เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Portal
>
New Product
>
นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด จัด The Private Preview ครั้งแรกในประเทศไทย กับกระทิงดุ Lamborghini Aventador S
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="News, post: 4818837, member: 3"]<p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/3h/cok17.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><b>นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด จัด The Private Preview ครั้งแรกในประเทศไทย กับกระทิงดุ Lamborghini Aventador S: ยกระดับมาตรฐานใหม่ในตลาดซุปเปอร์คาร์ก่อนเปิดตัวที่ Geneva Motor Show 2017 เริ่มต้นที่ 38.7 ล้านบาท</b></p><p><br /></p><p>- โฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นสูงสุดของค่าย Lamborghini ที่ใช้เครื่องยนต์วี12</p><p>- การออกแบบที่โดดเด่นและมีสไตล์ซึ่งเน้นไปที่สมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์</p><p>- ระบบเลี้ยวแบบ 4 ล้อรุ่นใหม่</p><p>- ความยอดเยี่ยมของระบบช่วงล่างและระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ขับสามารถเลือกออกแบบและปรับเซ็ตการทำงานได้ตามความต้องการ</p><p>- เครื่องยนต์วี12 แบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศที่ได้รับการพัฒนาให้มีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจนมีตัวเลขอยู่ที่ 740 แรงม้า</p><p>- อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/zw/akhv3.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><i>วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ แลมโบร์กินี ประเทศไทย โดย บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ระดับโลกในประเทศไทย</i></p><p><br /></p><p>บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจัดจำหน่ายแลมโบกินี่ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงาน The Private Preview of Lamborghini Aventador S – DARE YOUR EGO ณ โรงแรมสุโขทัย โดยเริ่มต้นราคากระทิงดุ ต้นตำรับเครื่องยนต์ 12 สูบอัดกำลัง 740 แรงม้า เริ่มต้น ที่ 38.7 ล้านบาท</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/vd/nmx18.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>รูปโฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นใหญ่จากค่าย Lamborghini อย่าง Aventador S เครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่ง โดยเป็นรุ่นเดียวในโลก มาพร้อมกับความสวยและโดดเด่นด้วยงานออกแบบรูปลักษณ์ภายในใหม่ ที่เน้นเรื่องสมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ระบบช่วงล่างที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ การเพิ่มกำลังและพลวัตรในการขับขี่ โดยคำว่า S ที่ถูกต่อท้ายชื่อรุ่นนั้นแสดงให้เห็นการพัฒนาและปรับปรุงจากรุ่นเดิม และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์วี12 ของ Lamborghini</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/4u/a4714.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><i>วิทวัส ชินบารมี, มร.มัลคอล์ม ฮิลลารี ผจก.ฝ่ายบริการหลังการขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลี แลมโบร์กินี และ มร.ดาวิเด ซเฟรโคลา ผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลี แลมโบร์กินี</i></p><p><br /></p><p>"นี่คือเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Aventador และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของเราในตลาดซูปเปอร์คาร์ในแง่ของการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และสมรรถนะในการขับขี่" Stefano Domenicali ประธาน และ CEO ของ Automobili Lamborghini กล่าว Aventador S มาพร้อมกับงานออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้า การใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และพลวัตรในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นการยกระดับ คอนเซ็ปต์ของซูเปอร์คาร์ให้ก้าวขึ้นสู่อีกขั้น</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/zw/j9m97.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><i>เสรี ชินบารมี ประธานที่ปรึกษา บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด</i></p><p><br /></p><p>วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในประเทศต้นๆ ที่ได้นำ Lamborghini Aventador S ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่แรงและเร็วที่สุดของ แลมโบร์กินี มาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครในงาน The Private Preview of Aventador S - Dare Your EGO ในครั้งนี้ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ งาน Geneva Motor Show 2017 ซึ่งLamborghini Aventador S นั้นเป็นเสมือนรุ่นไฮไลท์ของ Lamborghini มาพร้อมเครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งและนับเป็นรุ่นเดียวในโลก โดยรุ่น Aventador นั้นได้ถูกผลิตมาแล้วถึง 5 รุ่นและอีก 2 รุ่นพิเศษ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก และแน่นอนว่าในตลาดของเมืองไทยก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่แฟนพันธุ์แท้ของ Aventador ต่างรอคอย"</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/0n/y2v19.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>"นิชคาร์เปิดราคารุ่น Lamborghini Aventador S อยู่ที่ 38.7 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงลูกค้าจะได้ครอบครองรถที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับไฮเปอร์คาร์ในราคาซุปเปอร์คาร์ ทั้งนี้ โควต้าของรุ่น Aventador S สำหรับเมืองไทยมีจำนวนจำกัด สาวกแลมโบร์กินีจึงไม่ควรที่จะพลาดสำหรับรุ่นนี้ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิชคาร์จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการส่งมอบแลมโบร์กินีให้กับแฟนๆ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังยึดมั่นในการมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราต่อไป โดยช่างผู้มีประสบการณ์ และเครื่องมือ diagnostic สำหรับดูแล เพื่อเป็นการพัฒนาการขายและการบริการของนิชคาร์กรุ๊ป ให้เทียบเท่ามาตรฐานของ Lamborghini Automobili S.p.A. ต่อไป" วิทวัส กล่าวทิ้งท้าย</p><p><br /></p><p><u><b>การออกแบบและหลักอากาศพลศาสตร์[/b</b></u><b></b></p><p><b>การออกแบบของ Lamborghini Aventador S ใหม่แสดงให้เห็นถึงแนวทางและรูปแบบในการออกแบบของเจเนอเรชั่นต่อไปของ Aventador อย่างชัดเจน ตัวรถมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงบนรูปลักษณ์ภายนอกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย ขณะที่ภาพรวมของตัวรถยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Aventador เอาไว้ ทุกชิ้นส่วนที่มีการปรับแต่งนั้นได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเป้าหมายในเรื่องการประสบความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ขณะที่ยังคงตอบสนองในแง่ภาพลักษณ์ของ Aventador ที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงพลังในการขับเคลื่อน ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์ออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังได้ออกแบบบางชิ้นส่วนบนตัวรถโดยผสมผสานเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรถสปอร์ตรุ่นดังของค่ายเข้าไว้ด้วยกัน เช่น แนวของเส้นตัวถังบนซุ้มล้อหลังที่มีลักษณะคล้ายกับรถสปอร์ตในอดีตอย่าง Countach</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>ตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น และมีการติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยในเรื่องการควบคุม ทิศทางการไหลของลม ขณะที่รถกำลังแล่นเพื่อประสิทธิภาพในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า จะช่วยลดแรงต้านที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า และยังช่วยทำให้อากาศมีการไหลเข้าสู่หม้อน้ำที่อยู่ทางด้านท้ายได้ดีขึ้น</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>ทางด้านท้ายของ Aventador S มีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser