลายเป็นอาหารลาวหมดเลยครับ ร้านนี้ผมสั่งผัดไทยกินด้วย บอกได้เลยว่าผัดไทยที่ลาว รสชาดเหมือนกันทุกร้านคือผัดไทยแบบฝรั่ง คาดว่าพ่อครัวคงผัดแบบนี้เป็นปกติอยู่แล้ว เพราะว่าต้องทำขายฝรั่งซะส่วนมาก ซึ่งเป็นรสชาดเดียวกับผัดไทยตามโรงแรมที่เมืองไทย บางครั้งถ้าคุณสั่งผัดไทยที่โรงแรมที่เมืองไทย ที่เป็นเมืองท่องเที่ยวของฝรั่ง มันจะเต็มไปด้วยซอสมะเขือเทศ หรือเรียกได้อีกอย่างนึงว่าผัดมักกะโรนีโดยใช้เส้นผัดไทยนั่นเอง ... รูปนี้สปาเก็ตตี้นะไม่ใช่ผัดไทย ^_^ กินข้าวเสร็จแล้วก็เหมือนเดิมครับเดินเล่นตามริมน้ำโขงมีคนมาวางของขายริมฟุตบาทมากมาย มีร้านกาแฟอยู่ตรงหัวมุมถนนแถวนั้น บรรยากาศสวยดี MiniMart ที่นั่นมีบัตรเติมเงินของไทยขายด้วย เนื่องจากริมโขงสามารถรับสัญญาณโทรศัพท์ไทยได้ เดินเล่นได้ซักพักก็ไปลานน้ำพุครับ ตั้งใจจะไปกินนมกับขนมปัง และก็เหมือนเดิม ... ไปไม่ทัน 555 เดินเล่นบ้าๆบอๆไปเรื่อย เนื่องจากเป็นคืนสุดท้ายแล้วที่เราจะอยู่ที่ลาว เดินผ่านสามล้อครับ พี่สามล้อตะโกนถาม ไปเที่ยวไหมน้อง ดิสโก้ เต้นรำ ผมหูผึ่งขึ้นมาทันที แต่ก็แกล้งเดินผ่านไปก่อน แล้วสักพักผมเดินกลับมาถามครับ บอกเค้าว่า ผมคงไม่ได้ให้พาไปหรอก ผมขับรถมาเอง แต่จะมาถามว่าพวกผับหรือที่เที่ยวกลางคืนหน่ะอยู่ตรงไหน ลุงแกทำหน้าผิดหวังเล็กน้อยที่ไม่ได้ลูกค้า แต่ก็บอกทางให้แต่โดยดี ได้เส้นทางมาปุ๊บ ก็ขึ้นรถเลยครับ ลองวนไปดูดีกว่า เผื่อบรรยากาศพาไป ระหว่างทางเจอฝนครับ ตกหนักแต่ตกแป๊บเดียว ไม่รู้ว่าฤดูไหนกันแล้วเนี่ยะ หนาวก็ไม่หนาว มีฝนตกอีกต่างหาก เรามาจอดรถหน้าผับมีนาครับ ดูบรรยากาศแล้วเหมือนผับในกรุงเทพสมัย 5 - 6 ปีที่แล้ว นั่งตัดสินใจอยู่ซักพักว่ายังไงดี สุดท้ายตัดสินใจไม่เข้าครับ กลับห้องพักผ่อนดีกว่า เพราะเหนื่อยกันทุกคน วันนั้นจึงกลับห้องนอนพักผ่อนครับ น่าจะเป็นห้องพักที่ดีที่สุดสำหรับเราที่ทริปนี้ พี่เก่งบอกด้วยว่า Wifi Internet ที่นั่นเร็วมากๆ... อ่อเสริมนิดนึง หน้าที่พักที่นี่มีผับเล็กๆครับ ก่อนขึ้นไปนอนผมลงมาเอาของที่รถครับ เห็นพนักงานกำลังเรียกลูกค้าเข้าร้านเลย ผมเห็นว่าน่าสนใจ เลยลองเดินไปสอบถามดู พนักงานบอกว่า ลองเข้าไปดูก่อนได้ครับ มีโชว์ด้วย ผมก็สงสัยว่ามันโชว์อะไร พนักงานบอกว่า โชว์คลายๆกับพัทยาหน่ะครับ เราเป็นบาร์เกย์ แต่คนโชว์คงไม่ได้สวยเหมือนพัทยา .... น่าคิดนะเนี่ยะ อย่างน้อยเราก็อาจจะได้ดูเพลินๆในสิ่งที่เราไม่เคยได้เห็น แม้จะเป็นบาร์เกย์ก็เถอะ ผมขอเค้าลองเดินเข้าไปดูข้างในครับ ร้านเค้าเป็นตึกแถวคูหาเดียวแคบๆ เมื่อเปิดเข้าไป แทบทุกคนในร้านที่นั่งอยู่ หันมามองผมครับ ... ผมผวาเล็กน้อย พร้อมกับมองๆดูบรรยากาศภายใน คนเกือบเต็มร้านนะ และเวทียังไม่มีการแสดง เหมือนทุกคนนั่งรอชมการแสดงอยู่ ซึ่งคนส่วนมากในร้านนั้นถ้าผมมองไม่ผิดก็จะเป็นเกย์กันซะส่วนมาก ผมถอนตัวออกจากร้าน บอกเด็กหน้าร้านว่าขอไปถามเพื่อนดูก่อน ซักพักพี่เก่งเดินลงมาพอดีจึงปรึกษากัน ดูท่าแล้วไม่น่าจะสะดวกที่จะเข้าไปนั่งชิล ... OK แยกย้าย เข้าห้องนอนดีกว่า ... ตอนต่อไป Laos Trip ตอนที่ 6 : Day 5 ชิมเฝอยักษ์ที่เวียงจันทน์ กลับสู่แผ่นดินแม่ ... ------------------------------------------------------------------------------------------------------------------- Laos Trip ตอนที่ 1 : เตรียมการขับรถ ตะลุยลาว ... Laos Trip ตอนที่ 2 : Day 1 การเดินทางที่ผิดแผน - คืนแรกนอนม่านรูด !!! Laos Trip ตอนที่ 3 : Day 2 โดนลาวหลอกที่ปั๊มน้ำมัน - ถนนโลกพระจันทร์สู่วังเวียง - ร่วมฉลอง Happy New Year 2010 Laos Trip ตอนที่ 4 : Day 3 วันแห่งวังเวียงที่สุดแสนจะวิงเวียน Laos Trip ตอนที่ 5 : Day 4 เก็บตกวิถีชีวิตวังเวียง กลับสู่ความเจริญที่เวียงจันทน์ Laos Trip ตอนที่ 6 : Day 5 ชิมเฝอยักษ์ที่เวียงจันทน์ กลับสู่แผ่นดินแม่ ...
เป็นคนถือกล้องก็หนักใจอยู่หละค่ะ ที่คิดอยู่ตลอดเลยว่า ถ้าตรูตกน้ำจะชูกล้องให้สูงสุดยังงัยกล้องต้องไม่เป็นอะไร เพราะไม่ใช่กล้องเรา และแล้ววันนี้อ้อรักษากล้องได้เป็นอย่างดี (เป็นงัยบ้างคะฝีมือการถ่ายรูปวันนี้) อย่างนึงค่ะขอเม้าส์พี่ปอ วันนี้ตอนเช้าหน่อยค่ะ พี่เก่งมาเล่าให้อ้อฟัง อ้อก็หัวเราะพี่เก่งหัวเราะจนน้ำตาเล็ดเลย พี่เก่งบอกว่าตอนที่ช้านกับอั้ยปอไปถามเรื่องราคาเรือคนในร้านเค้าพูดคำนึงว่า "สบายดี" อั้ยปอมันตอบกลับไปว่า "ไม่สบาย" พี่เก่งบอกว่าเค้าก็มองหน้าพี่ปออย่างมึนๆ งงๆ พี่เก่งบอกว่าเค้าจะคิดว่าอั้ยปอมันกวนตีนป่ะวะ ช้านก็กลัวว่าเค้าจะคิดและเป็นอะไรรึเปล่าวะ พี่เก่งกลับมาเล่าให้อ้อฟังเรื่องแค่นี้แหละ พี่เก่งใช้เวลาเล่าเกือบ 15 นาที เพราะมัวหัวเราะพี่ปออยู่ น้องเลยอยากถามพี่ว่า ตกลงแล้วพี่ตั้งใจกวนตีนเค้า หรือว่าพี่ไม่รู้เรื่องจริงๆพี่ 5555555+++
รู้เรื่องแต่ไม่ทันคิด ก็ไฟแม่งดับทั้งคืนจะให้สบายได้ไงวะ ใครจะไปนึกว่าพี่เก่งมันจะ DeCode คำพูดแปลออกมาได้ว่าเค้าสวัสดีแล้วแล้วกุไม่สวัสดี + อ้างถึง ตอบกลับ