เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Car Clubs
>
Honda Car Clubs
>
EK Group
>
>>> Knowledge Base <<<
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="ksaEK97, post: 517041, member: 15535"]<b>การเลือกล้อและยางมาตรฐานล้อและยางที่ควรรู้</b></p><p><br /></p><p><span style="color: Yellow"><font size="4">การเลือกล้อและยางมาตรฐานล้อและยางที่ควรรู้</font></span></p><p><br /></p><p><br /></p><p>จากหนังสือยานยนต์ฉบับ 409 ประจำเดือนมิถุนายน 2543</p><p><br /></p><p>รถยนต์และการตกแต่งนับเป็นวิวัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งผนวกกับการดีไซน์สุดหรูที่สอดคล้องกันจนทำให้เกิดไอเดียต่าง ๆ ที่จะนำมาซึ่งความคิดริเริ่มในรูปแบบของงานสร้างสรรค์จนรวมไปถึงการตกแต่งที่ยังรอการพิสูจน์ในคุณภาพจากคนรักรถทั้งหลายในปัจจุบันและอนาคต</p><p><br /></p><p>ปัจจุบันมีการนำเสนอสินค้าที่มียอดขายดี และมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดสำหรับเจ้าของรถยนต์ในเมืองไทยคือ ล้อแม็ก และ ยาง ซึ่งดูแล้ว เข้าเค้า ว่ามันจะมีตัวเลขการจำหน่ายครองอันดับ 2 ต่อจากรถยนต์เลยทีเดียว สำหรับการเลือกล้อแม็กคงไม่มีอะไรต้องตัดสินใจมากไปกว่าความพอใจและความสวยงาม ตลอดจนบางครั้งจะมีเรื่องของราคาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เท่านี้ก็พอแล้วสำหรับการเลือกใช้ล้อแม็กที่คุณต้องการได้โดยสบายใจ แต่จะเลือกใช้ล้อแม็กแบบไหนล่ะ ? จึงจะเหมาะสมกับรถกับสภาพถนนในบ้านเรา เพราะปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีถนนดี ๆ ให้วิ่งกันนักเพราะพวกที่ชอบขุดชอบเจาะยังคงมีอยู่มากมายที่ไม่ยอมปรับผิวถนนให้เหมือนเดิม ไม่รู้มันจะเจาะกันไปถึงไหน ? (ขอโทษครับที่บ่น)</p><p><br /></p><p>มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า สำหรับเจ้าล้อแม็กนี้ท่านคงจะทราบกันดีว่าคุณสมบัติและประโยชน์ใช้สอยของมันคืออะไร แต่ขอถามซักนิดซิว่า</p><p><br /></p><p>คุณชอบอะไร แบบไหน และเพื่อการใช้งานแบบไหนนั้นและที่ต้องการอยากรู้ เมื่อรู้แล้วก็เชิญซื้อกันตามสบายเพราะของอย่างนี้มันขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละบุคคลไม่ใช่ว่าจะบังคับกันได้แต่อีกนั้นและที่ยังงั้ย ยังไงก็ต้องบอกอยู่ดีคือ ล้อแม็กบางครั้งสวยแต่รูปจูบไม่หอม เพราะไม่สามารถจะใส่กับรถของเราได้ ด้วยเหตุผลอะไรต้องมาคุยกัน</p><p><br /></p><p><span style="color: Red">*</span><span style="color: Magenta">การเลือกล้อแม็กนั้นจะต้องดูเรื่องของ P.C.D. หรือ Pitch Circle Diameter </span>คือระยะห่างระหว่างน็อตของล้อแม็กหรือ Offset ที่ควรจะต้องตรงกับสเป็คของรถมิฉะนั้นอาจจะมีปัญหาตามมาได้ ในส่วนอื่นคงไม่มีอะไรมากนอกเสียจากคุณจะทำการดัดแปลงรูน็อตหรือรอง สเปเซอร์ เพื่อให้เข้ากับล้อแม็กชุดที่อยากจะได้ เรียกว่าเป็นการดัดแปลงรถให้เข้ากับล้อไม่ใช่ไปหาซื้อล้อที่เข้ากับรถ แปลกมั๊ยล่ะคนเรา ?</p><p><br /></p><p>มาในเรื่องของการเลือกใช้ยางกันบ้าง ในเรื่องของการเลือกใช้ก็มีอยู่หลายลักษณะด้วยกัน ยกตัวอย่างการดูวัน/เดือน/ปี ที่ผลิตเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเราเองไปเจอกับยาง เก่าเก็บ สมัยนี้มียางรถยนต์เกิดขึ้นมาเยอะมาก ควรระวังในเรื่องของสินค้าค้างสต๊อคและยางที่เสื่อมคุณภาพ รวมทั้งร้านรวงที่ดูแล้วอาจจะไม่ค่อยเอาใจใส่ในเรื่องการเก็บสต๊อค วางไว้เกะกะหรือตามเรื่องตามราว ยางที่ว่าเก็บอย่างไม่ถูกวิธีก็จะทำให้สินค้าด้อยคุณภาพลงอาทิ ยางไม่กลม เป็นต้น</p><p><br /></p><p>วิธีสังเกตง่าย ๆ เช่น ยางเส้นนั้น ๆ ดูด้วยสายตาออกจะบิด ๆ เบี้ยว ๆ มีตำหนิขอบยางแตกลายงา สียางดูจืดผิดปกติ และรู้สึกว่าดอกยางจะแข็งผิดจากความจริงที่ยางเป็นอยู่เพราะฉะนั้นควรตรวจดูให้ถี่ถ้วนก็จะตัดสินใจซื้อเพราะว่าเสียสตางค์หลาย ๆ ครั้งคงไม่สนุกสักเท่าไร</p><p><br /></p><p>ในเรื่องของ ขนาด ของยางว่าจะต้องใส่กันแบบไหน ขนาดไหน ถึงจะเหมาะสม อ๋อ! ง่ายมาก อย่างเช่น ล้อขอบ 13 x 5.5 หรือ 6.5 ก็คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและความกว้างวัดเป็นหน่วย นิ้วฟุต สเป็คยางที่เหมาะสมจะเท่ากับ 175/70 R 13 หรือไม่ก็เป็น 185/70/R13 เป็นต้น แต่ถ้าต้องการเพิ่มขนาดล้อให้ใหญ่ขึ้นก็อาจจะลดซีรี่ส์ยางลงไป 10% คือ ถ้าเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของวงล้อขึ้นมาอีก 1 นิ้ว ซีรี่ส์จะลดไป 10% ของความสูงของแก้มยาง แต่ถ้าเป็นในกรณีที่เป็นรถวัยรุ่นชอบให้ดูเตี้ยนิด ๆ ก็อาจเปลี่ยนมาใช้ยางซีรี่ส์ต่ำ ๆ เช่น วงล้อขอบ 17 x 6.5 ยางควรจะเป็น 205/50 ZR 17 เป็นต้น</p><p><br /></p><p>แต่อย่าลืมล่ะว่ายางแต่ละเส้นมันจะมีรหัสที่บอกค่าความเร็วที่ยางสามารถรับได้ อย่างเช่น SR, VR.ZR ซึ่งผู้ผลิตยางจะแจ้งไว้เพื่อให้ทราบว่ายางของเขาเหมาะสมกับการนำไปใช้ในรถประเภทไหน รถบ้านธรรมดาคงไม่ต้องถึงกับไปใช้ยางรหัส ZR ที่สามารถรับความเร็วได้ถึง 300 กม./ชม. และแน่นอนว่ามันจะราคาแพงกว่ายางทั่ว ๆ ไปด้วย</p><p><br /></p><p>อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคำนึงก็คือ อายุการใช้งาน ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้รถของแต่ละท่านด้วย ยางส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 25,000 30,000 กม. บางครั้งอาจจะน้อยกว่านี้เพราะเจ้าของรถพาไปใช้งานย่านทุรกันดารบ่อย ๆ รถบางคันถูกซื้อมาเก็บ ไม่ค่อยได้วิ่ง พอถึง 2 ปี ก็น่าจะเปลี่ยนยางชุดใหม่ได้แล้วเพราะคุณภาพของเนื้อยางจะเปลี่ยนไป เกิดอาการแข็งกระด้าง เลี้ยวที่หยุดทีก็จะส่งเสียงร้องดังเอี๊ยดอ๊าดเสียดหูแถมยังลื่นอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังเป็นอันตรายมากสำหรับยางที่ไม่มีดอกและยางที่หมดอายุ ขับ ๆ ไปอาจจะเกิดอาการ ยางแตก ให้ต้องลุ้นว่าจะออกหัวหรือออกก้อย</p><p><br /></p><p>ดังนั้นจึงควรเอาใจใส่ตรวจตราสภาพของยางและตรวจเช็คแรงดันลมยางเป็นประจำเสมอเพื่อความปลอดภัยในยามใช้งานพวกที่นิยมใช้ล้อแม็กวงโต ๆ กับยางซีรี่ส์ต่ำ ๆ ลงหลุมแรง ๆ หน่อยเดียวก็ล้อคดต้องเสียตังค์เปลี่ยนใหม่ ถ้าหาลายเดิมไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด</p><p><br /></p><p>-------------------------------------------------------------------------------------------</p><p><span style="color: red">* </span><span style="color: Lime"><font size="4">พี ซี ดี PCD คืออะไร?</font></span></p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/1115629005.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>ร ะ ย ะ พี.ซี.ดี (P. C. D)</p><p><span style="color: Yellow">P.C.D.</span> ย่อมาจาก <span style="color: Lime">PITCH CIRCLE DIAMETER</span> หมายถึง ระยะห่างของรูน๊อตบนตัว ล้อแม็กซ์ โดยวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตทุกตัวลากเส้นเป็นวงกลม แล้ววัดผ่าน เส้นผ่าศูนย์กลาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ถ้าเป็นจำนวนเลขคู่ 4 หรือ 6 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ ก็สามารถวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตด้านหนึ่งไปยังด้านตรงข้ามได้เลย แต่ถ้าเป็นจำนวนเลขคี่ 3 หรือ 5 รูน๊อต ต้องวัดจากแนววงกลมกึ่งกลางรูน๊อตผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง</p><p><br /></p><p> รถยนต์ขนาดเล็กมักมี 4 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ และรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นไปมักมี 5 - 6 รูน๊อต เพื่อความแน่นหนาในการยึดล้อเข้ากับดุมล้อ</p><p><br /></p><p> มีหลายคน มักสงสัยว่าทำไมรูน๊อตที่ใช้ยึด ล้อแม็ก เข้ากับดุมล้อ ถึงได้มีค่า PCD แตกต่างกันออกไป </p><p> ในอดีตที่ผ่านมาก็มีผู้ผลิตรถยนต์ หลายค่ายทั้งเอเชีย, ยุโรป หรือ อเมริกา เองก็ดี ได้ทำการคิดค้นและออกแบบแตกต่างกันออกไป ตามแต่ความคิดอ่าน ของแต่ละค่าย ซึ่งสันนิษฐานว่าในอดีตกาล เขาใช้หน่วยเป็นนิ้ว แต่ต่อมา ในบางประเทศที่คุ้นเคยกับระบบเมตริก ก็มักใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรแทน จึงมีการเรียกแตกต่างกันไป แต่จริงแล้ว ค่าของ PCD ก็มีที่มาจากที่เดียวกันนั่นเอง </p><p><br /></p><p><br /></p><p><font size="4"><span style="color: Lime">การวัดระยะ PCD ด้วยตนเอง</span></font></p><p><br /></p><p> หากเราต้องการทราบว่า ล้อแม็ก ของเรานั้น มีระยะ PCD เท่าไร ? เราสามารถวัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้</p><p><br /></p><p> ก่อนอื่นก็ต้องมี อุปกรณ์ ที่ต้องใช้วัด เช่น ไม้บรรทัด หรือ ตลับเมตร ก็ได้เช่นกัน</p><p><br /></p><p><br /></p><p><span style="color: lime">ล้อ 4 รู / 8 รู </span></p><p><br /></p><p> <span style="color: plum">การวัดสามารถวัดโดย วัดที่หน้าแปลนของ ดุมล้อ ด้านหลัง โดยทาบไม้บรรทัด จากจุด (A) ไปถึงจุด (B) ดูระยะว่าเป็นเท่าไร เช่น อ่านค่าได้เท่ากับ 100 มม. นั่นก็คือระยะ PCD ของ ล้อแม็กซ์ วงนั้น นั่นเอง </span></p><p><br /></p><p> <img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/PCD-100-300x323.