RacingWeb.Net ร่วมทดสอบยาง Michelin Primacy 3ST

การสนทนาใน 'Racing Forum (Cars Forum)' เริ่มโดย News, 15 กรกฎาคม 2013

< Previous Thread | Next Thread >
  1. News

    News Member Super Moderator

    981
    3
    18
    [​IMG]

    สวัสดีครับ ช้าไปซักหน่อยสำหรับการรีวิวยาง Michelin Primacy 3ST ที่จัดงานเปิดตัวและทดสอบประสิทธิภาพ ณ สนาม Bonanza International Speedway โดยทาง RacingWeb.NET ได้รับเกียรติให้ไปร่วมงานเปิดตัวและร่วมทดสอบประสิทธิภาพ ในวันที่ 8-9 มิถุนายน 2556 ที่ผ่านมา โดยยางในรุ่น Primacy ของ Michelin ที่ผ่านมาจะอยู่ในกลุ่มรถซีดานขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ที่เน้นเรื่องความนุ่มเงียบเป็นหลักมาโดยตลอด แต่วิวัฒนาการและเทคโนโลยีของการผลิตยางก็จะมีการพัฒนาคุณภาพของการผลิตยางให้มีประสิทธิภาพมากขึ้นไปเรื่อยๆอยู่เสมอ โดยเฉพาะกับยางรุ่นใหม่ๆที่มักจะมีการนำเทคโนโลยีที่โดดเด่นในด้านต่างๆของยางรุ่นอื่นๆที่พัฒนาไปแล้วนำมาใช้กับยางรุ่นใหม่ๆ ของรุ่นอื่น จึงทำให้ยางรุ่นใหม่ๆ ในปัจจุบันจะถูกอัดแน่นไปด้วยเทคโนโลยีรอบด้านจนทำให้มีประสิทธิภาพสูงสุดอันเกิดประโยชน์แก่ผู้บริโภคนั่นเอง

    บทความนี้จะนำผู้อ่านไปดูบรรยากาศการเปิดตัว Michelin Primacy 3ST การทดสอบประสิทธิภาพด้านต่างๆ ทั้งในสนามและบนถนนจริง รวมถึงลองมาดูกันนะครับว่า Michelin Primacy 3ST นั้นประกอบไปด้วยเทคโนโลยีอะไรบ้าง และดูว่าเทคโนโลยีต่างๆนั้นมีประโยชน์และความสำคัญในการเพิ่มประสิทธิภาพของยางรุ่นนี้ได้อย่างไร

    บรรยากาศการเปิดตัว Michelin Primacy 3ST ในวันที่ 8 มิถุนายน 2556 ณ Clubhouse ห้อง Conference โรงแรม คีรีมายา กอล์ฟ รีสอร์ท สปา เขาใหญ่

    ผู้บริหาร และทีมเทคนิคของ Michelin กล่าวเปิดตัวและให้ข้อมูลด้านเทคนิคของยาง Michelin Primacy 3ST

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    Michelin Primacy 3ST ออกแบบและผลิตโดย โดยอยู่ภายใต้แนวคิด Total Performance ที่ให้สมรรถนะรอบด้าน สัญลักษณ์ ST ที่ย่อมาจากคำว่า "Silent Tune" บ่งบอกถึงการออกแบบมาเพื่อความเงียบ จากการผสมผสานเทคโนโลยีอย่างลงตัว ให้คุณสามารถเดินทางอย่างนุ่มเงียบ มั่นใจในความปลอดภัย พร้อมอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้นถึง 25% ด้วยการรวมเอาเทคโนโลยีต่างๆเข้ามาใช้ในการออกแบบยางเพื่อให้มีประสิทธิภาพสูงสุดในทุกๆด้านดังต่อไปนี้

    [​IMG]

