เปิดสิทธิ์"รถคันแรก"ต้องทำสัญญาซื้อขาย16 ก.ย.54-31 ธ.ค.55 updare

การสนทนาใน 'Racing Forum (Cars Forum)' เริ่มโดย seila4club, 14 กันยายน 2011

< Previous Thread | Next Thread >
  1. seila4club

    seila4club Active Member Member

    997
    47
    28
    [​IMG]

    เปิดสิทธิ์"รถคันแรก"ต้องทำสัญญาซื้อขาย16 ก.ย.54-31 ธ.ค.55 ราคาขายปลีกไม่เกินคันละ 1 ล้าน ปล่อยผีคนซื้อรถก่อนปี 49เหตุไม่มีฐานข้อมูลตรวจสอบ

    นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง แถลงภายหลังการประชุมคณะรัฐมนตรี (ครม.) วานนี้ (13 ก.ย.) ว่า ที่ประชุมเห็นชอบมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกไม่เกิน 1 แสนบาท ตามที่กระทรวงการคลังเสนอ โดยกำหนดให้ผู้ซื้อรถยนต์ต้องทำสัญญาซื้อขายรถยนต์ตั้งแต่วันที่ 16 ก.ย. 2554-31 ธ.ค. 2555 เร็วขึ้นจากเดิมที่จะกำหนดให้มีผลบังคับใช้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2554 เป็นต้นไป ซึ่งในเบื้องต้นคาดว่าจะมีผู้ซื้อรถยนต์คันแรกประมาณ 5 แสนคัน

    ทั้งนี้ มั่นใจว่าการคืนเงินภาษีสรรพสามิตครั้งนี้จะมีผลที่ดีต่อระบบเศรษฐกิจแน่นอน เนื่องจากรัฐบาลสามารถจัดเก็บภาษีทุกประเภท ทั้งภาษีรถยนต์ ภาษีเงินได้นิติบุคคล รวมถึงภาษีมูลค่าเพิ่มได้มากกว่าเงินที่ต้องคืนภาษีรถคันแรกให้ผู้ซื้อรถ ซึ่งคาดว่าจะใช้เงินงบประมาณ 3 หมื่นล้านบาท โดยตั้งเป็นงบประมาณรายจ่ายประจำปี 2556

    "กรมสรรพสามิตจะคืนเงินในรูปแบบของเช็คเงินสดครั้งเดียวเต็มจำนวนเช่นเดียวกับเช็คช่วยชาติของรัฐบาลชุดก่อน ซึ่งจะเริ่มคืนให้ตั้งแต่วันที่ 1 ต.ค. 2555 เป็นต้นไป"

    ตีกรอบเฉพาะรถยนต์ที่ผลิตในประเทศ
    สำหรับหลักเกณฑ์การคืนเงินสำหรับรถยนต์คันแรกที่สำคัญดังนี้ คือ ต้องเป็นรถยนต์คันแรกที่ทำสัญญาซื้อขายระหว่างวันที่ 16 ก.ย. 2554-31 ธ.ค. 2555 ราคาขายปลีกไม่เกินคันละ 1 ล้านบาท เป็นรถยนต์นั่งขนาดความจุกระบอกสูบไม่เกิน 1,500 ลูกบาศก์เซนติเมตร รถยนต์กระบะ หรือปิกอัพ และรถยนต์นั่งกึ่งบรรทุกหรือดับเบิลแคป ที่สำคัญ ต้องเป็นรถยนต์ที่ผลิตขึ้นในประเทศ ไม่รวมถึงรถยนต์ที่ประกอบจากชิ้นส่วนนำเข้าใช้แล้วจากต่างประเทศหรือรถยนต์จดประกอบ

    ขณะที่การคืนเงินเท่ากับค่าภาษีตามที่จ่ายจริง แต่ไม่เกินคันละ 1 แสนบาท ผู้ซื้อต้องมีอายุ 21 ปีบริบูรณ์ขึ้นไปและต้องครอบครองรถยนต์ไม่น้อยกว่า 5 ปี โดยกรมสรรพสามิตจะคืนเงินให้เมื่อครอบครองรถยนต์ 1 ปี ไปแล้ว โดยดูรายละเอียดทั้งหมดได้ที่ http://WWW.EXCISE.GO.TH

    รับไม่มีทางป้องกัน "สวมสิทธิ"
    นายบุญทรง กล่าวว่า ผู้ใช้สิทธิขอคืนภาษีรถคันแรกไม่สามารถเปลี่ยนแปลงหรือโอนเปลี่ยนมือภายใน 5 ปีแรก หากผู้ใช้สิทธิไม่ดำเนินการตามโดยไม่มีความสามารถในการผ่อนชำระต่อ หรือมีเหตุอย่างอื่น จำเป็นต้องคืนเงินภาษีที่ได้รับให้กับกรมสรรพสามิต หากไม่ดำเนินการตามอาจต้องใช้วิธีการทางศาลเพื่อให้สั่งให้คืนทะเบียนรถยนต์ เพราะกรมการขนส่งทางบกจะสลักไว้หลังเล่มทะเบียนรถยนต์อยู่แล้วว่าห้ามโอนเปลี่ยนมือภายใน 5 ปี
    "ยอมรับว่าในปัจจุบันยังไม่ได้หาแนวทางการป้องกันการสวมสิทธิ แต่ก็ขอร้องผู้มีเจตนาไม่บริสุทธิ์หรือผู้ที่มาซื้อแทนบุคคลอื่นเพื่อสวมสิทธิต้องขอความกรุณาให้เห็นใจคนที่ยังไม่เคยมีรถยนต์เป็นของตัวเองด้วย" นายบุญทรงกล่าว

    คนซื้อรถก่อน 49โชคดีอาจได้สิทธิด้วยเหตุไม่มีฐานข้อมูล

    นายเทียนโชติ จงพีร์เพียร อธิบดีกรมการขนส่งทางบก (ขบ.) กล่าวว่า กรมขนส่งทางบกเตรียมเชื่อมโยงฐานข้อมูลรายชื่อการยื่นขอจดทะเบียนการครอบครองรถยนต์ไปยังกรมสรรพสามิต เพื่อนำไปใช้ในการตรวจสอบว่าผู้ที่ยื่นขอใช้สิทธิลดหย่อนภาษีเคยเป็นเจ้าของรถยนต์มาก่อนหรือไม่ หากตรวจพบว่ามีรายชื่อเคยยื่นขอจดทะเบียนกับกรมมาก่อนก็จะถูกตัดสิทธิ เนื่องจากโครงการรถยนต์คนแรกต้องการช่วยเหลือประชาชนสามารถมีรถยนต์คันแรกเท่านั้น
    อย่างไรก็ตาม การตรวจสอบฐานข้อมูลการครอบครองรถยนต์คันแรกนั้น จะสมบูรณ์ 100% สำหรับข้อมูลที่ยื่นจดทะเบียนตั้งแต่ปี 2549 จนถึงปัจจุบัน แต่ข้อมูลก่อนปี 2549 อาจไม่ครบสมบูรณ์ โดยเฉพาะข้อมูลการจดทะเบียนในต่างจังหวัด เพราะช่วงเวลานั้น กรมยังไม่ได้เชื่อมฐานข้อมูลออนไลน์ทั่วประเทศ

    "กรมขนส่งทางบกได้แจ้งให้รัฐบาลรับทราบปัญหาแล้ว กรมสรรพสามิตจะต้องไปหาทางแก้ไขปัญหาต่อไป หรืออาจต้องยกประโยชน์ให้จำเลยที่เคยยื่นจดทะเบียนซื้อรถยนต์แล้วก่อนปี 2549 สามารถใช้สิทธิขอลดหย่อนภาษีได้" นายเทียนโชติกล่าว
    นายเทียนโชติ กล่าวถึง การป้องกันเปลี่ยนมือรถยนต์ภายใน 5 ปี ว่า จะประทับตราห้ามซื้อขายลงในสมุดทะเบียน หลังจากที่ผู้ซื้อนำสมุดทะเบียนที่กรมออกให้ไปยื่นขอตรวจสอบและใช้สิทธิที่กรมสรรพสามิต

    ที่มา - http://www.bangkokbiznews.com/home/deta ... B8%99.html
     
    แก้ไขล่าสุดโดยผู้ดูแล: 15 กันยายน 2011
  2. tOon`

    tOon` Well-Known Member Member

    2,324
    43
    48

    คือมันไม่ได้ลดจากการซื้อเลยแต่มันลดทางอ้อมจากภาษี ผมเข้าใจถูกปะครับ

    ผมว่ามันแย่ไปหน่อยอะครับประเด็นคือ
    รถภายในประเทศ
    ให้แค่รถปิคอัพบรรทุกตอนเดียว หรือ แค่มีแคปเท่านั้น ใช่ปะครับ
    ให้แค่รถไม่เกิน 1500 CC [Brio March Jazz Yaris City Vios]
    ห้ามรถจดประกอบ