ที่มีสีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้นซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ช่วยลดแรงฉุดที่เกิดขึ้นในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้ายประกอบไปด้วยถึง 3 ปลายท่อ</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>สปอยเลอร์ด้านหลังสามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งระดับการยกตัวของสปอยเลอร์หลังจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัวรถ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ซึ่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลังในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>จากความโดดเด่นของงานออกแบบที่มีอยู่ใน Aventador S นั้นสามารถยกระดับประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี แรงกดบนตัวถังด้านหน้าได้รับการปรับปรุงให้เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเปรียบเทียบกับ Aventador ตัวถังคูเป้รุ่นที่แล้ว และเมื่อแพนอากาศด้านหลังอยู่ในตำแหน่งที่มีประโยชน์สูงสุดในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ จะสามารถสร้างแรงกดบนตัวถังที่ดีขึ้นจากเดิมถึง 50% และลดแรงกระชากที่เกิดขึ้นบนตัวถังได้มากกว่า 400% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม</b></p><p><b><br /></b></p><p style="text-align: center"><b><img src="https://upic.me/i/n8/o3g20.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p></b></p><p><b><u><b>4 เทคโนโลยีระดับเยี่ยมเพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่ที่แท้จริง : ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode</b></u></b></p><p><b>ระบบแชสซีส์ของ Aventador S ยังคงความโดดเด่นและไม่เหมือนใครของ Aventador เอาไว้ เช่นเดียวกับโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัวและมีน้ำหนักเบาเพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถังที่ผลิตจากอะลูมิเนียมซึ่งผลก็คือ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเปล่า หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น</b></p><p><b>Aventador S ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า 'Total Control Concept' เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบช่วงล่าง หรือระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถนั้นล้วนได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการส่งมอบอารมณ์ในการขับขี่และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>ในส่วนของระบบควบคุมอื่นๆ ที่ติดตั้งในตัวรถนั้น มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกให้กับรถสปอร์ตในสายการผลิตของ Lamborghini โดยระบบนี้จะช่วยปรับปรุงในเรื่องความคล่องตัวของตัวรถเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง และจะยิ่งมีการทรงตัวที่ดีขึ้นในช่วงความเร็วสูง สิ่งที่อยู่บนเพลาหน้าคือการผสมผสานการทำงานของระบบ <b>Lamborghini Dynamic Steering (LDS)</b> ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไวเวลาที่เผชิญหน้ากับโค้ง และสอดประสานการทำงานอย่างเป็นพิเศษกับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ <b>Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS)</b> โดยจะมีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก 2 ชุด และตอบสนองในการทำงานที่รวดเร็วเพียง 0.005 วินาที หลังจากที่มีการหักพวงมาลัย ทำให้ตัวระบบสามารถทำงานภายใต้มุมการเลี้ยวที่ใกล้เคียงกับสภาพที่เกิดขึ้นจริง และมีการปรับปรุงการยึดเกาะที่ดีเมื่อเข้าโค้ง</b></p><p><b>เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะมีการหักเลี้ยวในลักษณะที่ตรงข้ามกับมุมการเลี้ยวที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้ตัวรถมีความยาวของระยะฐานล้อลดลง และจากการที่ตัวรถต้องการมุมการเลี้ยวของพวงมาลัยลดลงนั้น ทำให้ Aventador S มีความคล่องตัวมากขึ้นเพราะมีรัศมีวงเลี้ยวที่ลดลง และให้ความมั่นใจกับสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีขึ้น และทำให้สามารถซอกซอนท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งของถนนในเมืองด้วยความคล่องตัว</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>เมื่ออยู่ในช่วงความเร็วสูงจะแตกต่างออกไป โดยทั้งล้อหน้าและล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับมุมการหมุนของพวงมาลัย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ตัวรถมีการทรงตัวที่ดี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองการขับขี่ของตัวรถ การควบคุมในแนวดิ่งมาจากการปรับปรุงในส่วนของตัวก้านกระทุ้งในระบบช่วงล่าง และระบบช่วงล่างแบบ <b>Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS)</b> โดยจะมีการทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง <b>Lamborghini Rear-wheel Steering</b> ซึ่งการปรับปรุงนี้มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง ระบบโช้คอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุลและให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลังยังช่วยควบคุมการ สมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>สำหรับการควบคุมในแนวราบนั้นเป็นผลมาจากการปรับปรุงการทำงานของระบบ ESC ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้นในการควบคุมการยึดเกาะและพลวัตรในการขับเคลื่อนของตัวรถ จากการทดสอบอย่างยาวนานบนพื้นผิวที่หลากหลายทั้งบนหิมะและน้ำแข็ง Aventador S ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของการยึดเกาะและสามารถตอบสนองด้วยประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสภาพพื้นผิวถนน และยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถได้อีกด้วย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบถาวรของ Aventador S ได้รับการปรับแต่งเพื่อสมรรถนะในการทรงตัวและยึดเกาะสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering ทำให้สามารถส่งผ่านแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น โดยเมื่อมีการถอนคันเร่ง แรงบิดที่ถูกถ่ายทอดไปล้อหน้าจะลดลง และทำให้ตัวรถมีลักษณะการขับคล้ายกับท้ายปัด หรือ Oversteer แต่ทว่ามีความปลอดภัยและมั่นใจได้อย่างเต็มที่</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>วิศวกรของ Lamborghini ยังได้ติดตั้งหน่วยควบคุมและประมวลผลที่มีความเป็นอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) เข้าไปในตัวรถเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ โดย LDVA คือสมองชุดใหม่ของตัวรถ ซึ่งจะรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้นผ่านทางข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งมาจากเซ็นเซอร์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆในตัวรถ ทำให้มั่นใจว่าตัวระบบได้รับการตั้งค่าระบบต่างๆ เพื่อให้มีการทำงานที่ดีที่สุด และการันตีว่าระบบควบคุมการขับเคลื่อนของตัวรถจะทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้ทุกสภาพการขับขี่</b></p><p><b><br /></b></p><p style="text-align: center"><b><img src="https://upic.me/i/xv/34s21.