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><br /></p><p><span style="color: lime">ล้อ 5 รู / 10 รู </span></p><p><span style="color: plum"><br /></span></p><p><span style="color: plum">การวัดสำหรับ ล้อแม็ก ที่มี 5 รู หรือ 10 รู นั้น ต้องมีการคำนวนเล็กน้อย</span></p><p><span style="color: plum"><br /></span></p><p><span style="color: plum">(A) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูดุมล้อ Center Bore</span></p><p><span style="color: plum">(B) คือระยะระจากขอบรู ดุมล้อ กับขอบรูยึดน๊อต</span></p><p><span style="color: plum">(C) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูยึดน๊อต</span></p><p><span style="color: plum">สูตรการคิด ระยะ PCD = ( A หาร 2 ) + B + ( C หาร 2 )</span></p><p><span style="color: plum">ตัวอย่าง </span></p><p><span style="color: plum">A = 110, B = 58.5 และ C = 13 </span></p><p><span style="color: plum">( 55 ) + (58.5) + ( 6.5 )</span></p><p><span style="color: plum">รวมแล้ว = 120 ดังนั้นตัวเลขที่ได้ก็คือ ค่า PCD นั่นเอง</span></p><p><span style="color: plum"><br /></span></p><p><span style="color: plum">* หรืออาจใช้สูตร A+(2B)+C แทนก็ได้ </span></p><p><br /></p><p> <img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/PCD-514-300x365.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p> </p><p><br /></p><p><span style="color: lime">ล้อ 6 รู</span></p><p><br /></p><p><span style="color: Plum">การวัดสำหรับ ล้อแม็ก 6 รู จะคล้ายกับ 4 รู โดยวัดในแนวเส้นตรงจากขอบด้านในของรูยึดน๊อต ตรงมายังขอบด้านนอกของรูยึดน๊อตฝังตรงข้าม ผ่านรู ดุมล้อ ทำการวัดจากจุด (A) มายังจุด (B) อ่านค่าได้เท่าไร ก็คือ ค่า PCD นั้นเอง</span></p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/PCD-639-300x340.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>------------------------------------------------------------------------------------------</p><p><br /></p><p><span style="color: Lime"><font size="4">ออฟเซ็ต ( Offset , ET ) </font></span></p><p><br /></p><p> คืออะไร ? .... ค่า Offset คือค่าระยะห่าง ระหว่าง เส้นแบ่งครึ่งล้อ ตามแนวขวาง กับ หน้าแปลนของล้อ <span style="color: Lime">(Hub Mounting Surface) </span>โดยมีหน่วยเป็น มิลลิเมตร </p><p><br /></p><p> ค่า Offset ส่งผลอะไรกับรถของเรา ? ค่า Offset จะส่งผลโดยตรงกับระยะหรือตำแหน่งของล้อ ว่าจะยื่นออก หรือ หุบเข้า ไปในตัวรถของท่าน ดังนั้น การเลือกล้อที่มีค่า Offset ที่ถูกต้องเหมาะสมจึงมีความจำเป็น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว </p><p><br /></p><p> <img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/WheelOffset.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /> </p><p><br /></p><p><span style="color: Yellow">ค่า Offset ของล้อ ที่เราจะพูดถึง โดยปกติระบุเป็น 3 ค่าด้วยกันคือ </span></p><p><br /></p><p><span style="color: Yellow"> ค่าออฟเซ็ต เท่ากับศูนย์ Zero Offset (0)</span></p><p><br /></p><p>คือค่า ระยะห่างของ หน้าแปลนล้อ ( Hub Mounting Surface ) ตรงกับ เส้นแบ่งครึ่งของ ล้อตามแนวขวางของล้อพอดี</p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/wheelZeroOffset.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /> </p><p><br /></p><p><br /></p><p><span style="color: yellow">ค่า ออฟเซ็ต เป็นบวก Positive (+)</span></p><p><br /></p><p> คือระยะห่างของเส้นแบ่งครึ่งล้อวัดไปถึงหน้าแปลนล้อโดยมีทิศทางไปนอกตัวรถ วัดได้เป็นระยะเท่าไรนั้นถือค่าเป็นบวก(+) เช่น +20, +30, +38, +45 เป็นต้น ซึ่งมักพบกับล้อที่ใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหน้าเสียส่วนใหญ่</p><p><br /></p><p> <img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/wheelPositiveOffset.