    ตัวเลือกน้อยอ๊ะ ตัว เค้าอยากได้รถจดประกอบมั้งอะ 555+

    ผมว่าน่าจะมีนโยบายสร้างความมั่นใจกับรถจดประกอบว่าไม่มีตำรวจกวนดีกว่าครับ โดนใจและอุ่นใจกว่า 555+
     
  3. Wheg_A31

    Wheg_A31 New Member Member

    24
    0
    0
    บอกได้คำเดียวว่าฝนตกไม่ทั่วฟ้า นโยบายนี้ไม่เวิร์ค

    น่าจะออกนโยบายที่ประชาชนทุกคนเข้าถึงและได้รับประโยชน์เท่าเทียมกัน เพราะ ประชาชนผู้มีรายได้ทุกคนก็เสียภาษีเหมือนกัน จะมาเลือกปฎิบัติอย่างนี้ มันไม่แฟร์กับคนอื่นๆที่เสียภาษีเหมือนกันครับ
     
  4. BiZarre@GoDs

    BiZarre@GoDs Active Member VIP

    1,503
    21
    38
    เหมือนบีบบังคับให้คนซื้อรถในช่วงหนึ่งปี เพื่อจำกัดจำนวนวงคนที่จะได้คืนภาษีให้แคบลง

    เหมือนเป็นการทำแก้ตัวนโยบายที่หาเสียง ให้ผ่านๆไปยังไงก็ไม่รู็ - -"

    แต่ถ้าใครคิดจะซื้อรถใคเคสอย่างที่กำหนด กับตรงตามข้อตกลงก็ต้องถือว่าโชคดีกันไป

    ก็ว่าอยู่ว่าตอนได้ยินนโยบาย รถมือสอง รถอื่นๆ จะขอคืนยังไง รถแพงๆก็น่าจะได้เยอะ

    สรุปก็ออกมาจำกัดแค่วงแคบๆแค่นี้เอง T_T
     
  5. Show Aof

    Show Aof Well-Known Member Privilege

    2,092
    49
    48
    ถ้าไม่จำกัด CC นี่จะแหล่มมาก และถ้ายิ่งไม่จำกัดรถมือ 1 ด้วยนี้จะแหล่มยิ่งกว่า 555+
     
  6. seila4club

    seila4club Active Member Member

    997
    47
    28
    คืนภาษีรถคันแรกส่อแววเละ ช่องโหว่เพียบ โดยเฉพาะหลังได้เงินคืนแล้วเลิกผ่อน สรรพสามิต"รับไม่มีกฎหมายบังคับ เอกชนยันตามรถคืนได้ต้องจ่ายไฟแนนซ์ก่อนคืนรัฐ ฟรีดาวน์ 0% ไม่มีแน่ เพราะเสี่ยง

    เมื่อวันที่ 14 กันยายน 2554 นายพงษ์ภาณุ เศวตรุนทร์ อธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวถึงมาตรการคืนภาษีสรรพสามิตรถยนต์คันแรกว่า ผู้สนใจสามารถเข้าไปดูเว็บไซต์ www.excise.go.th ได้หลังวันที่ 16 ก.ย. ซึ่งจะมีรายละเอียดและขั้นตอนปฏิบัติต่าง ๆ โดยเฉพาะรายละเอียดรถยนต์แต่ละยี่ห้อ ว่ามีภาษีที่จะได้รับคืนจำนวนเท่าใด ซึ่งผู้ซื้อรถคันแรกที่ขอคืนเงิน ต้องส่งหลักฐานครบ 7 อย่าง ภายในวันที่ 31 ธ.ค.2555 ซึ่งกรมฯ จะใช้เวลา 7 วัน ยืนยันการได้รับคืนภาษี และผู้ซื้อรถจะได้รับเงินหลังซื้อแล้ว 1 ปี

    "ตั้งงบไว้ 3 หมื่นล้านบาท รองรับในปี 2556 แต่หากมีผู้ใช้สิทธิมากก็อาจขอเพิ่มงบจากรัฐบาลในอนาคต"