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p></b></p><p><b><u><b>EGO Concept : ปรับแต่งรูปแบบการขับตามใจคุณ</b></u></b></p><p><b>Aventador S เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบเพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS)</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>STRADA เป็นตัวแทนของความสะดวกสบายสูงสุดและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน SPORT คือ ความสปอร์ตในการขับที่ให้สัมผัสในรูปแบบของการขับเคลื่อนล้อหลัง และ CORSA คือ การปรับแต่งระบบให้รองรับกับการใช้งานในสนามด้วยสมรรถนะสูงสุด</b></p><p><b>สำหรับ EGO เป็นรูปแบบการขับใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยภายใต้โหมดการทำงานนี้จะมีการเพิ่มหลากหลายรูปแบบการปรับเซ็ตที่มีสไตล์เฉพาะตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการปรับแต่งโดยผู้ขับเอง โดยสามารถเลือกตั้งค่าการทำงานในด้านการยึดเกาะ การบังคับเลี้ยว การขับขี่นุ่มนวลและดุดันให้ผู้ขับสามารถปรับโหมดได้ตามสไตล์การขับขี่ และระบบช่วงล่างจากโหมดทั้ง 3 คือ STRADA, SPORT และ CORSA ได้ตามใจชอบ</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>ทุกรูปแบบการขับจะได้รับการปรับและกำหนดค่าใหม่อีกครั้งใน Aventador S โดยมีการปรับปรุงในส่วนการทำงานของระบบ ESC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงการจัดการในส่วนการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมการยึดเกาะ การกระจายแรงบิดสู่เพลาหน้าและหลังอย่างต่อเนื่องในแต่ละโหมดการขับขี่จะได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering และความแตกต่างระหวางโหมดการขับแบบต่างๆ จะได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>ในโหมด STRADA การทำงานของโช้กอัพจะมีความต่อเนื่องและเน้นความนุ่มนวลเพื่อตอบสนองในเรื่องของความสะดวกสบาย และการทรงตัวที่ดีเมื่อขับอยู่บนถนนที่ขรุขระ แรงบิดจะถูกกระจายสู่ล้อหน้าและหลังในอัตราส่วน 40/60 อีกทั้งยังให้ความปลอดภัยและการทรงตัวที่ดีด้วยสมรรถนะการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม และตัวรถจะสามารถตอบสนองต่อ การขับที่สะดวกและควบคุมง่าย</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>ในโหมด SPORT ผลของการทรงตัวมาจากการทำงานของ Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แรงบิดจำนวนมากถึง 90% จากเครื่องยนต์ถูกส่งมายังล้อหลังเพื่อความสปอร์ตอย่างสูงสุด และให้ความสนุกสนานเมื่อทะยานอยู่บนถนนที่คดเคี้ยว ความแม่นยำในการขับและการตอบสนองไปยังผู้ขับขี่ของตัวรถได้รับการปรับปรุง ขณะเดียวกันยังคงความปลอดภัยและให้ความสะดวกสบายในการขับขี่เช่นเดิม เมื่อมีการถอนคันเร่ง จะมีการส่งแรง บิดจำนวนเล็กน้อยไปยังเพลาขับล้อหน้าเพื่อช่วยทำให้ตัวรถมีความคล่องตัว และสามารถสัมผัสอาการท้ายปัด หรือ Oversteer และการดริฟท์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ และควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น</b></p><p><b><br /></b></p><p><b>ในการขับแบบ CORSA ผู้ขับสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบไม่ต้องพึ่งระบบการทำงานที่ควบคุมในเรื่อง ของพลวัตรในการขับเคลื่อนและการทรงตัวของตัวรถมากนัก ขณะเดียวกันก็ยังคงความแม่นยำและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมเหมือนเดิม การทำงานของโช้กอัพในระดับที่สูงสุดจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสอาการและการตอบสนอง กลับจากการใช้พวงมาลัย การเบรก และการกดคันเร่งได้อย่างเต็มที่ การทำงานระบบการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นภายใต้การใช้งานที่เน้นสมรรถนะสูง และจะมีการส่งแรงบิดที่สมดุลระหว่างล้อหน้าและหลัง โดยจะมีการกระจายแรงบิดออกมาในสัดส่วน 20/80 ระหว่างเพลาหน้าและหลังเพื่อให้รูปแบบการขับที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และเพื่อตอบรับกับการขับในสนามได้อย่างเต็มที่</b></p><p><b><br /></b></p><p style="text-align: center"><b><img src="https://upic.me/i/8j/azk45.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p></b></p><p><b>[u[]b]เครื่องยนต์และระบบไอเสีย</b>[/u]</p><p>เครื่องยนต์แบบ 12 สูบ 6.5 ลิตรที่ติดตั้งใน Lamborghini Aventador S เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ ทั้งระบบวาล์วแปรผัน VVT(Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) ได้รับการปรับปรุงการทำงานเพื่อเป้าหมายในการสร้างแรงบิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที และด้วยน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,575 กิโลกรัม ทำให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าของตัวรถอยู่ที่ 2.13 กิโลกรัมต่อแรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น</p><p>Aventador S ได้รับการติดตั้งชุดท่อไอเสียใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทำงานอันโดดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนา ชุดท่อจึงมีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่มาจากเครื่องยนต์วี12 ซึ่งไม่อาศัยระบบอัดอากาศ โดยจะมีการใช้ชุดปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดวางรูปแบบใหม่ของชุดปลายท่อไอเสียของ Lamborghini</p><p><br /></p><p>เช่นเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้านี้ Aventador S ได้รับการติดตั้งระบบ Stop-and-Start ซึ่งจะดับเครื่องยนต์และสตาร์ทขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับระบบ Cylinder Deactivation ที่จะหยุดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากระบอกสูบจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนกระบอกสูบที่มีอยู่ในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพในด้าน ความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ โดยเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานในลักษณะที่ไม่เน้นสมรรถนะ หรือรีดกำลังการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ กระบอกสูบครึ่งหนึ่งของเครื่องยนต์ก็คือ 6 จาก 12 สูบจะหยุดการทำงานชั่วคราว โดยกระบอกสูบทั้ง 6 ที่หยุดการทำงานจะอยู่ในแนวของเสื้อสูบฝั่งเดียวกันของบล็อกเสื้อสูบแบบตัว V เมื่อผู้ขับขี่กดคัน เร่งเพื่อเพิ่มความเร็วอีกครั้ง เท่ากับว่าเป็นการแจ้งเตือนให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานแบบเต็มระบบอีกครั้ง และจะทำงานแบบครบทั้ง 12 สูบ โดยการตัดสลับการทำงานของระบบนี้จะมีความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ชนิดที่ผู้ขับขี่แทบไม่สามารถสังเกตได้เลยว่าตัวเครื่องยนต์กำลังอยู่ในโหมดไหน</p><p><br /></p><p><u><b>ยางและระบบเบรก</b></u></p><p>Aventador S มาพร้อมกับของใหม่ทั้งชุดโดยเฉพาะในส่วนของยางที่มีความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะ Pirelli ได้พัฒนายางรุ่น P Zero ขึ้นมาเพื่อรถสปอร์ตรุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบเพื่อเน้นประโยชน์ในด้านการบังคับเลี้ยว การยึดเกาะ การเปลี่ยนเลนกะทันหัน และการเบรกที่มีประสิทธิภาพ ตัวยางได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบสนองต่อลักษณะและสไตล์การทำงานของตัวรถ ที่เน้นความคล่องตัวและฉับไวอันเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering เพื่อให้ผู้ขับมั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมและบังคับตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงการถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนทั้งจากล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งยาง Pirelli P Zero สามารถรองรับกับการอัตราเร่ง ที่ฉับไว และลดอาการหน้าดื้อโค้งหรือ Understeer ได้เป็นอย่างดี</p><p><br /></p><p>นอกจากนั้น ในรุ่นนี้ยังมีการติดตั้งดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยดิสก์เบรกที่ผลิตจากคาร์บอนเซรามิกพร้อมกับรูระบายความร้อน (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง) จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการหยุดรถจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้หยุดสนิทโดยที่มีระยะเบรกเพียงแค่ 31 เมตรเท่านั้น</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/3q/fnz29.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><u><b>Aventador S : ใส่ใจทุกรายละเอียดรอบตัวคนขับ</b></u></p><p>ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/yd/n9i44.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวจากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อสัมผัสความบันเทิงตลอดการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง</p><p><br /></p><p>สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/yd/x5w43.