    เทคโนโลยี EvenPeak เป็นการออกแบบลายดอกยางที่มีความกว้างที่แตกต่างกันจากการคำนวณอย่างพิถีพิถัน จึงช่วยกระจายคลื่นความถี่เสียงรบกวนออกให้การขับขี่ที่เงียบ



    เทคโนโลยี CushionGuard เป็นการผสมผสานระหว่างสูตรเนื้อยางที่มีความยืดหยุ่นสูง พร้อมแก้มยางที่นุ่มแต่มั่นคง ซึ่งพัฒนามาจากยางรุ่นก่อน



    เทคโนโลยี FlexMax ผสมผสานระหว่างสูตรเนื้อยางที่มีความยืดหยุ่นสูงที่สามารถปรับตัวและยึดเกาะได้ตามสภาพถนน ผนวกกับการออกแบบบล๊อกดอกยางแบบตัดมุมช่วยปกป้องการโก่งตัวของดอกยาง จึงช่วยกดให้เนื้อยางสัมผัสกับพื้นถนนได้เต็มประสิทธิภาพ เพิ่มการยึดเกาะให้ดียิ่งขึ้น



    เทคโนโลยี StabiliGrip แบบใหม่ ครั้งแรกที่มิชลินได้นำเทคโนโลยีนี้มาปรับใช้กับยางนุ่มเงียบ โดยมีแถบยางเสริมพิเศษในร่องดอกยางที่ยึดด้วยดอกยางแต่ละดอกไว้ด้วยกัน ช่วยเพิ่มความมั่นคงของดอกยาง ทำให้เพิ่มสมรรถนะการควบคุมและการรีดน้ำได้ดียิ่งขึ้น



    โดยในทางการตลาดไซส์ยางจะมีตั้งแต่ 195/60 R15 ไปจนถึง 245/45 R19 ครอบคลุมรถในกลุ่มซีดานขนาดกลางไปจนถึงขนาดใหญ่ ซึ่งราคาจำหน่ายจะเท่ากับยางรุ่นเดิม เท่ากับว่าผู้บริโภคจะได้ยางที่มีประสิทธิภาพสูงขึ้นในราคาเท่าเดิมนั่นเอง และนอกจากนั้นยาง Michelin Primacy 3ST ยังได้รับเลือกเป็นยาง OEM ติดรถสำหรับ New Honda Accord ในขนาด 225/50 R17 อีกด้วยครับ

    บรรยากาศการทดสอบยาง Michelin Primacy 3ST ในวันที่ 9 มิถุนายน 2556 ณ สนาม Bonanza International Speedway

    [​IMG]

    โดย RacingWeb.NET เริ่มการทดสอบแรกที่ Dry Safety Station หรือการทดสอบในสภาวะแห้งนั่นเอง

    [​IMG]

    รถที่ใช้ทดสอบจะเป็น Honda Accord โดยใช้ยางไซส์ 225/50 R17 เทียบกับยางยี่ห้อคู่แข่งรุ่นที่ทำตลาดอยู่ในกลุ่มลูกค้าเดียวกัน
    Station นี้จะประกอบไปด้วย
    • การบังคับรถเข้าโค้งวงแคบแห้ง
    • การเปลี่ยนเลนกระทันหัน
    • การขับสลาลอม

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผลการทดสอบในส่วนของการเข้าโค้งวงแคบที่ความเร็วขนาดนั้น ยางคู่แข่งมีอาการ Understeer อยู่บ้าง ส่วน Michelin Primacy 3ST มีการเข้าโค้งได้คมกว่าพอสมควร

    [​IMG]

    ผลการทดสอบในส่วนของการเปลี่ยนเลนกระทันหัน มีความแตกต่างในลักษณะเดียวกันกับโค้งวงแคบ และในรอบที่ผมใช้ยางคู่แข่งผมถึงกับต้องยกคันเร่งและแก้พวงมาลัยช่วยนิดนึงใน ณ จุดทดสอบด้วย

    [​IMG]