    ขณะที่ นายจุมพล ริมสาคร รองอธิบดีกรมสรรพสามิต กล่าวว่า มาตรการนี้จะยึดตามข้อมูลกรมขนส่งเป็นลำดับแรก แต่หากข้อมูลไม่สมบูรณ์ก็ต้องตรวจสอบต่อ ซึ่งหากพบภายหลังว่าไม่ใช่ผู้ซื้อรถยนต์คันแรกจริง ก็ต้องยึดเงินกลับคืน ส่วนกรณีรถติดไฟแนนซ์ก็มี 2 กรณีคือ ไฟแนนซ์ติดตามและนำมาคืนรัฐ แต่หากเกิดเหตุสุดวิสัย ก็ต้องให้ส่วนราชการติดตามคืน ทั้งนี้ การคืนไม่ใช่การคืนตามบทบัญญัติกฎหมาย และไม่ใช่คืนภาษี จึงไม่มีกฎหมายบังคับการกระทำผิด แต่จะมีเงื่อนไขระบุไว้ ซึ่งจะไม่มีเบี้ยปรับ แต่อาจมีดอกเบี้ยทางแพ่ง

    ด้าน นายชลิต ศิลป์ศรีสุล ผู้ช่วยกรรมการผู้จัดการใหญ่ ธนาคารทิสโก้ ในฐานะรองประธานสมาคมธุรกิจเช่าซื้อไทย กล่าวว่า กรณียึดรถนั้นต้องปฏิบัติตามกฎหมายเช่าซื้อก่อน คือคืนหนี้เช่าซื้อก่อน จึงคืนเงินให้รัฐได้ ซึ่งมาตรการครั้งนี้อาจทำให้สถาบันการเงินที่ปล่อยสินเชื่อเช่าซื้อ ต้องเพิ่มเงื่อนไขมากกว่าปกติ โดยเฉพาะการวางเงินดาวน์ 0% อาจไม่สามารถทำได้ เพราะภายหลังจากที่ครบ 1 ปี เมื่อผู้ซื้อได้รับเงินภาษีคืนไปแล้ว 1 แสนบาท อาจกระตุ้นให้ผู้ซื้อเลิกผ่อนชำระต่อ สถาบันการเงินจึงต้องเพิ่มเงินดาวน์ เพื่อลดความเสี่ยง และยังกังวลว่ามาตรการจะกระตุ้นให้ผู้เช่าซื้อกลุ่มใหม่ที่มีกำลังซื้อไม่ มากพอเข้ามาซื้อรถยนต์เพิ่มขึ้น หรืออาจสวมสิทธิซื้อแทนกันเพื่อหวังได้รับการคืนภาษี

    ทางฝั่งของนายกรณ์ จาติกวณิช ส.ส.พรรคประชาธิปัตย์ (ปชป.) ในฐานะรองนายกรัฐมนตรีเงา กล่าวว่า ถือเป็นการใช้เงินภาษีที่ไม่คุ้มค่า โดยควรนำเงิน 3 หมื่นล้านบาทไปลดค่าโดยสารรถไฟฟ้าให้เหลือ 20 บาทตลอดสาย ตามนโยบายที่รัฐบาลเคยประกาศไว้ดีกว่า เพราะรองรับผู้โดยสาร 5 แสนคนต่อวันได้ถึง 30 ปี

    นายกรณ์ตั้งข้อสังเกตว่า รัฐบาลชุดนี้จะรีดภาษีจากใครมากขึ้น เพื่อชดเชยรายได้ที่หายไปจากการดำเนินมาตรการตามนโยบายประชานิยม ต้องการให้รัฐบาลชี้แจงเรื่องนี้ให้ชัดเจน เพราะเชื่อว่าสุดท้ายคงไม่พ้นภาษีสรรพากร ไม่ว่าจะเป็นภาษีบุคคลธรรมดา และภาษีมูลค่าเพิ่ม และอยากให้ยืนยันกฎหมายภาษีที่ดิน และสิ่งปลูกสร้าง ที่พรรคเพื่อไทยเคยยืนยันไว้ในหลายเวทีว่าพร้อมสนับสนุนด้วย

    วันเดียวกัน นายเคร็ก สเตฟเฟนเซน ผู้อำนวยการ สำนักงานธนาคารพัฒนาเอเชีย (เอดีบี) ประจำประเทศไทย เผยว่า เอดีบีได้ปรับลดอัตราการขยายตัวเศรษฐกิจไทยปีนี้จาก 4.5% เหลือ 4.0% และปีหน้าปรับจาก 4.8% เหลือ 4.5% โดยได้รวมผลของมาตรการนโยบายค่าแรงขั้นต่ำ 300 บาทต่อวัน และภาษีรถยนต์คันแรกแล้ว แต่ภาพเศรษฐกิจโดยรวมยังชะลอตัว เนื่องจากครึ่งปีแรกขยายตัวต่ำมากเพียง 2.9% เพราะถูกกระทบจากภัยพิบัติในญี่ปุ่น