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><br /></p><p><span style="color: yellow">ค่าออฟเซ็ต เป็นลบ Negative (-)</span></p><p><br /></p><p>คือระยะห่างของเส้นแบ่งครึ่งล้อวัดไปถึงหน้าแปลนล้อ หรือพูดง่ายๆ ว่าหน้าแปลนของล้อมีระยะเกินเส้นแบ่งครึ่งล้อไปในทิศทางเข้าในตัวรถ วัดได้เป็นระยะเท่าไรนั้นถือค่าเป็น (-) เช่น -5, -10, -20 เป็นต้น ซึ่งรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังมักกำหนดให้ใช้ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซ็ตเป็นลบหรือก็บวกไม่มาก</p><p><br /></p><p> <img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/wheelNegativeOffset.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /> </p><p><br /></p><p> เรื่องนี้หากมีการเลือกค่า offset ที่ไม่ตรงกับรถนั้นๆ ก็จะมีผลกระทบตามมาเช่นกัน หรือหากมีการเปลี่ยนขนาดความกว้างของล้อ ค่า Offset ก็เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหรือรู้ถึงค่า Offset สำหรับรถของท่านควรมีตัวเลขอยู่ที่เท่าไร ? เพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหาให้แก่ตัวรถของท่าน</p><p><br /></p><p><span style="color: DarkOrange"><font size="4">เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าล้อของเรามีค่า Offset เท่าไร ?</font></span></p><p><br /></p><p><span style="color: Yellow">การดูค่า offset ล้อแม็ก ของเราด้วยตนเอง</span></p><p> โดยปกติ ล้อแม็ก ส่วนใหญ่ จะมีตัวเลขบ่งบอกไว้ที่ตัวล้อเองเลย ซึ่งเรามักสังเกตุเห็น ตัวเลขที่มักจะตามตัวอักษร เช่น " ET 38 " ก็หมายถึง offsET 38 นั่นเอง หรือบางที ก็อาจมีเฉพาะตัวเลขลอยๆ ไม่มีตัวอักษรนำหน้าก็มี เช่น " 45 " ก็หมายถึง Offset = 45 เหมือนกัน ดูตัวอย่าง ที่รูปภาพด้านล่าง</p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Offsetletter-1.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p> แต่หากดูที่ล้อแล้ว ไม่ปรากฎ ตัวอักษรหรือตัวเลขดังกล่าว เราก็มีวิธีหาค่า Offset ได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้เครื่องวัดและการคำนวณประกอบกัน ซึ่งเราจะนำมาเล่าให้ฟังต่อไป </p><p><br /></p><p> ตอนต้นเราพูดเรื่องการดูหรือหาค่า Offset ที่ล้อไปแล้ว แต่ตอนนี้ หากเราอยากทราบว่า รถของเรา มาตรฐานเดิมที่ล้อแม็กของเรา มีค่า Offset เท่าไร ? ก็ต้องดูที่ สมุดคู่มือประจำรถ หรือหากไม่มี ก็สามารถสอบถามได้ โดยกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มด้านล่างนี้</p><p><br /></p><p> และนี่ เป็นค่า Offset ของรถที่ถามกันมาบ่อยๆ เราจึงนำมาบอกกัน</p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/eb591f0f.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>------------------------------------------------------------------------------------------</p><p><span style="color: Lime"><font size="4">การยึด ล้อแม็กซ์ เข้ากับตัวรถ</font></span></p><p><br /></p><p> การประกอบ หรือ การขัน ล้อแม็ก เข้ากับรถของท่าน</p><p><br /></p><p> หลังจากที่เราได้ถอดล้อ ออกจากตัวรถแล้ว ไม่ว่าจะนำไป ซ่อม หรือ ถอดเปลี่ยนยาง ก็แล้วแต่ ในการประกอบ ล้อแม็กซ์ กลับเข้าที่ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งโดยปกติความแน่น (Tightening) ของการขันน็อต ( Nuts ) หรือสกรู ( Bolts ) ควรอยู่ในค่าที่กำหนดดูได้จากตารางด้านล่าง และ รูปแบบการถอดใส่ ล้อแม็กซ์ ก็ควรเป็นไปตามรูปแบบ ที่แสดงไว้ ก็จะเป็นการรักษาสภาพ ล้อ และความปลอดภัยของเราด้วยเช่นกัน </p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Bolt-Tight-300x300.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><span style="color: Yellow"><font size="3">รูปแสดงการลำดับถอด-ใส่ Bolts และ Nuts</font></span></p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/torque_diagram20TH.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Tighten-400x300.