    ผลการทดสอบในส่วนของสลาลอม รอบแรกใช้ยางคู่แข่งครับ มี Understeer และตามด้วย Oversteer เล็กน้อยในทุกๆไพล่อน แต่เมื่อรอบที่ใช้ยาง Michelin Primacy 3ST ผมกลับเหยียบไพล่อน !!! ใช่ครับ เหยียบตั้งแต่ไพล่อนแรกเลย เนื่องจากว่าเราจับอาการสไลด์ของรถในรอบก่อนจึงทำให้เราหักเข้าโค้งก่อนไพล่อนเพื่อเผื่อระยะสไลด์เอาไว้ แต่เมื่อเปลี่ยนยางมาเป็น Michelin Primacy 3ST ที่มีการเกาะถนนได้ดีกว่ารถจึงไม่สไลด์ตามที่เราเคยจับอาการไว้ โดยผู้ควบคุมการทดสอบได้แจ้งกับผมว่ามีหลายคนที่ชนไพล่อนแรกแบบนี้ถ้ารอบแรกได้ขับยางคู่แข่งมาก่อน ...

    [​IMG]

    ผลสรุปคือแรกจาก Station นี้คือการเกาะถนนนะครับ โดย Michelin ได้ให้เทคโนโลยี StabiliGrip และการออกแบบดอกยางตัดมุม เป็นพระเอกของ Station Dry Safety ครับ

    สำหรับ Station ถัดไปคือ Wet Station หรือการทดสอบในสภาวะเปียก

    [​IMG]

    รถที่ใช้ทดสอบจะเป็น Toyota Camry 2.0 โดยใช้ยางไซส์ 215/55 R17 เทียบกับยางยี่ห้อคู่แข่งรุ่นที่ทำตลาดอยู่ในกลุ่มลูกค้าเดียวกัน
    Station นี้จะประกอบไปด้วย
    • การบังคับเลี้ยวโค้งวงแคบในพื้นที่เปียก
    • การเปลี่ยนเลนกระทันหันในพื้นที่เปียก
    • การทดสอบระยะเบรคในพื้นที่เปียก

    [​IMG]

    ผลการทดสอบในส่วนของการเข้าโค้งวงแคบ ยางคู่แข่งมีอาการ Understeer ค่อนข้างจะตลอดโค้ง ส่วน Michelin Primacy 3ST สามารถเข้าโค้งได้อย่างราบรื่น มีอาการ Under บ้างเล็กน้อยแต่สามารถควบคุมรถไปในทิศทางที่ต้องการได้เป็นอย่างดี

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผลการทดสอบการเปลี่ยนเลนกระทันหัน สำหรับตัวผมเองนั้นค่อนข้างจับอาการได้น้อยนะครับ อาจเป็นเพราะด้วยจุดทดสอบนั้นไม่กว้างพอทางผู้ควบคุมการทดสอบจึงไม่ได้ให้ใช้ความเร็วมากนัก เพราะหากเสียหลักในพื้นที่เปียกโดยไม่มีระยะพออาจจะเกิดอุบัติเหตุได้ ดังนั้นตรงนี้จึงไม่ค่อยเห็นความแตกต่างครับ

    [​IMG]

    ผลการทดสอบระยะเบรคในพื้นที่เปียก โดยวัดจากอุปกรณ์ V-Box ซึ่งเป็นอุปกรณ์มาตรฐานสูงในการทดสอบ ผลเฉลี่ยที่ได้คือยาง Michelin Primacy 3ST สามารถเบรคได้ด้วยระยะทางที่สั้นกว่ายางคู่แข่งถึง 2 เมตร หรือคิดเป็น 8.61% ของระยะเบรคที่ทดสอบกันในวันนั้น โดย Michelin ได้ให้เทคโนโลยี StabiliGrip และ FlexMax

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]


    Station ถัดไปคือ Scenic Drive Station หรือการทดสอบในสภาพแวดล้อมจริง

    [​IMG]