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ขับขี่แต่ละคน Aventador S ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Lamborghini's Ad Personam Customization Program</p><p><br /></p><p><u><b>รายละเอียดทางเทคนิค : Lamborghini Aventador S</b></u></p><p><u><b>แชสซีส์และตัวถัง</b></u></p><p>เฟรมตัวถัง : แบบโมโนค็อกผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และมีตัวถังด้านหน้าและหลังผลิตจากอลูมิเนียม</p><p>ชิ้นส่วนตัวถัง : ส่วนฝากระโปรงด้านหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ สปอยเลอร์หลังสามารถปรับระดับได้ และมีช่องดักอากาศแบบยึดติดตายตัว ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า และประตูผลิตจากอลูมิเนียม ส่วนกันชนท้ายและฝาครอบวาล์วผลิตจาก SMC</p><p>รูปแบบระบบกันสะเทือน : ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบก้านกระทุ้งปรับระดับได้ Magneto-rheological มา พร้อมโช้กอัพและสปริงวางตัวในแนวนอน</p><p>การจัดวางระบบกันสะเทือน : ทั้งด้านหน้าและหลังเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ผลิตจากอลูมิเนียม</p><p>ระบบ ESP : ระบบควบคุมการทรงตัว/เอบีเอส ทำงานด้วยหน่วยประมวลผลของ Bosch 8.0 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ ESC ให้สอดคล้องตามโหมดการขับที่ถูกเลือก</p><p>ระบบเบรก : แบบไฮดรอลิก 2 วงจรคู่พร้อมหม้อลมเบรก ดิสก์ด้านหน้าและหลังเป็นแบบคาร์บอนเซรามิก (คาลิเปอร์หน้าแบบ 6 ลูกสูบ และ 4 ลูกสูบสำหรับด้านหลัง)</p><p>ดิสก์หน้าหลังแบบมีรูระบายความร้อน : คาร์บอนเซรามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง</p><p>ระบบบังคับเลี้ยว : มีเกียร์อัตราทดเฟือง 3 ระดับและมี Servotronic ควบคุมการทำงาน โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) และ Lamborghini Rear-Wheel Steering (LRS) ซึ่งควบคุมผ่านทางโหมดการขับที่ถูกเลือกเอาไว้</p><p>อัตราทดเฟืองบังคับเลี้ยว : 10 : 1- 18 : 1</p><p>จำนวนรอบเมื่อหมุนพวงมาลัยจนสุด : 2.1-2.4 รอบ</p><p>เส้นผ่าศูนย์กลางของวงพวงมาลัย : 358 มิลลิเมตร</p><p>ยางด้านหน้า-หลัง : Pirelli P Zero 255/30 ZR20 - 355/25 ZR21</p><p>ขนาดล้อด้านหน้า-หลัง : 9” JX20” H2 ET 32.2 – 13” JX21” H2 ET 66.7</p><p>รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด : 11.5 เมตร (37.73 ฟุต) เป็นค่าเฉลี่ย โดยจะแปรผันไปตามการใช้งาน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบ LRS</p><p>กระจก : กระจกมองข้างมีระบบไล่ฝ้า สามารถปรับระดับและพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า</p><p>สปอยเลอร์หลัง : ปรับระดับได้ 3 ระดับขึ้นอยู่กับความเร็วและโหมดการขับที่เลือกใช้</p><p>ถุงลมนิรภัย : ฝั่งคนขับพองตัวได้ 2 ระดับ และสามารถปรับระดับได้สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ตัวเบาะนั่งมีถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะและร่างกายส่วนบน และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่าของผู้ขับขี่ ขึ้นอยู่กับตลาดบางแห่ง</p><p><br /></p><p><u><b>เครื่องยนต์</b></u></p><p>แบบ : วี12 เสื้อสูบเอียงทำมุม 60 องศา และระบบ MPI</p><p>ความจุกระบอกสูบ : 6498 ซีซี (396.5 ลูกบาศก์นิ้ว)</p><p>กระบอกสูบXช่วงชัก : 95X76.4 มิลลิเมตร (3.74X3 นิ้ว)</p><p>จำนวนวาล์วต่อสูบ : 4 ตัว</p><p>ระบบควบคุมการทำงานของวาล์ว : ระบบวาล์วแบบปรับจังหวะการทำงานได้ ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์</p><p>อัตราส่วนการอัด :11.8 ± 0.2</p><p>กำลังสูงสุด : 740 แรงม้า (544 กิโลวัตต์) ที่ 8,400 รอบ/นาที</p><p>อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร : 113.9 แรงม้า/ลิตร (83.7 กิโลวัตต์/ลิตร)</p><p>แรงบิดสูงสุด : 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที</p><p>รอบเครื่องยนต์สูงสุด : 8,500 รอบ/นาที</p><p>อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก : 2.13 กิโลกรัม/แรงม้า</p><p>ระดับมลพิษในไอเสีย : EURO 6 –LEV2</p><p>ระบบควบคุมไอเสีย : อุปกรณ์บำบัดไอเสียแคตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ พร้อม Lambda Sensors</p><p>ระบบระบายความร้อน : ระบบระบายความร้อนแบบใช้น้ำและน้ำมันไหลผ่าน พร้อมกับท่อไอดีแบบแปรผันความยาวได้</p><p>ระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ : LIE - Lamborghini Iniezione Elettronica พร้อมกับระบบวิเคราะห์ ION</p><p>ระบบหล่อลื่น : อ่างน้ำมันเครื่องแยก (Dry Sump)</p><p><br /></p><p><u><b>ระบบขับเคลื่อน</b></u></p><p>ประเภทของระบบส่งกำลัง : ขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมกับชุดเฟือง Haldex เจเนอเรชั่นที่ 4</p><p>ชุดเกียร์ : 7 จังหวะแบบ ISR มีการปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ในแต่ละตำแหน่งสอดคล้องกับ Mode การขับ</p><p>เกียร์ 1 อัตราทด 3.909</p><p>เกียร์ 2 อัตราทด 2.438</p><p>เกียร์ 3 อัตราทด 1.810</p><p>เกียร์ 4 อัตราทด 1.458</p><p>เกียร์ 5 อัตราทด 1.185</p><p>เกียร์ 6 อัตราทด 0.967</p><p>เกียร์ 7 อัตราทด 0.844</p><p>เกียร์ถอย 2.929</p><p>อัตราทดเฟืองท้าย (หน้า-หลัง) 2.867-3.273</p><p>ชุดคลัตช์ คลัตช์แห้งแบบ 2 แผ่น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 235 มิลลิเมตร (9.25 นิ้ว)</p><p><br /></p><p><u><b>สมรรถนะ</b></u></p><p>ความเร็วสูงสุด : 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง (217 ไมล์/ชั่วโมง)</p><p>อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 2.9 วินาที</p><p>อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 8.8 วินาที</p><p>อัตราเร่ง 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 24.2 วินาที</p><p>ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 31 เมตร</p><p><br /></p><p><u><b>มิติตัวถังและน้ำหนัก</b></u></p><p>ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร (106.29 นิ้ว)</p><p>ความยาว : 4,797 มิลลิเมตร (188.86 นิ้ว)</p><p>ความกว้าง (ไม่รวมกระจก) : 2,030 มิลลิเมตร (79.92 นิ้ว)</p><p>ความสูง : 1,136 มิลลิเมตร (44.72 นิ้ว)</p><p>ความกว้างช่วงล้อ (หน้า-หลัง) : 1,720 มิลลิเมตร (67.71 นิ้ว) - 1,680 มิลลิเมตร (66.14 นิ้ว)</p><p>ความสูงใต้ท้องรถ (ปกติ-ยกสูง) : 115 ± 2 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกขึ้น 155 มิลลิเมตร)</p><p>น้ำหนักรถเปล่า : 1,575 กิโลกรัม (3,472 ปอนด์)</p><p>อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง : 43-57%</p><p><br /></p><p><u><b>ความจุ</b></u></p><p>ถังน้ำมัน : 85 ลิตร</p><p>น้ำมันเครื่อง : 13 ลิตร</p><p>น้ำหล่อเย็นในระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ : 25 ลิตร</p><p>ความจุของพื้นที่เก็บสัมภาระ : 140 ลิตร</p><p><br /></p><p><u><b>อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง</b></u></p><p>ในเมือง : 26.2 ลิตร/100 กิโลเมตร</p><p>นอกเมือง : 11.6 ลิตร/100 กิโลเมตร</p><p>แบบผสม : 16.9 ลิตร/100 กิโลเมตร</p><p>การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : 394 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร</p><p>หมายเหตุ : ตามการทดสอบ Dir. 1999/100/CE</p><p><br /></p><p><u><b>เกี่ยวกับ บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด</b></u></p><p>นิชคาร์กรุ๊ป คือ ผู้นำเข้ารถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ สปอร์ตคาร์ และไฮเปอร์คาร์ ในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 30 ปี ภายใต้ชื่อเดิมคือ เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป ปัจจุบัน นิชคาร์กรุ๊ป ได้รวบรวมสุดยอดยนตรกรรมจากทั่วโลก อาทิ ซุปเปอร์คาร์ "แลมโบร์กินี" (Lamborghini) จากประเทศอิตาลี และสุดยอดสองสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษที่รวมอยู่ใน Formula 1 "แมคลาเรน" (Mclaren) และ ซุปเปอร์คาร์พันธุ์คลาสสิก "โลตัส" (Lotus) รวมถึงไฮเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลี "ปากานี" (Pagani) และไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน "โคนิกเซ็กก์" (Koenigsegg) ราชันต์ออฟโรด "ฮัมเมอร์" (Hummer) จากอเมริกา พร้อมด้วยโชว์รูมถึงสองแห่ง คือ สาขาสยามพารากอน และ สาขามอเตอร์เวย์ กม.1 (เปิดบริการทุกวัน 8.30-17.30 น.) สามารถสอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นิชคาร์กรุ๊ป ได้ที่ โทร. 02-321-1111 หรือ Hotline 081-434-7777 หรือ <a href="https://www.facebook.com/nichecars/" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="https://www.facebook.com/nichecars/" rel="nofollow">https://www.facebook.com/nichecars/</a> และ <a href="https://www.facebook.com/LamborghiniTH/" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="https://www.facebook.com/LamborghiniTH/" rel="nofollow">https://www.facebook.com/LamborghiniTH/</a></p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/f0/qbl22.