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Nuts.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p>-----------------------------------------------------------------------------------</p><p><br /></p><p><span style="color: Lime"><font size="4">ประเภทของ ล้อแม็กซ์</font></span></p><p><br /></p><p> ชนิดหรือประเภทของ ล้อแม็กซ์ โดยดูจากโครงสร้างหรือรูปทรง ซึ่งได้จำแนก ล้อแม็ก ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้</p><p><br /></p><p><span style="color: Yellow">ล้อแม็ก แบบชิ้นเดียว ( 1 Piece Wheel ) </span> เป็นล้อที่มี Rim กับ Disk ถูกสร้างขึ้นมาเป็นชิ้นเดียว</p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/MAXI-200x200.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><span style="color: DarkOrange">ล้อแม็ก แบบประกอบ ( Assembly Wheel )</span>เป็นล้อที่มี Rim กับ Disk มาประกอบกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ</p><p><br /></p><p>1) ล้อแม็ก 2 ชิ้น ( 2 piece Wheel ) เป็นล้อที่มี 2 ชิ้นส่วนมาประกอบกันคือ Rim กับ Disk </p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Wh-2piece-400x200.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>2) ล้อแม็ก 3 ชิ้น ( 3 pieces Wheel ) เป็นล้อที่ประกอบเชื่อมส่วนที่เป็น Rim 2 ส่วน กับ Disk เข้าด้วยกัน </p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Wh-3Piece-1300x250.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>3) ล้อแม็ก ชนิดซี่ลวด ( Wire Wheel ) คล้ายล้อของจักรยาน</p><p><br /></p><p><img src="http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Wh-Wire-V2-200x200.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><br /></p><p>ที่มา : <a href="http://www.automagwheel.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=126704" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="http://www.automagwheel.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=126704" rel="nofollow">Click</a>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="ksaEK97, post: 517041, member: 15535"][b]การเลือกล้อและยางมาตรฐานล้อและยางที่ควรรู้[/b] [COLOR="Yellow"][SIZE="4"]การเลือกล้อและยางมาตรฐานล้อและยางที่ควรรู้[/SIZE][/COLOR] จากหนังสือยานยนต์ฉบับ 409 ประจำเดือนมิถุนายน 2543 รถยนต์และการตกแต่งนับเป็นวิวัฒนาการที่ไม่หยุดนิ่งผนวกกับการดีไซน์สุดหรูที่สอดคล้องกันจนทำให้เกิดไอเดียต่าง ๆ ที่จะนำมาซึ่งความคิดริเริ่มในรูปแบบของงานสร้างสรรค์จนรวมไปถึงการตกแต่งที่ยังรอการพิสูจน์ในคุณภาพจากคนรักรถทั้งหลายในปัจจุบันและอนาคต ปัจจุบันมีการนำเสนอสินค้าที่มียอดขายดี และมีการเปลี่ยนแปลงมากที่สุดสำหรับเจ้าของรถยนต์ในเมืองไทยคือ ล้อแม็ก และ ยาง ซึ่งดูแล้ว เข้าเค้า ว่ามันจะมีตัวเลขการจำหน่ายครองอันดับ 2 ต่อจากรถยนต์เลยทีเดียว สำหรับการเลือกล้อแม็กคงไม่มีอะไรต้องตัดสินใจมากไปกว่าความพอใจและความสวยงาม ตลอดจนบางครั้งจะมีเรื่องของราคาเข้ามาเกี่ยวข้องด้วย เท่านี้ก็พอแล้วสำหรับการเลือกใช้ล้อแม็กที่คุณต้องการได้โดยสบายใจ แต่จะเลือกใช้ล้อแม็กแบบไหนล่ะ ? จึงจะเหมาะสมกับรถกับสภาพถนนในบ้านเรา เพราะปัจจุบันนี้ไม่ค่อยมีถนนดี ๆ ให้วิ่งกันนักเพราะพวกที่ชอบขุดชอบเจาะยังคงมีอยู่มากมายที่ไม่ยอมปรับผิวถนนให้เหมือนเดิม ไม่รู้มันจะเจาะกันไปถึงไหน ? (ขอโทษครับที่บ่น) มาเข้าเรื่องกันต่อดีกว่า สำหรับเจ้าล้อแม็กนี้ท่านคงจะทราบกันดีว่าคุณสมบัติและประโยชน์ใช้สอยของมันคืออะไร แต่ขอถามซักนิดซิว่า คุณชอบอะไร แบบไหน และเพื่อการใช้งานแบบไหนนั้นและที่ต้องการอยากรู้ เมื่อรู้แล้วก็เชิญซื้อกันตามสบายเพราะของอย่างนี้มันขึ้นอยู่ที่ความพอใจของแต่ละบุคคลไม่ใช่ว่าจะบังคับกันได้แต่อีกนั้นและที่ยังงั้ย ยังไงก็ต้องบอกอยู่ดีคือ ล้อแม็กบางครั้งสวยแต่รูปจูบไม่หอม เพราะไม่สามารถจะใส่กับรถของเราได้ ด้วยเหตุผลอะไรต้องมาคุยกัน [COLOR="Red"]*[/COLOR][COLOR="Magenta"]การเลือกล้อแม็กนั้นจะต้องดูเรื่องของ P.C.D. หรือ Pitch Circle Diameter [/COLOR]คือระยะห่างระหว่างน็อตของล้อแม็กหรือ Offset ที่ควรจะต้องตรงกับสเป็คของรถมิฉะนั้นอาจจะมีปัญหาตามมาได้ ในส่วนอื่นคงไม่มีอะไรมากนอกเสียจากคุณจะทำการดัดแปลงรูน็อตหรือรอง สเปเซอร์ เพื่อให้เข้ากับล้อแม็กชุดที่อยากจะได้ เรียกว่าเป็นการดัดแปลงรถให้เข้ากับล้อไม่ใช่ไปหาซื้อล้อที่เข้ากับรถ แปลกมั๊ยล่ะคนเรา ? มาในเรื่องของการเลือกใช้ยางกันบ้าง ในเรื่องของการเลือกใช้ก็มีอยู่หลายลักษณะด้วยกัน ยกตัวอย่างการดูวัน/เดือน/ปี ที่ผลิตเพื่อป้องกันไม่ให้ตัวเราเองไปเจอกับยาง เก่าเก็บ สมัยนี้มียางรถยนต์เกิดขึ้นมาเยอะมาก ควรระวังในเรื่องของสินค้าค้างสต๊อคและยางที่เสื่อมคุณภาพ รวมทั้งร้านรวงที่ดูแล้วอาจจะไม่ค่อยเอาใจใส่ในเรื่องการเก็บสต๊อค วางไว้เกะกะหรือตามเรื่องตามราว ยางที่ว่าเก็บอย่างไม่ถูกวิธีก็จะทำให้สินค้าด้อยคุณภาพลงอาทิ ยางไม่กลม เป็นต้น วิธีสังเกตง่าย ๆ เช่น ยางเส้นนั้น ๆ ดูด้วยสายตาออกจะบิด ๆ เบี้ยว ๆ มีตำหนิขอบยางแตกลายงา สียางดูจืดผิดปกติ และรู้สึกว่าดอกยางจะแข็งผิดจากความจริงที่ยางเป็นอยู่เพราะฉะนั้นควรตรวจดูให้ถี่ถ้วนก็จะตัดสินใจซื้อเพราะว่าเสียสตางค์หลาย ๆ ครั้งคงไม่สนุกสักเท่าไร ในเรื่องของ ขนาด ของยางว่าจะต้องใส่กันแบบไหน ขนาดไหน ถึงจะเหมาะสม อ๋อ! ง่ายมาก อย่างเช่น ล้อขอบ 13 x 5.5 หรือ 6.5 ก็คือ ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางและความกว้างวัดเป็นหน่วย นิ้วฟุต สเป็คยางที่เหมาะสมจะเท่ากับ 175/70 R 13 หรือไม่ก็เป็น 185/70/R13 เป็นต้น แต่ถ้าต้องการเพิ่มขนาดล้อให้ใหญ่ขึ้นก็อาจจะลดซีรี่ส์ยางลงไป 10% คือ ถ้าเพิ่มขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของวงล้อขึ้นมาอีก 1 นิ้ว ซีรี่ส์จะลดไป 10% ของความสูงของแก้มยาง แต่ถ้าเป็นในกรณีที่เป็นรถวัยรุ่นชอบให้ดูเตี้ยนิด ๆ ก็อาจเปลี่ยนมาใช้ยางซีรี่ส์ต่ำ ๆ เช่น วงล้อขอบ 17 x 6.5 ยางควรจะเป็น 205/50 ZR 17 เป็นต้น แต่อย่าลืมล่ะว่ายางแต่ละเส้นมันจะมีรหัสที่บอกค่าความเร็วที่ยางสามารถรับได้ อย่างเช่น SR, VR.ZR ซึ่งผู้ผลิตยางจะแจ้งไว้เพื่อให้ทราบว่ายางของเขาเหมาะสมกับการนำไปใช้ในรถประเภทไหน รถบ้านธรรมดาคงไม่ต้องถึงกับไปใช้ยางรหัส ZR ที่สามารถรับความเร็วได้ถึง 300 กม./ชม. และแน่นอนว่ามันจะราคาแพงกว่ายางทั่ว ๆ ไปด้วย อีกเรื่องหนึ่งที่ต้องคำนึงก็คือ อายุการใช้งาน ซึ่งขึ้นอยู่กับการใช้รถของแต่ละท่านด้วย ยางส่วนใหญ่จะมีอายุการใช้งานประมาณ 25,000 30,000 กม. บางครั้งอาจจะน้อยกว่านี้เพราะเจ้าของรถพาไปใช้งานย่านทุรกันดารบ่อย ๆ รถบางคันถูกซื้อมาเก็บ ไม่ค่อยได้วิ่ง พอถึง 2 ปี ก็น่าจะเปลี่ยนยางชุดใหม่ได้แล้วเพราะคุณภาพของเนื้อยางจะเปลี่ยนไป เกิดอาการแข็งกระด้าง เลี้ยวที่หยุดทีก็จะส่งเสียงร้องดังเอี๊ยดอ๊าดเสียดหูแถมยังลื่นอีกต่างหาก นอกจากนี้ยังเป็นอันตรายมากสำหรับยางที่ไม่มีดอกและยางที่หมดอายุ ขับ ๆ ไปอาจจะเกิดอาการ ยางแตก ให้ต้องลุ้นว่าจะออกหัวหรือออกก้อย ดังนั้นจึงควรเอาใจใส่ตรวจตราสภาพของยางและตรวจเช็คแรงดันลมยางเป็นประจำเสมอเพื่อความปลอดภัยในยามใช้งานพวกที่นิยมใช้ล้อแม็กวงโต ๆ กับยางซีรี่ส์ต่ำ ๆ ลงหลุมแรง ๆ หน่อยเดียวก็ล้อคดต้องเสียตังค์เปลี่ยนใหม่ ถ้าหาลายเดิมไม่ได้ก็ต้องเปลี่ยนใหม่ทั้งชุด ------------------------------------------------------------------------------------------- [COLOR="red"]* [/COLOR][COLOR="Lime"][SIZE="4"]พี ซี ดี PCD คืออะไร?[/SIZE][/COLOR] [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/1115629005.jpg[/IMG] ร ะ ย ะ พี.ซี.ดี (P. C. D) [COLOR="Yellow"]P.C.D.[/COLOR] ย่อมาจาก [COLOR="Lime"]PITCH CIRCLE DIAMETER[/COLOR] หมายถึง ระยะห่างของรูน๊อตบนตัว ล้อแม็กซ์ โดยวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตทุกตัวลากเส้นเป็นวงกลม แล้ววัดผ่าน เส้นผ่าศูนย์กลาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร ถ้าเป็นจำนวนเลขคู่ 4 หรือ 6 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ ก็สามารถวัดจากกึ่งกลางรูน๊อตด้านหนึ่งไปยังด้านตรงข้ามได้เลย แต่ถ้าเป็นจำนวนเลขคี่ 3 หรือ 5 รูน๊อต ต้องวัดจากแนววงกลมกึ่งกลางรูน๊อตผ่านเส้นผ่าศูนย์กลาง รถยนต์ขนาดเล็กมักมี 4 รูน๊อตต่อ 1 ล้อ และรถยนต์ขนาดใหญ่ขึ้นไปมักมี 5 - 6 รูน๊อต เพื่อความแน่นหนาในการยึดล้อเข้ากับดุมล้อ มีหลายคน มักสงสัยว่าทำไมรูน๊อตที่ใช้ยึด ล้อแม็ก เข้ากับดุมล้อ ถึงได้มีค่า PCD แตกต่างกันออกไป ในอดีตที่ผ่านมาก็มีผู้ผลิตรถยนต์ หลายค่ายทั้งเอเชีย, ยุโรป หรือ อเมริกา เองก็ดี ได้ทำการคิดค้นและออกแบบแตกต่างกันออกไป ตามแต่ความคิดอ่าน ของแต่ละค่าย ซึ่งสันนิษฐานว่าในอดีตกาล เขาใช้หน่วยเป็นนิ้ว แต่ต่อมา ในบางประเทศที่คุ้นเคยกับระบบเมตริก ก็มักใช้หน่วยเป็นมิลลิเมตรแทน จึงมีการเรียกแตกต่างกันไป แต่จริงแล้ว ค่าของ PCD ก็มีที่มาจากที่เดียวกันนั่นเอง [SIZE="4"][COLOR="Lime"]การวัดระยะ PCD ด้วยตนเอง[/COLOR][/SIZE] หากเราต้องการทราบว่า ล้อแม็ก ของเรานั้น มีระยะ PCD เท่าไร ? เราสามารถวัดได้ด้วยวิธีง่ายๆ ดังต่อไปนี้ ก่อนอื่นก็ต้องมี อุปกรณ์ ที่ต้องใช้วัด เช่น ไม้บรรทัด หรือ ตลับเมตร ก็ได้เช่นกัน [COLOR="lime"]ล้อ 4 รู / 8 รู [/COLOR] [COLOR="plum"]การวัดสามารถวัดโดย วัดที่หน้าแปลนของ ดุมล้อ ด้านหลัง โดยทาบไม้บรรทัด จากจุด (A) ไปถึงจุด (B) ดูระยะว่าเป็นเท่าไร เช่น อ่านค่าได้เท่ากับ 100 มม. นั่นก็คือระยะ PCD ของ ล้อแม็กซ์ วงนั้น นั่นเอง [/COLOR] [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/PCD-100-300x323.jpg[/IMG] [COLOR="lime"]ล้อ 5 รู / 10 รู [/COLOR] [COLOR="plum"] การวัดสำหรับ ล้อแม็ก ที่มี 5 รู หรือ 10 รู นั้น ต้องมีการคำนวนเล็กน้อย (A) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูดุมล้อ Center Bore (B) คือระยะระจากขอบรู ดุมล้อ กับขอบรูยึดน๊อต (C) คือ ระยะของเส้นผ่าศูนย์กลาง ของรูยึดน๊อต สูตรการคิด ระยะ PCD = ( A หาร 2 ) + B + ( C หาร 2 ) ตัวอย่าง A = 110, B = 58.5 และ C = 13 ( 55 ) + (58.5) + ( 6.5 ) รวมแล้ว = 120 ดังนั้นตัวเลขที่ได้ก็คือ ค่า PCD นั่นเอง * หรืออาจใช้สูตร A+(2B)+C แทนก็ได้ [/COLOR] [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/PCD-514-300x365.jpg[/IMG] [COLOR="lime"]ล้อ 6 รู[/COLOR] [COLOR="Plum"]การวัดสำหรับ ล้อแม็ก 6 รู จะคล้ายกับ 4 รู โดยวัดในแนวเส้นตรงจากขอบด้านในของรูยึดน๊อต ตรงมายังขอบด้านนอกของรูยึดน๊อตฝังตรงข้าม ผ่านรู ดุมล้อ ทำการวัดจากจุด (A) มายังจุด (B) อ่านค่าได้เท่าไร ก็คือ ค่า PCD นั้นเอง[/COLOR] [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/PCD-639-300x340.jpg[/IMG] ------------------------------------------------------------------------------------------ [COLOR="Lime"][SIZE="4"]ออฟเซ็ต ( Offset , ET ) [/SIZE][/COLOR] คืออะไร ? .... ค่า Offset คือค่าระยะห่าง ระหว่าง เส้นแบ่งครึ่งล้อ ตามแนวขวาง กับ หน้าแปลนของล้อ [COLOR="Lime"](Hub Mounting Surface) [/COLOR]โดยมีหน่วยเป็น มิลลิเมตร ค่า Offset ส่งผลอะไรกับรถของเรา ? ค่า Offset จะส่งผลโดยตรงกับระยะหรือตำแหน่งของล้อ ว่าจะยื่นออก หรือ หุบเข้า ไปในตัวรถของท่าน ดังนั้น การเลือกล้อที่มีค่า Offset ที่ถูกต้องเหมาะสมจึงมีความจำเป็น อย่างหลีกเลี่ยงไม่ได้เลยทีเดียว [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/WheelOffset.jpg[/IMG] [COLOR="Yellow"]ค่า Offset ของล้อ ที่เราจะพูดถึง โดยปกติระบุเป็น 3 ค่าด้วยกันคือ [/COLOR] [COLOR="Yellow"] ค่าออฟเซ็ต เท่ากับศูนย์ Zero Offset (0)[/COLOR] คือค่า ระยะห่างของ หน้าแปลนล้อ ( Hub Mounting Surface ) ตรงกับ เส้นแบ่งครึ่งของ ล้อตามแนวขวางของล้อพอดี [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/wheelZeroOffset.jpg[/IMG] [COLOR="yellow"]ค่า ออฟเซ็ต เป็นบวก Positive (+)[/COLOR] คือระยะห่างของเส้นแบ่งครึ่งล้อวัดไปถึงหน้าแปลนล้อโดยมีทิศทางไปนอกตัวรถ วัดได้เป็นระยะเท่าไรนั้นถือค่าเป็นบวก(+) เช่น +20, +30, +38, +45 เป็นต้น ซึ่งมักพบกับล้อที่ใช้กับรถขับเคลื่อนล้อหน้าเสียส่วนใหญ่ [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/wheelPositiveOffset.jpg[/IMG] [COLOR="yellow"]ค่าออฟเซ็ต เป็นลบ Negative (-)[/COLOR] คือระยะห่างของเส้นแบ่งครึ่งล้อวัดไปถึงหน้าแปลนล้อ หรือพูดง่ายๆ ว่าหน้าแปลนของล้อมีระยะเกินเส้นแบ่งครึ่งล้อไปในทิศทางเข้าในตัวรถ วัดได้เป็นระยะเท่าไรนั้นถือค่าเป็น (-) เช่น -5, -10, -20 เป็นต้น ซึ่งรถยนต์ขับเคลื่อนล้อหลังมักกำหนดให้ใช้ล้อแม็กที่มีค่าออฟเซ็ตเป็นลบหรือก็บวกไม่มาก [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/wheelNegativeOffset.jpg[/IMG] เรื่องนี้หากมีการเลือกค่า offset ที่ไม่ตรงกับรถนั้นๆ ก็จะมีผลกระทบตามมาเช่นกัน หรือหากมีการเปลี่ยนขนาดความกว้างของล้อ ค่า Offset ก็เปลี่ยนไปด้วย ดังนั้นจึงจำเป็นอย่างยิ่งที่จะต้องศึกษาหรือรู้ถึงค่า Offset สำหรับรถของท่านควรมีตัวเลขอยู่ที่เท่าไร ? เพื่อจะได้ไม่สร้างปัญหาให้แก่ตัวรถของท่าน [COLOR="DarkOrange"][SIZE="4"]เราจะรู้ได้อย่างไร ว่าล้อของเรามีค่า Offset เท่าไร ?