    รถที่เราได้ใช้ทดสอบคือ Mercedes Benz S300 ส่วนกลุ่มอื่นๆจะใช้รถ Lexus GS250 และ Volvo S60 โดยให้ทดสอบใช้งานบนถนนรอบๆบริเวณสนาม Bonanza International Speedway เป็นระยะเวลาประมาณ 30 นาที

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผลการทดสอบบอกได้ยากครับ ด้วยตัวรถที่ขึ้นชื่อเรื่องความนิ่มและเงียบ จึงค่อนข้างจะบอกได้ยากว่าความนุ่มและเงียบที่เกิดขึ้นนั้นเกิดจากยางที่ใช้อยู่มากน้อยเพียงใด แต่จากการได้เปิดกระจกหรือซันรูฟเพื่อออกไปถ่ายรูประหว่างเดินทาง ก็พบว่าเสียงที่เกิดขึ้นจากยางนั้นก็อยู่ในระดับที่เงียบ อันเกิดจากเทคโนโลยี EvenPeak CushionGuard และ FlexMax ที่ทำงานร่วมกันนั่นเอง กระนั้นเองใน Station นี้ก็พบกับการทดสอบที่ไม่เหมาะสมจากผู้ทดสอบบางท่านที่อาจจะก่อให้เกิดอันตรายอยู่บ้างแต่ก็ดีว่าไม่มีอะไรเกิดขึ้น โดยจริงๆแล้วผู้ทดสอบควรทำความเข้าใจก่อนทดสอบในแต่ละ Station ว่าใน Station นั้นๆทาง Michelin ต้องการให้ทดสอบในเรื่องใด ซึ่ง Sceneic Drive คือการทดสอบความนุ่มเงียบในสภาพพื้นถนนจริง ไม่ใช่การทดสอบความเกาะถนน ดังนั้นการขับรถเข้าโค้งด้วยความเร็วที่ไม่เหมาะสม หรือการเปลี่ยนเลนแซงด้วยความเร็วสูงบนนถนนที่เต็มไปด้วยรถคันอื่นๆนั้นไม่ได้เกี่ยวข้องกับการทดสอบความนุ่มเงียบแต่อย่างใด จึงอยากจะสื่อออกไปนะครับว่า การทดสอบเรื่องการเกาะถนนในรูปแบบต่างๆทาง Michelin ได้จัดทำ Station ไว้ในสภาวะที่ควบคุมได้อยู่ในสนามทดสอบอยู่แล้ว ซึ่งปลอดภัยมากกว่าการไปทดสอบที่นอกสนาม ผู้ทดสอบจึงควรปฏิบัติ และศึกษาการทดสอบในแต่ละ Station ให้เข้าใจถึงวัตถุประสงค์และรูปแบบการทดสอบใน Station นั้นๆ เพื่อให้เกิดความปลอดภัยในการทดสอบครับ


    Station สุดท้ายคือ Noise and Comfort Station หรือการทดสอบความนุ่มเงียบของยาง

    [​IMG]

    รถที่ใช้ทดสอบจะเป็น Toyota Camry 2.5 โดยใช้ยางไซส์ 215/55 R17 เทียบกับยางคู่แข่งรุ่นที่ทำตลาดอยู่ในกลุ่มเดียวกัน
    ตรงนี้น่าสนใจครับ เพราะยางคู่แข่งที่นำมาเปรียบเทียบนั้นถือว่าเป็นตัว Top เรื่องความเงียบของยี่ห้อนั้นเลยทีเดียว
    Station นี้จะประกอบไปด้วย การขับผ่านเส้นเชือกเพื่อทดสอบเสียงที่เกิดขึ้นระหว่างผ่านเส้นเชือกดังกล่าว โดยมีการใช้เครื่องมือวัดคลื่นเสียงที่เกิดขึ้นระหว่างทดสอบเพื่อเปรียบเทียบเสียงที่เกิดขึ้นจากยางให้ดูด้วย