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/zn/fhn23.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/wo/iyy24.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/dw/9fz25.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/zn/ld426.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/bk/0gk27.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/3q/lsn28.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/oq/dz442.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/e4/sqz41.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center">บรรยากาศภายในงาน</p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/ly/zya34.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/fy/8gm35.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/40/1c736.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/jo/zo037.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/qj/chh38.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/my/s6439.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/e4/8h240.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/dc/ck331.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/50/kvb32.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><br /></p> <p style="text-align: center"><img src="https://upic.me/i/f4/zcm33.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="News, post: 4818837, member: 3"][center][img]https://upic.me/i/3h/cok17.jpg[/img] [b]นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด จัด The Private Preview ครั้งแรกในประเทศไทย กับกระทิงดุ Lamborghini Aventador S: ยกระดับมาตรฐานใหม่ในตลาดซุปเปอร์คาร์ก่อนเปิดตัวที่ Geneva Motor Show 2017 เริ่มต้นที่ 38.7 ล้านบาท[/b][/center] - โฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นสูงสุดของค่าย Lamborghini ที่ใช้เครื่องยนต์วี12 - การออกแบบที่โดดเด่นและมีสไตล์ซึ่งเน้นไปที่สมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ - ระบบเลี้ยวแบบ 4 ล้อรุ่นใหม่ - ความยอดเยี่ยมของระบบช่วงล่างและระบบอิเล็กทรอนิกส์ที่ผู้ขับสามารถเลือกออกแบบและปรับเซ็ตการทำงานได้ตามความต้องการ - เครื่องยนต์วี12 แบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศที่ได้รับการพัฒนาให้มีกำลังสูงสุดเพิ่มขึ้นจนมีตัวเลขอยู่ที่ 740 แรงม้า - อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงในเวลา 2.9 วินาที และความเร็วสูงสุด 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง [center][img]https://upic.me/i/zw/akhv3.jpg[/img] [i]วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ แลมโบร์กินี ประเทศไทย โดย บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด ผู้นำเข้าและจำหน่ายรถยนต์ซุปเปอร์คาร์ระดับโลกในประเทศไทย[/i][/center] บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด ผู้แทนจัดจำหน่ายแลมโบกินี่ อย่างเป็นทางการแต่เพียงผู้เดียวในประเทศไทย จัดงาน The Private Preview of Lamborghini Aventador S – DARE YOUR EGO ณ โรงแรมสุโขทัย โดยเริ่มต้นราคากระทิงดุ ต้นตำรับเครื่องยนต์ 12 สูบอัดกำลัง 740 แรงม้า เริ่มต้น ที่ 38.7 ล้านบาท [center][img]https://upic.me/i/vd/nmx18.jpg[/img][/center] รูปโฉมใหม่ของรถสปอร์ตรุ่นใหญ่จากค่าย Lamborghini อย่าง Aventador S เครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่ง โดยเป็นรุ่นเดียวในโลก มาพร้อมกับความสวยและโดดเด่นด้วยงานออกแบบรูปลักษณ์ภายในใหม่ ที่เน้นเรื่องสมรรถนะในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ระบบช่วงล่างที่มีการพัฒนาขึ้นใหม่ การเพิ่มกำลังและพลวัตรในการขับขี่ โดยคำว่า S ที่ถูกต่อท้ายชื่อรุ่นนั้นแสดงให้เห็นการพัฒนาและปรับปรุงจากรุ่นเดิม และเป็นการแสดงให้เห็นถึงการยกระดับมาตรฐานใหม่ให้กับรถสปอร์ตที่ใช้เครื่องยนต์วี12 ของ Lamborghini [center][img]https://upic.me/i/4u/a4714.jpg[/img] [i]วิทวัส ชินบารมี, มร.มัลคอล์ม ฮิลลารี ผจก.ฝ่ายบริการหลังการขายประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลี แลมโบร์กินี และ มร.ดาวิเด ซเฟรโคลา ผู้จัดการฝ่ายขาย ประจำภูมิภาคเอเชียแปซิฟิก ออโตโมบิลี แลมโบร์กินี[/i][/center] "นี่คือเจนเนอเรชั่นใหม่ของ Aventador และยังเป็นการแสดงให้เห็นถึงการพัฒนาที่โดดเด่นของเราในตลาดซูปเปอร์คาร์ในแง่ของการนำเสนอเทคโนโลยีใหม่ และสมรรถนะในการขับขี่" Stefano Domenicali ประธาน และ CEO ของ Automobili Lamborghini กล่าว Aventador S มาพร้อมกับงานออกแบบที่แสดงให้เห็นถึงความล้ำหน้า การใช้เทคโนโลยีในระดับสูง และพลวัตรในการขับขี่ ซึ่งทั้งหมดได้ถูกผสมผสานกันอย่างลงตัว และเป็นการยกระดับ คอนเซ็ปต์ของซูเปอร์คาร์ให้ก้าวขึ้นสู่อีกขั้น [center][img]https://upic.me/i/zw/j9m97.jpg[/img] [i]เสรี ชินบารมี ประธานที่ปรึกษา บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด[/i][/center] วิทวัส ชินบารมี กรรมการผู้จัดการ บริษัท นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด กล่าวว่า "เรามีความยินดีเป็นอย่างยิ่งที่ได้เป็นหนึ่งในประเทศต้นๆ ที่ได้นำ Lamborghini Aventador S ซึ่งเป็นรุ่นล่าสุดที่แรงและเร็วที่สุดของ แลมโบร์กินี มาให้ลูกค้าได้สัมผัสก่อนใครในงาน The Private Preview of Aventador S - Dare Your EGO ในครั้งนี้ ก่อนเปิดตัวอย่างเป็นทางการที่ งาน Geneva Motor Show 2017 ซึ่งLamborghini Aventador S นั้นเป็นเสมือนรุ่นไฮไลท์ของ Lamborghini มาพร้อมเครื่องยนต์ 12 สูบวางกลาง ระบบ N/A ที่เรียกได้ว่าไม่มีคู่แข่งและนับเป็นรุ่นเดียวในโลก โดยรุ่น Aventador นั้นได้ถูกผลิตมาแล้วถึง 5 รุ่นและอีก 2 รุ่นพิเศษ ซึ่งได้รับกระแสตอบรับอย่างดีจากทั่วโลก และแน่นอนว่าในตลาดของเมืองไทยก็เช่นกัน เรียกได้ว่าเป็นรุ่นที่แฟนพันธุ์แท้ของ Aventador ต่างรอคอย" [center][img]https://upic.me/i/0n/y2v19.jpg[/img][/center] "นิชคาร์เปิดราคารุ่น Lamborghini Aventador S อยู่ที่ 38.7 ล้านบาท ซึ่งหมายถึงลูกค้าจะได้ครอบครองรถที่มีสมรรถนะเทียบเท่ากับไฮเปอร์คาร์ในราคาซุปเปอร์คาร์ ทั้งนี้ โควต้าของรุ่น Aventador S สำหรับเมืองไทยมีจำนวนจำกัด สาวกแลมโบร์กินีจึงไม่ควรที่จะพลาดสำหรับรุ่นนี้ และผมหวังเป็นอย่างยิ่งว่านิชคาร์จะประสบความสำเร็จอย่างสูงในการส่งมอบแลมโบร์กินีให้กับแฟนๆ ในประเทศไทยอย่างต่อเนื่อง อีกทั้งเรายังยึดมั่นในการมอบบริการที่ดีที่สุดให้กับลูกค้าของเราต่อไป โดยช่างผู้มีประสบการณ์ และเครื่องมือ diagnostic สำหรับดูแล เพื่อเป็นการพัฒนาการขายและการบริการของนิชคาร์กรุ๊ป ให้เทียบเท่ามาตรฐานของ Lamborghini Automobili S.p.A. ต่อไป" วิทวัส กล่าวทิ้งท้าย [u][b]การออกแบบและหลักอากาศพลศาสตร์[/b[/b][/u][b] การออกแบบของ Lamborghini Aventador S ใหม่แสดงให้เห็นถึงแนวทางและรูปแบบในการออกแบบของเจเนอเรชั่นต่อไปของ Aventador อย่างชัดเจน ตัวรถมาพร้อมกับความเปลี่ยนแปลงบนรูปลักษณ์ภายนอกหลายอย่าง โดยเฉพาะอย่างยิ่งบนตัวถังด้านหน้าและด้านท้าย ขณะที่ภาพรวมของตัวรถยังคงเอกลักษณ์ที่โดดเด่นของ Aventador เอาไว้ ทุกชิ้นส่วนที่มีการปรับแต่งนั้นได้รับการออกแบบใหม่เพื่อเป้าหมายในเรื่องการประสบความสำเร็จในด้านประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ ขณะที่ยังคงตอบสนองในแง่ภาพลักษณ์ของ Aventador ที่เต็มไปด้วยเรี่ยวแรงพลังในการขับเคลื่อน ยิ่งไปกว่านั้น ศูนย์ออกแบบ Lamborghini Centro Stile ยังได้ออกแบบบางชิ้นส่วนบนตัวรถโดยผสมผสานเอกลักษณ์ดั้งเดิมของรถสปอร์ตรุ่นดังของค่ายเข้าไว้ด้วยกัน เช่น แนวของเส้นตัวถังบนซุ้มล้อหลังที่มีลักษณะคล้ายกับรถสปอร์ตในอดีตอย่าง Countach ตัวถังด้านหน้ามีความดุดันมากขึ้น และมีการติดตั้งแผ่นรีดอากาศที่มีขนาดใหญ่ขึ้นซึ่งจะช่วยในเรื่องการควบคุม ทิศทางการไหลของลม ขณะที่รถกำลังแล่นเพื่อประสิทธิภาพในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ที่ดีขึ้น