[/SIZE][/COLOR] [COLOR="Yellow"]การดูค่า offset ล้อแม็ก ของเราด้วยตนเอง[/COLOR] โดยปกติ ล้อแม็ก ส่วนใหญ่ จะมีตัวเลขบ่งบอกไว้ที่ตัวล้อเองเลย ซึ่งเรามักสังเกตุเห็น ตัวเลขที่มักจะตามตัวอักษร เช่น " ET 38 " ก็หมายถึง offsET 38 นั่นเอง หรือบางที ก็อาจมีเฉพาะตัวเลขลอยๆ ไม่มีตัวอักษรนำหน้าก็มี เช่น " 45 " ก็หมายถึง Offset = 45 เหมือนกัน ดูตัวอย่าง ที่รูปภาพด้านล่าง [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Offsetletter-1.jpg[/IMG] แต่หากดูที่ล้อแล้ว ไม่ปรากฎ ตัวอักษรหรือตัวเลขดังกล่าว เราก็มีวิธีหาค่า Offset ได้เหมือนกัน แต่ต้องใช้เครื่องวัดและการคำนวณประกอบกัน ซึ่งเราจะนำมาเล่าให้ฟังต่อไป ตอนต้นเราพูดเรื่องการดูหรือหาค่า Offset ที่ล้อไปแล้ว แต่ตอนนี้ หากเราอยากทราบว่า รถของเรา มาตรฐานเดิมที่ล้อแม็กของเรา มีค่า Offset เท่าไร ? ก็ต้องดูที่ สมุดคู่มือประจำรถ หรือหากไม่มี ก็สามารถสอบถามได้ โดยกรอกข้อมูลในแบบฟอร์มด้านล่างนี้ และนี่ เป็นค่า Offset ของรถที่ถามกันมาบ่อยๆ เราจึงนำมาบอกกัน [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/eb591f0f.jpg[/IMG] ------------------------------------------------------------------------------------------ [COLOR="Lime"][SIZE="4"]การยึด ล้อแม็กซ์ เข้ากับตัวรถ[/SIZE][/COLOR] การประกอบ หรือ การขัน ล้อแม็ก เข้ากับรถของท่าน หลังจากที่เราได้ถอดล้อ ออกจากตัวรถแล้ว ไม่ว่าจะนำไป ซ่อม หรือ ถอดเปลี่ยนยาง ก็แล้วแต่ ในการประกอบ ล้อแม็กซ์ กลับเข้าที่ ก็เป็นเรื่องที่ไม่ควรมองข้าม ซึ่งโดยปกติความแน่น (Tightening) ของการขันน็อต ( Nuts ) หรือสกรู ( Bolts ) ควรอยู่ในค่าที่กำหนดดูได้จากตารางด้านล่าง และ รูปแบบการถอดใส่ ล้อแม็กซ์ ก็ควรเป็นไปตามรูปแบบ ที่แสดงไว้ ก็จะเป็นการรักษาสภาพ ล้อ และความปลอดภัยของเราด้วยเช่นกัน [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Bolt-Tight-300x300.jpg[/IMG] [COLOR="Yellow"][SIZE="3"]รูปแสดงการลำดับถอด-ใส่ Bolts และ Nuts[/SIZE][/COLOR] [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/torque_diagram20TH.jpg[/IMG] [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Tighten-400x300.jpg[/IMG] [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Nuts.jpg[/IMG] ----------------------------------------------------------------------------------- [COLOR="Lime"][SIZE="4"]ประเภทของ ล้อแม็กซ์[/SIZE][/COLOR] ชนิดหรือประเภทของ ล้อแม็กซ์ โดยดูจากโครงสร้างหรือรูปทรง ซึ่งได้จำแนก ล้อแม็ก ออกเป็น 2 ประเภทใหญ่ๆ ดังต่อไปนี้ [COLOR="Yellow"]ล้อแม็ก แบบชิ้นเดียว ( 1 Piece Wheel ) [/COLOR] เป็นล้อที่มี Rim กับ Disk ถูกสร้างขึ้นมาเป็นชิ้นเดียว [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/MAXI-200x200.jpg[/IMG] [COLOR="DarkOrange"]ล้อแม็ก แบบประกอบ ( Assembly Wheel )[/COLOR]เป็นล้อที่มี Rim กับ Disk มาประกอบกัน โดยแบ่งออกเป็น 3 ประเภทคือ 1) ล้อแม็ก 2 ชิ้น ( 2 piece Wheel ) เป็นล้อที่มี 2 ชิ้นส่วนมาประกอบกันคือ Rim กับ Disk [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Wh-2piece-400x200.jpg[/IMG] 2) ล้อแม็ก 3 ชิ้น ( 3 pieces Wheel ) เป็นล้อที่ประกอบเชื่อมส่วนที่เป็น Rim 2 ส่วน กับ Disk เข้าด้วยกัน [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Wh-3Piece-1300x250.jpg[/IMG] 3) ล้อแม็ก ชนิดซี่ลวด ( Wire Wheel ) คล้ายล้อของจักรยาน [IMG]http://i68.photobucket.com/albums/i6/ksaek97/KL%20Base/Wh-Wire-V2-200x200.jpg[/IMG] ที่มา : [URL="http://www.automagwheel.com/index.php?lay=show&ac=article&Id=126704"]Click[/URL][/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Car Clubs
>
Honda Car Clubs
>
EK Group
>
>>> Knowledge Base <<<
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...