    "ช่วงที่เหลือของปียังมีความเสี่ยงจากการชะลอตัวของเศรษฐกิจโลกและประเทศคู่ค้า และยังมีแรงกดดันจากการเร่งตัวเงินเฟ้อ" นายเคร็กระบุ

    เกี่ยวกับเรื่องนี้ นายประสาร ไตรรัตน์วรกุล ผู้ว่าการธนาคารแห่งประเทศไทย (ธปท.) ยอมรับว่า การปรับลดคาดการณ์จีดีพีไทยของเอดีบีถือว่าใกล้เคียงกับที่ ธปท.ประเมินไว้อยู่แล้ว
     
  7. seila4club

    seila4club Active Member Member

    997
    47
    28
    เพิ่มอัพเกรดอีก

    คลังพิจารณาเงื่อนไขรถคันแรกใหม่ จ่อให้สิทธิ์รถยนต์เครื่องยนต์ 1,600 ซีซี ที่มีราคาไม่เกินเกณฑ์เพิ่ม หลังผู้ประกอบการร้อง คาดรู้ผลปลายเดือนนี้

    จากกรณีที่ผู้ประกอบการรถยนต์บางค่ายออกแถลงการณ์ขอให้รัฐบาลสร้างความเป็นธรรมในการแข่งขันในตลาดรถยนต์ เนื่องจากมาตรการคืนภาษีรถยนต์คันแรกของรัฐบาลไม่ให้สิทธิ์กับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์มากกว่า 1,500 ซีซี ทั้งที่รถยนต์ 1,600 ซีซี บางรุ่นมีราคาถูกกว่ารถยนต์ 1,500 ซีซีบางรุ่น และเข้าเงื่อนไขที่รัฐบาลกำหนด

    เกี่ยวกับกรณีนี้ นายบุญทรง เตริยาภิรมย์ รัฐมนตรีช่วยว่าการกระทรวงการคลัง ระบุว่า สำหรับข้อร้องเรียนของผู้ประกอบการนั้น ทางกระทรวงกำลังอยู่ในระหว่างพิจารณาว่า อาจจะขยายเพดานของนโยบายให้ครอบคลุมรถยนต์ที่มีขนาด 1,600 ซีซีด้วย ซึ่งคาดว่าจะได้ข้อสรุปภายในสิ้นเดือนกันยายนนี้ หรืออย่างช้าก็คือต้นเดือนตุลาคม อย่างไรก็ตาม การจะขยายเพดานมาตรการดังกล่าว ทางกระทรวงต้องดูเรื่องผลกระทบและเม็ดเงินที่จะชดเชยเพิ่มขึ้นด้วย

    ด้านนายวิกรานต์ อมาตยกุล ผู้อำนวยการใหญ่ สำนักการตลาด บริษัท มิตซูบิชิ มอเตอร์ส (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า หากรัฐทบทวนมาตรการให้สิทธิ์กับรถยนต์ที่มีเครื่องยนต์ขนาด 1,600 ซีซี โดยใช้ราคาเป็นตัวกำหนด ทางมิตซูบิชิ ก็จะได้รับประโยชน์เพิ่มขึ้น เพราะจากมาตรการเดิมรถยนต์นั่งของมิตซูบิชิไม่เข้าข่ายเงื่อนไขเลย

    ขณะที่นายประพัฒน์ เชยชม รองผู้จัดการใหญ่อาวุโสการตลาดและขาย บริษัท นิสสัน มอเตอร์ (ประเทศไทย) จำกัด กล่าวว่า แม้รัฐบาลอาจจะให้สิทธิ์กับรถยนต์ที่มีขนาดเครื่องยนต์ 1,600 ซีซี แต่ก็ยังเกิดความได้เปรียบเสียเปรียบในตลาดอย่างชัดเจน เพราะมีค่ายรถยนต์ที่ทำตลาดเครื่องยนต์ไม่กี่ยี่ห้อเท่านั้น แม้ว่าโครงการดังกล่าวจะกระตุ้นยอดขายได้ แต่ก็ไม่ได้โตทั้งตลาด
     
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้