รวมถึงการเพิ่มประสิทธิภาพในด้านการระบายความร้อนของเครื่องยนต์และหม้อน้ำ ท่อนำอากาศ 2 ท่อที่ติดตั้งอยู่ด้านข้างกันชนหน้า จะช่วยลดแรงต้านที่ส่งผลต่อความเพรียวลมตรงบริเวณที่ยางของล้อหน้า และยังช่วยทำให้อากาศมีการไหลเข้าสู่หม้อน้ำที่อยู่ทางด้านท้ายได้ดีขึ้น ทางด้านท้ายของ Aventador S มีความโดดเด่นด้วยชุดรีดอากาศ Diffuser ที่มีสีดำขนาดใหญ่ และผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ พร้อมรูปทรงที่มีเอกลักษณ์ ซึ่งประกอบไปด้วยครีบที่วางตัวในแนวตั้งหลายชิ้นซึ่งทั้งหมดจะส่งผลต่อทิศทางการไหลของลม ช่วยลดแรงฉุดที่เกิดขึ้นในขณะที่รถกำลังแล่น และสามารถสร้างแรงกดบนตัวถัง โดยที่ตำแหน่งปลายท่อไอเสียบนกันชนท้ายประกอบไปด้วยถึง 3 ปลายท่อ สปอยเลอร์ด้านหลังสามารถปรับได้ 3 ระดับ ขึ้นอยู่กับความเร็วที่ใช้และโหมดการขับขี่ที่ถูกเลือก ซึ่งระดับการยกตัวของสปอยเลอร์หลังจะมีผลต่อความสมดุลโดยรวมของตัวรถ และทำงานร่วมกับตัวสร้างกระแสลมหมุน หรือ Vortex Generator ซึ่งอยู่ในตำแหน่งด้านล่างของระบบช่วงล่างด้านหน้าและหลังในการช่วยเพิ่มประสิทธิภาพการไหลของกระแสลมได้อย่างสูงสุด เช่นเดียวกับการช่วยระบายความร้อนให้กับระบบเบรก จากความโดดเด่นของงานออกแบบที่มีอยู่ใน Aventador S นั้นสามารถยกระดับประสิทธิภาพทางด้านหลักอากาศพลศาสตร์ได้เป็นอย่างดี แรงกดบนตัวถังด้านหน้าได้รับการปรับปรุงให้เพิ่มขึ้นถึง 130% เมื่อเปรียบเทียบกับ Aventador ตัวถังคูเป้รุ่นที่แล้ว และเมื่อแพนอากาศด้านหลังอยู่ในตำแหน่งที่มีประโยชน์สูงสุดในด้านหลักอากาศพลศาสตร์ จะสามารถสร้างแรงกดบนตัวถังที่ดีขึ้นจากเดิมถึง 50% และลดแรงกระชากที่เกิดขึ้นบนตัวถังได้มากกว่า 400% เมื่อเปรียบเทียบกับรุ่นเดิม [center][img]https://upic.me/i/n8/o3g20.jpg[/img][/center] [u][b]4 เทคโนโลยีระดับเยี่ยมเพื่อสุนทรีย์ในการขับขี่ที่แท้จริง : ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ, ระบบช่วงล่างแบบปรับระดับได้, ระบบเลี้ยว 4 ล้อ และโหมดการขับแบบใหม่ EGO Driving Mode[/b][/u] ระบบแชสซีส์ของ Aventador S ยังคงความโดดเด่นและไม่เหมือนใครของ Aventador เอาไว้ เช่นเดียวกับโครงสร้างตัวถังแบบโมโนค็อก ที่มีความทนทานต่อการบิดตัวและมีน้ำหนักเบาเพราะผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ โดยโครงนี้จะเชื่อมต่อเข้ากับเฟรมตัวถังที่ผลิตจากอะลูมิเนียมซึ่งผลก็คือ ทำให้ตัวรถมีน้ำหนักเปล่า หรือ Dry Weight เพียง 1,575 กิโลกรัมเท่านั้น Aventador S ได้รับการพัฒนาขึ้นมาใหม่ภายใต้แนวคิดที่เรียกว่า 'Total Control Concept' เพื่อส่งมอบประสิทธิภาพการขับขี่ในระดับสูงสุด ไม่ว่าจะเป็นการทำงานของระบบช่วงล่าง หรือระบบควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ที่ติดตั้งอยู่ในตัวรถนั้นล้วนได้รับการพัฒนาด้วยเทคโนโลยีที่ล้ำหน้า โดยมีเป้าหมายเดียวกันในเรื่องของการส่งมอบอารมณ์ในการขับขี่และการควบคุมรถที่ยอดเยี่ยม ในส่วนของระบบควบคุมอื่นๆ ที่ติดตั้งในตัวรถนั้น มีระบบขับเคลื่อน 4 ล้อรุ่นใหม่ ซึ่งมีการติดตั้งเป็นครั้งแรกให้กับรถสปอร์ตในสายการผลิตของ Lamborghini โดยระบบนี้จะช่วยปรับปรุงในเรื่องความคล่องตัวของตัวรถเมื่อขับด้วยความเร็วต่ำและปานกลาง และจะยิ่งมีการทรงตัวที่ดีขึ้นในช่วงความเร็วสูง สิ่งที่อยู่บนเพลาหน้าคือการผสมผสานการทำงานของระบบ [b]Lamborghini Dynamic Steering (LDS)[/b] ที่ได้รับการปรับแต่งเพื่อมีความเป็นธรรมชาติมากขึ้นเช่นเดียวกับการตอบสนองที่ฉับไวเวลาที่เผชิญหน้ากับโค้ง และสอดประสานการทำงานอย่างเป็นพิเศษกับระบบบังคับเลี้ยวของล้อหลัง หรือ [b]Lamborghini Rear-wheel Steering (LRS)[/b] โดยจะมีตัวควบคุมที่แยกการทำงานต่างหาก 2 ชุด และตอบสนองในการทำงานที่รวดเร็วเพียง 0.005 วินาที หลังจากที่มีการหักพวงมาลัย ทำให้ตัวระบบสามารถทำงานภายใต้มุมการเลี้ยวที่ใกล้เคียงกับสภาพที่เกิดขึ้นจริง และมีการปรับปรุงการยึดเกาะที่ดีเมื่อเข้าโค้ง เมื่อขับด้วยความเร็วต่ำ ล้อหลังจะมีการหักเลี้ยวในลักษณะที่ตรงข้ามกับมุมการเลี้ยวที่เกิดขึ้น ผลที่เกิดขึ้นคือ ทำให้ตัวรถมีความยาวของระยะฐานล้อลดลง และจากการที่ตัวรถต้องการมุมการเลี้ยวของพวงมาลัยลดลงนั้น ทำให้ Aventador S มีความคล่องตัวมากขึ้นเพราะมีรัศมีวงเลี้ยวที่ลดลง และให้ความมั่นใจกับสมรรถนะการเข้าโค้งที่ดีขึ้น และทำให้สามารถซอกซอนท่ามกลางการจราจรที่คับคั่งของถนนในเมืองด้วยความคล่องตัว เมื่ออยู่ในช่วงความเร็วสูงจะแตกต่างออกไป โดยทั้งล้อหน้าและล้อหลังจะหมุนไปในทิศทางเดียวกัน ซึ่งสอดคล้องกับมุมการหมุนของพวงมาลัย ดังนั้นสิ่งที่เกิดขึ้นคือ ระยะฐานล้อที่เพิ่มขึ้น ซึ่งจะช่วยทำให้ตัวรถมีการทรงตัวที่ดี และช่วยเพิ่มประสิทธิภาพในการตอบสนองการขับขี่ของตัวรถ การควบคุมในแนวดิ่งมาจากการปรับปรุงในส่วนของตัวก้านกระทุ้งในระบบช่วงล่าง และระบบช่วงล่างแบบ [b]Lamborghini Magneto-rheological Suspension (LMS)[/b] โดยจะมีการทำงานร่วมกับระบบเลี้ยว 4 ล้อรุ่นใหม่ของตัวรถ การจัดวางชิ้นส่วนในระบบกันสะเทือนในเชิงเรขาคณิตมีการปรับปรุงใหม่ ซึ่งก็เป็นผลมาจากการทำงานร่วมกับระบบขับเคลื่อนล้อหลัง [b]Lamborghini Rear-wheel Steering[/b] ซึ่งการปรับปรุงนี้มีทั้งในส่วนของปีกนกตัวบน ตัวล่าง และดุมล้อ ซึ่งจะช่วยลดมุมแคสเตอร์และลดภาระที่เกิดขึ้นกับระบบช่วงล่าง ระบบโช้คอัพที่มีการปรับระดับความหนืดแบบ Real-time ให้สอดคล้องกับสภาพการขับขี่จะช่วยควบคุมล้อและตัวถัง ให้สามารถอยู่ในระดับที่สมดุลและให้ระดับการยึดเกาะที่สูงสุด นอกจากนั้นสปริงชุดใหม่ที่ล้อหลังยังช่วยควบคุมการ สมดุลของตัวรถได้เป็นอย่างดีอีกด้วย สำหรับการควบคุมในแนวราบนั้นเป็นผลมาจากการปรับปรุงการทำงานของระบบ ESC ให้มีความแม่นยำมากขึ้น และรวดเร็วขึ้นในการควบคุมการยึดเกาะและพลวัตรในการขับเคลื่อนของตัวรถ จากการทดสอบอย่างยาวนานบนพื้นผิวที่หลากหลายทั้งบนหิมะและน้ำแข็ง Aventador S ได้รับการปรับปรุงในเรื่องของการยึดเกาะและสามารถตอบสนองด้วยประสิทธิภาพสูงสุดในทุกสภาพพื้นผิวถนน และยังช่วยเพิ่มสมรรถนะในการควบคุมรถได้อีกด้วย ระบบขับเคลื่อน 4 ล้อแบบถาวรของ Aventador S ได้รับการปรับแต่งเพื่อสมรรถนะในการทรงตัวและยึดเกาะสูงสุดซึ่งเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering ทำให้สามารถส่งผ่านแรงบิดจากเครื่องยนต์ได้มากขึ้น โดยเมื่อมีการถอนคันเร่ง แรงบิดที่ถูกถ่ายทอดไปล้อหน้าจะลดลง และทำให้ตัวรถมีลักษณะการขับคล้ายกับท้ายปัด หรือ Oversteer แต่ทว่ามีความปลอดภัยและมั่นใจได้อย่างเต็มที่ วิศวกรของ Lamborghini ยังได้ติดตั้งหน่วยควบคุมและประมวลผลที่มีความเป็นอัจฉริยะอย่าง Lamborghini Dinamica Veicolo Attiva (LDVA) เข้าไปในตัวรถเพื่อควบคุมการทำงานของระบบต่างๆ โดย LDVA คือสมองชุดใหม่ของตัวรถ ซึ่งจะรับข้อมูลการเคลื่อนที่ของตัวรถแบบ Real-time และมีความแม่นยำมากขึ้นผ่านทางข้อมูลต่างๆ ที่ถูกส่งมาจากเซ็นเซอร์ทั้งหมดที่ติดตั้งอยู่ตามจุดต่างๆในตัวรถ ทำให้มั่นใจว่าตัวระบบได้รับการตั้งค่าระบบต่างๆ เพื่อให้มีการทำงานที่ดีที่สุด และการันตีว่าระบบควบคุมการขับเคลื่อนของตัวรถจะทำงานได้อย่างยอดเยี่ยมภายใต้ทุกสภาพการขับขี่ [center][img]https://upic.me/i/xv/34s21.jpg[/img][/center] [u][b]EGO Concept : ปรับแต่งรูปแบบการขับตามใจคุณ[/b][/u] Aventador S เปิดโอกาสให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกรูปแบบการทำงานของระบบเพื่อสอดคล้องกับการขับขี่ได้ถึง 4 แบบด้วยกัน คือ STRADA, SPORT, CORSA และแบบใหม่ล่าสุดคือ EGO Mode ซึ่งทั้งหมดจะมีการปรับปรุงในส่วนรูปแบบการทำงานของระบบการยึดเกาะ (เครื่องยนต์, เกียร์ และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ) ระบบบังคับเลี้ยว (LRS, LDS และ Servotronic) และระบบช่วงล่าง (LMS) STRADA เป็นตัวแทนของความสะดวกสบายสูงสุดและเหมาะกับการใช้งานในชีวิตประจำวัน SPORT คือ ความสปอร์ตในการขับที่ให้สัมผัสในรูปแบบของการขับเคลื่อนล้อหลัง และ CORSA คือ การปรับแต่งระบบให้รองรับกับการใช้งานในสนามด้วยสมรรถนะสูงสุด สำหรับ EGO เป็นรูปแบบการขับใหม่ที่เพิ่มเข้ามา โดยภายใต้โหมดการทำงานนี้จะมีการเพิ่มหลากหลายรูปแบบการปรับเซ็ตที่มีสไตล์เฉพาะตัว ซึ่งล้วนแล้วแต่เป็นการปรับแต่งโดยผู้ขับเอง โดยสามารถเลือกตั้งค่าการทำงานในด้านการยึดเกาะ การบังคับเลี้ยว การขับขี่นุ่มนวลและดุดันให้ผู้ขับสามารถปรับโหมดได้ตามสไตล์การขับขี่ และระบบช่วงล่างจากโหมดทั้ง 3 คือ STRADA, SPORT และ CORSA ได้ตามใจชอบ ทุกรูปแบบการขับจะได้รับการปรับและกำหนดค่าใหม่อีกครั้งใน Aventador S โดยมีการปรับปรุงในส่วนการทำงานของระบบ ESC และระบบขับเคลื่อน 4 ล้อ รวมถึงการจัดการในส่วนการกระจายแรงบิดจากเครื่องยนต์ และการตอบสนองของระบบควบคุมการยึดเกาะ การกระจายแรงบิดสู่เพลาหน้าและหลังอย่างต่อเนื่องในแต่ละโหมดการขับขี่จะได้รับการปรับแต่งใหม่สำหรับระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering และความแตกต่างระหวางโหมดการขับแบบต่างๆ จะได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้น ในโหมด STRADA การทำงานของโช้กอัพจะมีความต่อเนื่องและเน้นความนุ่มนวลเพื่อตอบสนองในเรื่องของความสะดวกสบาย และการทรงตัวที่ดีเมื่อขับอยู่บนถนนที่ขรุขระ แรงบิดจะถูกกระจายสู่ล้อหน้าและหลังในอัตราส่วน 40/60 อีกทั้งยังให้ความปลอดภัยและการทรงตัวที่ดีด้วยสมรรถนะการยึดเกาะที่ดีเยี่ยม และตัวรถจะสามารถตอบสนองต่อ การขับที่สะดวกและควบคุมง่าย ในโหมด SPORT ผลของการทรงตัวมาจากการทำงานของ Lamborghini Rear-wheel Steering ซึ่งจะเปิดโอกาสให้แรงบิดจำนวนมากถึง 90% จากเครื่องยนต์ถูกส่งมายังล้อหลังเพื่อความสปอร์ตอย่างสูงสุด และให้ความสนุกสนานเมื่อทะยานอยู่บนถนนที่คดเคี้ยว ความแม่นยำในการขับและการตอบสนองไปยังผู้ขับขี่ของตัวรถได้รับการปรับปรุง ขณะเดียวกันยังคงความปลอดภัยและให้ความสะดวกสบายในการขับขี่เช่นเดิม เมื่อมีการถอนคันเร่ง จะมีการส่งแรง บิดจำนวนเล็กน้อยไปยังเพลาขับล้อหน้าเพื่อช่วยทำให้ตัวรถมีความคล่องตัว และสามารถสัมผัสอาการท้ายปัด หรือ Oversteer และการดริฟท์ได้อย่างง่ายดายเพียงแค่กดคันเร่งเบาๆ และควบคุมพวงมาลัยเท่านั้น ในการขับแบบ CORSA ผู้ขับสามารถสัมผัสประสบการณ์การขับขี่แบบไม่ต้องพึ่งระบบการทำงานที่ควบคุมในเรื่อง ของพลวัตรในการขับเคลื่อนและการทรงตัวของตัวรถมากนัก ขณะเดียวกันก็ยังคงความแม่นยำและการยึดเกาะที่ดีเยี่ยมเหมือนเดิม การทำงานของโช้กอัพในระดับที่สูงสุดจะช่วยทำให้ผู้ขับขี่สามารถสัมผัสอาการและการตอบสนอง กลับจากการใช้พวงมาลัย การเบรก และการกดคันเร่งได้อย่างเต็มที่ การทำงานระบบการเลี้ยวได้รับการปรับปรุงให้ทำงานได้ดีขึ้นภายใต้การใช้งานที่เน้นสมรรถนะสูง และจะมีการส่งแรงบิดที่สมดุลระหว่างล้อหน้าและหลัง โดยจะมีการกระจายแรงบิดออกมาในสัดส่วน 20/80 ระหว่างเพลาหน้าและหลังเพื่อให้รูปแบบการขับที่เป็นธรรมชาติมากขึ้น และเพื่อตอบรับกับการขับในสนามได้อย่างเต็มที่ [center][img]https://upic.me/i/8j/azk45.jpg[/img][/center] [u[]b]เครื่องยนต์และระบบไอเสีย[/b][/u] เครื่องยนต์แบบ 12 สูบ 6.5 ลิตรที่ติดตั้งใน Lamborghini Aventador S เป็นแบบไม่พึ่งระบบอัดอากาศ และได้รับการปรับปรุงให้มีกำลังเพิ่มขึ้นอีก 40 แรงม้าจากรุ่นเดิม จนสามารถทำกำลังได้ถึง 740 แรงม้า และแรงบิดสูงสุด 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที เพื่อให้บรรลุเป้าหมายในการเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ ทั้งระบบวาล์วแปรผัน VVT(Variable Valve Timing) และระบบปรับความยาวของชุดท่อไอดี VIS (Variable Intake System) ได้รับการปรับปรุงการทำงานเพื่อเป้าหมายในการสร้างแรงบิดที่ยอดเยี่ยมยิ่งขึ้น และยิ่งไปกว่านั้น รอบการทำงานสูงสุดของเครื่องยนต์ถูกเพิ่มจาก 8,350 มาเป็น 8,500 รอบ/นาที และด้วยน้ำหนักรถเปล่าเพียง 1,575 กิโลกรัม ทำให้อัตราส่วนน้ำหนักต่อแรงม้าของตัวรถอยู่ที่ 2.13 กิโลกรัมต่อแรงม้า อัตราเร่งจาก 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมงใช้เวลาเพียงแค่ 2.9 วินาที และสามารถทำความเร็วสูงสุดถึง 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง ระบบส่งกำลังเป็นแบบ ISR- Independent Shifting Rod แบบ 7 จังหวะซึ่งชุดเกียร์มีน้ำหนักเบา และมีการเปลี่ยนเกียร์อัตโนมัติที่ฉับไวเพียง 0.05 วินาทีเท่านั้น Aventador S ได้รับการติดตั้งชุดท่อไอเสียใหม่ที่ได้รับการพัฒนาขึ้นมาจากการทำงานอันโดดเด่นของศูนย์วิจัยและพัฒนา ชุดท่อจึงมีน้ำหนักเบากว่าที่ติดตั้งในรุ่นเดิมถึง 20% และผ่านการทดสอบหลากหลายขั้นตอน และให้ผลลัพธ์ที่น่าประทับใจในด้านการตอบสนองของเสียงคำรามอันเป็นเอกลักษณ์ของ Lamborghini ที่มาจากเครื่องยนต์วี12 ซึ่งไม่อาศัยระบบอัดอากาศ โดยจะมีการใช้ชุดปลายท่อไอเสียแบบรวมเป็นชุดเดียวกันแต่มี 3 ปลายท่อ ซึ่งแสดงให้เห็นถึงการจัดวางรูปแบบใหม่ของชุดปลายท่อไอเสียของ Lamborghini เช่นเดียวกันกับรุ่นก่อนหน้านี้ Aventador S ได้รับการติดตั้งระบบ Stop-and-Start ซึ่งจะดับเครื่องยนต์และสตาร์ทขึ้นมาใหม่อีกครั้ง เช่นเดียวกับระบบ Cylinder Deactivation ที่จะหยุดการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงเข้ากระบอกสูบจำนวนครึ่งหนึ่งของจำนวนกระบอกสูบที่มีอยู่ในเครื่องยนต์ เพื่อช่วยให้เครื่องยนต์ตอบสนองอย่างมีประสิทธิภาพในด้าน ความประหยัดน้ำมันและลดมลพิษ โดยเมื่อเครื่องยนต์กำลังทำงานในลักษณะที่ไม่เน้นสมรรถนะ หรือรีดกำลังการทำงานอย่างเต็มรูปแบบ กระบอกสูบครึ่งหนึ่งของเครื่องยนต์ก็คือ 6 จาก 12 สูบจะหยุดการทำงานชั่วคราว โดยกระบอกสูบทั้ง 6 ที่หยุดการทำงานจะอยู่ในแนวของเสื้อสูบฝั่งเดียวกันของบล็อกเสื้อสูบแบบตัว V เมื่อผู้ขับขี่กดคัน เร่งเพื่อเพิ่มความเร็วอีกครั้ง เท่ากับว่าเป็นการแจ้งเตือนให้เครื่องยนต์กลับมาทำงานแบบเต็มระบบอีกครั้ง และจะทำงานแบบครบทั้ง 12 สูบ โดยการตัดสลับการทำงานของระบบนี้จะมีความนุ่มนวลและต่อเนื่อง ชนิดที่ผู้ขับขี่แทบไม่สามารถสังเกตได้เลยว่าตัวเครื่องยนต์กำลังอยู่ในโหมดไหน [u][b]ยางและระบบเบรก[/b][/u] Aventador S มาพร้อมกับของใหม่ทั้งชุดโดยเฉพาะในส่วนของยางที่มีความเป็นเอ็กซ์คลูซีฟ เพราะ Pirelli ได้พัฒนายางรุ่น P Zero ขึ้นมาเพื่อรถสปอร์ตรุ่นนี้โดยเฉพาะ โดยมีการออกแบบเพื่อเน้นประโยชน์ในด้านการบังคับเลี้ยว การยึดเกาะ การเปลี่ยนเลนกะทันหัน และการเบรกที่มีประสิทธิภาพ ตัวยางได้ถูกออกแบบมาเป็นพิเศษเพื่อตอบสนองต่อลักษณะและสไตล์การทำงานของตัวรถ ที่เน้นความคล่องตัวและฉับไวอันเป็นผลมาจากระบบ Lamborghini Rear-wheel Steering เพื่อให้ผู้ขับมั่นใจได้ว่าสามารถควบคุมและบังคับตัวรถได้อย่างมีประสิทธิภาพ นอกจากนั้นยังมีการปรับปรุงการถ่ายทอดกำลังขับเคลื่อนทั้งจากล้อหน้าและล้อหลัง ซึ่งยาง Pirelli P Zero สามารถรองรับกับการอัตราเร่ง ที่ฉับไว และลดอาการหน้าดื้อโค้งหรือ Understeer ได้เป็นอย่างดี นอกจากนั้น ในรุ่นนี้ยังมีการติดตั้งดิสก์เบรกแบบคาร์บอนเซรามิกเป็นอุปกรณ์มาตรฐาน โดยดิสก์เบรกที่ผลิตจากคาร์บอนเซรามิกพร้อมกับรูระบายความร้อน (ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง) จะช่วยยกระดับประสิทธิภาพในการหยุดรถจากความเร็ว 100 กิโลเมตร/ชั่วโมง ให้หยุดสนิทโดยที่มีระยะเบรกเพียงแค่ 31 เมตรเท่านั้น [center][img]https://upic.me/i/3q/fnz29.jpg[/img][/center] [u][b]Aventador S : ใส่ใจทุกรายละเอียดรอบตัวคนขับ[/b][/u] ภายในห้องโดยสารของ Aventador S มาพร้อมกับฟังก์ชั่นใหม่ๆ และการตกแต่งที่ประณีต ผู้ขับขี่สามารถปรับแต่งการแสดงผลบนหน้าจอแบบ TFT ได้ตามความต้องการ และมาพร้อมกับหน้าจอย่อยที่ผู้ขับสามารถเลือกโหมดการขับ STRADA, SPORT และ CORSA รวมไปถึงการทำงานแบบ EGO Mode หลังจากเลือกโหมดการขับขี่ที่ต้องการในแผงควบคุม ปุ่ม EGO ยังมีออพชั่นอื่นๆให้เลือกเพิ่มเติมอีก ซึ่งจะแสดงผลบนหน้าจอเล็ก ให้ผู้ขับขี่สามารถเลือกและปรับแต่งได้ตามความต้องการส่วนตัว [center][img]https://upic.me/i/yd/n9i44.jpg[/img][/center] ตัวรถมีการติดตั้งระบบปฏิบัติการ AppleCarPlay เป็นอุปกรณ์มาตรฐาน สำหรับเชื่อมต่อเข้ากับอุปกรณ์อิเล็กทรอนิกส์ส่วนตัวจากแบรนด์ Apple ของผู้ขับขี่ เพื่อสัมผัสความบันเทิงตลอดการเดินทาง อีกทั้งเพิ่มความสะดวกสบายด้วยระบบการสั่งงานด้วยเสียง สิ่งที่เป็นอุปกรณ์เลือกติดตั้งพิเศษคือ ระบบส่งข้อมูลการขับเข้ามาเก็บในตัวรถ หรือ Telemetry System ซึ่งระบบนี้ ผู้ขับขี่ที่นำรถลงขับในแทร็คสามารถรับทราบข้อมูลการขับ เช่น เวลาต่อรอบ และสมรรถนะของตัวรถในการขับ ณ รอบนั้น เช่นเดียวกับข้อมูลการขับในด้านต่างๆ [center][img]https://upic.me/i/yd/x5w43.jpg[/img][/center] ยิ่งไปกว่านั้น เพื่อเพิ่มความพิเศษและสอดคล้องกับรสนิยมของผู้ขับขี่แต่ละคน Aventador S ยังมีบริการการตกแต่งภายในรถแบบ customization ตามความชอบส่วนตัว ที่สามารถตอบสนองทุกความต้องการผ่าน Lamborghini's Ad Personam Customization Program [u][b]รายละเอียดทางเทคนิค : Lamborghini Aventador S แชสซีส์และตัวถัง[/b][/u] เฟรมตัวถัง : แบบโมโนค็อกผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ และมีตัวถังด้านหน้าและหลังผลิตจากอลูมิเนียม ชิ้นส่วนตัวถัง : ส่วนฝากระโปรงด้านหน้าผลิตจากคาร์บอนไฟเบอร์ สปอยเลอร์หลังสามารถปรับระดับได้ และมีช่องดักอากาศแบบยึดติดตายตัว ฝากระโปรงหน้า กันชนหน้า และประตูผลิตจากอลูมิเนียม ส่วนกันชนท้ายและฝาครอบวาล์วผลิตจาก SMC รูปแบบระบบกันสะเทือน : ระบบกันสะเทือนหน้าและหลังแบบก้านกระทุ้งปรับระดับได้ Magneto-rheological มา พร้อมโช้กอัพและสปริงวางตัวในแนวนอน การจัดวางระบบกันสะเทือน : ทั้งด้านหน้าและหลังเป็นแบบอิสระ ปีกนกคู่ผลิตจากอลูมิเนียม ระบบ ESP : ระบบควบคุมการทรงตัว/เอบีเอส ทำงานด้วยหน่วยประมวลผลของ Bosch 8.0 ปรับเปลี่ยนรูปแบบการทำงานของ ESC ให้สอดคล้องตามโหมดการขับที่ถูกเลือก ระบบเบรก : แบบไฮดรอลิก 2 วงจรคู่พร้อมหม้อลมเบรก ดิสก์ด้านหน้าและหลังเป็นแบบคาร์บอนเซรามิก (คาลิเปอร์หน้าแบบ 6 ลูกสูบ และ 4 ลูกสูบสำหรับด้านหลัง) ดิสก์หน้าหลังแบบมีรูระบายความร้อน : คาร์บอนเซรามิกขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 400 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหน้า และ 380 X 38 มิลลิเมตรที่ด้านหลัง ระบบบังคับเลี้ยว : มีเกียร์อัตราทดเฟือง 3 ระดับและมี Servotronic ควบคุมการทำงาน โดยจะทำงานร่วมกับระบบ Lamborghini Dynamic Steering (LDS) และ Lamborghini Rear-Wheel Steering (LRS) ซึ่งควบคุมผ่านทางโหมดการขับที่ถูกเลือกเอาไว้ อัตราทดเฟืองบังคับเลี้ยว : 10 : 1- 18 : 1 จำนวนรอบเมื่อหมุนพวงมาลัยจนสุด : 2.1-2.4 รอบ เส้นผ่าศูนย์กลางของวงพวงมาลัย : 358 มิลลิเมตร ยางด้านหน้า-หลัง : Pirelli P Zero 255/30 ZR20 - 355/25 ZR21 ขนาดล้อด้านหน้า-หลัง : 9” JX20” H2 ET 32.2 – 13” JX21” H2 ET 66.7 รัศมีวงเลี้ยวแคบสุด : 11.5 เมตร (37.73 ฟุต) เป็นค่าเฉลี่ย โดยจะแปรผันไปตามการใช้งาน ซึ่งเป็นผลมาจากระบบ LRS กระจก : กระจกมองข้างมีระบบไล่ฝ้า สามารถปรับระดับและพับเก็บได้ด้วยไฟฟ้า สปอยเลอร์หลัง : ปรับระดับได้ 3 ระดับขึ้นอยู่กับความเร็วและโหมดการขับที่เลือกใช้ ถุงลมนิรภัย : ฝั่งคนขับพองตัวได้ 2 ระดับ และสามารถปรับระดับได้สำหรับผู้โดยสารด้านหน้า ตัวเบาะนั่งมีถุงลมนิรภัยป้องกันศีรษะและร่างกายส่วนบน และถุงลมนิรภัยสำหรับหัวเข่าของผู้ขับขี่ ขึ้นอยู่กับตลาดบางแห่ง [u][b]เครื่องยนต์[/b][/u] แบบ : วี12 เสื้อสูบเอียงทำมุม 60 องศา และระบบ MPI ความจุกระบอกสูบ : 6498 ซีซี (396.5 ลูกบาศก์นิ้ว) กระบอกสูบXช่วงชัก : 95X76.4 มิลลิเมตร (3.74X3 นิ้ว) จำนวนวาล์วต่อสูบ : 4 ตัว ระบบควบคุมการทำงานของวาล์ว : ระบบวาล์วแบบปรับจังหวะการทำงานได้ ควบคุมด้วยอิเล็กทรอนิกส์ อัตราส่วนการอัด :11.8 ± 0.2 กำลังสูงสุด : 740 แรงม้า (544 กิโลวัตต์) ที่ 8,400 รอบ/นาที อัตราส่วนแรงม้าต่อลิตร : 113.9 แรงม้า/ลิตร (83.7 กิโลวัตต์/ลิตร) แรงบิดสูงสุด : 690 นิวตันเมตร ที่ 5,500 รอบ/นาที รอบเครื่องยนต์สูงสุด : 8,500 รอบ/นาที อัตราส่วนแรงม้าต่อน้ำหนัก : 2.13 กิโลกรัม/แรงม้า ระดับมลพิษในไอเสีย : EURO 6 –LEV2 ระบบควบคุมไอเสีย : อุปกรณ์บำบัดไอเสียแคตาไลติก คอนเวอร์เตอร์ พร้อม Lambda Sensors ระบบระบายความร้อน : ระบบระบายความร้อนแบบใช้น้ำและน้ำมันไหลผ่าน พร้อมกับท่อไอดีแบบแปรผันความยาวได้ ระบบควบคุมการทำงานของเครื่องยนต์ : LIE - Lamborghini Iniezione Elettronica พร้อมกับระบบวิเคราะห์ ION ระบบหล่อลื่น : อ่างน้ำมันเครื่องแยก (Dry Sump) [u][b]ระบบขับเคลื่อน[/b][/u] ประเภทของระบบส่งกำลัง : ขับเคลื่อน 4 ล้อพร้อมกับชุดเฟือง Haldex เจเนอเรชั่นที่ 4 ชุดเกียร์ : 7 จังหวะแบบ ISR มีการปรับรูปแบบการเปลี่ยนเกียร์ในแต่ละตำแหน่งสอดคล้องกับ Mode การขับ เกียร์ 1 อัตราทด 3.909 เกียร์ 2 อัตราทด 2.438 เกียร์ 3 อัตราทด 1.810 เกียร์ 4 อัตราทด 1.458 เกียร์ 5 อัตราทด 1.185 เกียร์ 6 อัตราทด 0.967 เกียร์ 7 อัตราทด 0.844 เกียร์ถอย 2.929 อัตราทดเฟืองท้าย (หน้า-หลัง) 2.867-3.273 ชุดคลัตช์ คลัตช์แห้งแบบ 2 แผ่น มีขนาดเส้นผ่าศูนย์กลาง 235 มิลลิเมตร (9.25 นิ้ว) [u][b]สมรรถนะ[/b][/u] ความเร็วสูงสุด : 350 กิโลเมตร/ชั่วโมง (217 ไมล์/ชั่วโมง) อัตราเร่ง 0-100 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 2.9 วินาที อัตราเร่ง 0-200 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 8.8 วินาที อัตราเร่ง 0-300 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 24.2 วินาที ระยะเบรกจาก 100-0 กิโลเมตร/ชั่วโมง : 31 เมตร [u][b]มิติตัวถังและน้ำหนัก[/b][/u] ระยะฐานล้อ : 2,700 มิลลิเมตร (106.29 นิ้ว) ความยาว : 4,797 มิลลิเมตร (188.86 นิ้ว) ความกว้าง (ไม่รวมกระจก) : 2,030 มิลลิเมตร (79.92 นิ้ว) ความสูง : 1,136 มิลลิเมตร (44.72 นิ้ว) ความกว้างช่วงล้อ (หน้า-หลัง) : 1,720 มิลลิเมตร (67.71 นิ้ว) - 1,680 มิลลิเมตร (66.14 นิ้ว) ความสูงใต้ท้องรถ (ปกติ-ยกสูง) : 115 ± 2 มิลลิเมตร (ด้านหน้ายกขึ้น 155 มิลลิเมตร) น้ำหนักรถเปล่า : 1,575 กิโลกรัม (3,472 ปอนด์) อัตราส่วนการกระจายน้ำหนักด้านหน้า-หลัง : 43-57% [u][b]ความจุ[/b][/u] ถังน้ำมัน : 85 ลิตร น้ำมันเครื่อง : 13 ลิตร น้ำหล่อเย็นในระบบระบายความร้อนเครื่องยนต์ : 25 ลิตร ความจุของพื้นที่เก็บสัมภาระ : 140 ลิตร [u][b]อัตราความสิ้นเปลืองน้ำมันเชื้อเพลิง[/b][/u] ในเมือง : 26.2 ลิตร/100 กิโลเมตร นอกเมือง : 11.6 ลิตร/100 กิโลเมตร แบบผสม : 16.9 ลิตร/100 กิโลเมตร การคายก๊าซคาร์บอนไดออกไซด์ : 394 กรัมต่อ 1 กิโลเมตร หมายเหตุ : ตามการทดสอบ Dir. 1999/100/CE [u][b]เกี่ยวกับ บริษัท นิชคาร์กรุ๊ป จำกัด[/b][/u] นิชคาร์กรุ๊ป คือ ผู้นำเข้ารถยนต์ระดับซุปเปอร์คาร์ สปอร์ตคาร์ และไฮเปอร์คาร์ ในประเทศไทย ดำเนินธุรกิจเป็นเวลากว่า 30 ปี ภายใต้ชื่อเดิมคือ เบนซ์นครินทร์ ออโต้ กรุ๊ป ปัจจุบัน นิชคาร์กรุ๊ป ได้รวบรวมสุดยอดยนตรกรรมจากทั่วโลก อาทิ ซุปเปอร์คาร์ "แลมโบร์กินี" (Lamborghini) จากประเทศอิตาลี และสุดยอดสองสายพันธุ์จากประเทศอังกฤษที่รวมอยู่ใน Formula 1 "แมคลาเรน" (Mclaren) และ ซุปเปอร์คาร์พันธุ์คลาสสิก "โลตัส" (Lotus) รวมถึงไฮเปอร์คาร์สัญชาติอิตาลี "ปากานี" (Pagani) และไฮเปอร์คาร์สัญชาติสวีเดน "โคนิกเซ็กก์" (Koenigsegg) ราชันต์ออฟโรด "ฮัมเมอร์" (Hummer) จากอเมริกา พร้อมด้วยโชว์รูมถึงสองแห่ง คือ สาขาสยามพารากอน และ สาขามอเตอร์เวย์ กม.1 (เปิดบริการทุกวัน 8.30-17.30 น.) สามารถสอบถามข้อมูลและติดตามข่าวสารเพิ่มเติมเกี่ยวกับ นิชคาร์กรุ๊ป ได้ที่ โทร. 02-321-1111 หรือ Hotline 081-434-7777 หรือ [URL]https://www.facebook.com/nichecars/[/URL] และ [URL]https://www.facebook.com/LamborghiniTH/[/URL] [center][img]https://upic.me/i/f0/qbl22.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/zn/fhn23.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/wo/iyy24.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/dw/9fz25.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/zn/ld426.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/bk/0gk27.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/3q/lsn28.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/oq/dz442.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/e4/sqz41.jpg[/img] บรรยากาศภายในงาน [img]https://upic.me/i/ly/zya34.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/fy/8gm35.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/40/1c736.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/jo/zo037.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/qj/chh38.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/my/s6439.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/e4/8h240.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/dc/ck331.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/50/kvb32.jpg[/img] [img]https://upic.me/i/f4/zcm33.jpg[/img][/center][/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Portal
>
New Product
>
นิชคาร์ กรุ๊ป จำกัด จัด The Private Preview ครั้งแรกในประเทศไทย กับกระทิงดุ Lamborghini Aventador S
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...