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    [​IMG]

    ผลการทดสอบ ความนุ่มนั้นรู้สึกต่างกันเล็กน้อยครับ Michelin Primacy 3ST นุ่มกว่าแต่ไม่มาก โดยวัดจากแรงสะเทือนที่เกิดขึ้นระหว่างขับผ่านเส้นเชือก ส่วนผลการทดสอบในเรื่องของความเงียบนั้น ค่อนข้างชัดเจนครับว่า Michelin Primacy 3ST เงียบกว่าอย่างเห็นได้ชัด ซึ่งยางคู่แข่งที่ว่าเงียบแล้วแต่ Michelin Primacy 3ST กลับทำได้ดีกว่า โดยผลการทดสอบด้วยเครื่องมือวัดคลื่นเสียงก็เป็นไปตามที่เราสามารถจับความรู้สึกได้เช่นกัน

    [​IMG]

    จบแล้วนะครับสำหรับผลการทดสอบยาง Michelin Primacy 3ST จากทาง RacingWeb.NET จะเห็นได้ว่ายางในยุคปัจจุบันไม่ได้มีขีดจำกัดเหมือนสมัยก่อนแล้ว อย่างเช่นการที่ยางมีความนิ่มนวล นุ่ม เงียบ ที่ต้องแลกกับการมีประสิทธิภาพในการเกาะถนนที่ต่ำ แต่ Michelin Primacy 3ST ก็ได้ใช้ทุกเทคโนโลยีในการก้าวข้ามขีดจำกัดนั้นมาได้ หรือยางที่มีเนื้อนิ่ม เกาะถนนเป็นอย่างดี แต่ก็ต้องแลกกับอายุการใช้งานที่น้อยลง สึกเร็ว แต่ Michelin Primacy 3ST กลับมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น 25% มีค่า TREADWARE ถึง 340 เลยทีเดียว

    จากทุกๆเทคโนโลยีที่กล่าวมาจึงทำให้ Michelin Primacy 3ST ถูกผลิตขึ้นมาภายใต้แนวคิด Total Performance อย่างแท้จริงครับ

    [​IMG]

    [​IMG]

    ขอขอบคุณ Michelin ที่ได้มอบประสบการณ์ดีๆ และความรู้ต่างๆเกี่ยวกับการผลิตยางในปัจจุบันให้เราได้ทราบ และหวังว่าเราจะได้รับเกียรติเช่นนี้ในโอกาสหน้าต่อไปครับ

    สำหรับขนาดยาง Michelin Primacy 3ST ที่มีจำหน่ายคือ
    • 195/60 R15 88 V
    • 195/65 R15 91 V
    • 205/65 R15 94 V
    • 205/55 R16 91 W
    • 205/60 R16 92 V
    • 205/65 R16 95 V
    • 215/55 R16 97 W
    • 215/60 R16 99 V
    • 225/55 R16 99 W
    • 225/60 R16 98 W
    • 235/60 R16 100 V
    • 215/45 R17 91 W
    • 215/50 R17 95 W
    • 215/55 R17 94 V
    • 215/60 R17 96 V
    • 225/50 R17 94 V
    • 225/55 R17 101 W
    • 235/55 R17 103 W
    • 225/45 R18 95 W
    • 235/50 R18 97 W
    • 245/50 R18 100 W
    • 255/45 R18 99 W
    • 245/45 R19 102 W
    • 245/45 ZR19 102 W

    สอบถามรายละเอียดเพิ่มเติมได้ที่ร้านผู้แทนจำหน่ายหรือ hotline 0-2793-6900 หรือ เว็บไซต์มิชลินประเทศไทย
     
    แก้ไขล่าสุด: 15 กรกฎาคม 2013
< Previous Thread | Next Thread >

แบ่งปันหน้านี้