XO TIME ATTACK THAILAND RECORDS 2009 1. กติกากำหนดลักษณะการแข่งขัน (Sporting Regulations) 1.1. รายละเอียดทั่วไป 1.1.1 ผู้รับรองการแข่งขัน : ราชยานยนต์แห่งประเทศไทยในพระบรมราชูปถัมภ์ โทร : 02-939-5770-3 Website : www.raat.or.th 1.1.2 ผู้ดำเนินการแข่งขัน : บริษัท กรังด์ปรีซ์อินเตอร์เนชั่นแนล จำกัด โทร : 02-522-1731-8 Website : www.grandprixgroup.com 1.1.3 ผู้จัดรายการแข่งขัน : นิตยสาร เอ็กซ์โอ ออโต้สปอร์ต โทร: 02-522-1731-8 Website : www.grandprixgroup.com 1.2. จุดมุ่งหมายของการแข่งขัน 1.2.1 เพื่อเสริมสร้างความรู้ในกีฬาแข่งขันรถยนต์ (Motorsports Technology) และความรู้ในสมรรถนะของรถยนต์ที่ดัดแปลงเพื่อการแข่งขัน (Race-car Performance) 1.2.2 เพื่อส่งเสริมกีฬาแข่งขันรถยนต์ และสนับสนุนนักกีฬาแข่งรถยนต์เพื่อความเป็นเลิศ 1.2.3 เพื่อกระชับความสัมพันธ์ระหว่างทีมแข่งและผู้สนับสนุนกีฬายานยนต์ 1.3. รูปแบบการแข่งขัน 1.3.1 เป็นการแข่งขันรถยนต์ทางเรียบรูปแบบการประลองความเร็วเพื่อทำสถิติในสนามปิด (Circuit Time Attack) โดยมีการจับเวลารอบคัดเลือกเพื่อสรรหารถแข่งชั้นแนวหน้าในรุ่นต่างๆ จำนวนหนึ่ง มาจัดเรียงลำดับการวิ่งทำสถิติประจำสนามแข่งพีระอินเตอร์เนชั่นแนลเซอร์กิต พัทยา (Bira Track Records) ประจำปี 2009 1.3.2 รับรองการแข่งโดย ร.ย.ส.ท. ในสถานะภาพ N.E.A.F.P. (National Event Authorized for Foreign Participation) 1.5. กำหนดการแข่งขัน วันที่เสาร์และอาทิตย์ที่ 5 และ 6 ธันวาคม 2552 1.6 สถานที่ สนาม พีระ อินเตอร์เนชั่นแนล เซอร์กิต พัทยา http://racingweb.net/forums/showthread.php?t=663671
http://racingweb.net/forums/showthread.php?t=667130&page=2 ต้องอ่านแต่แรกนะ ขอบบอก ---------- เพิ่มกระทู้เมื่อ 11:29:28 ---------- กระทู้ก่อนหน้านี้ เมื่อ 11:29:13 ---------- http://racingweb.net/forums/showthread.php?t=667130&page=2 ต้องอ่านแต่แรกนะ ขอบบอก
เครื่องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ การทำงานของเครื่องตรวจจับความเร็วด้วยแสงเลเซอร์นี้สามารถใช้งานได้ทั้งระบบควบคุมเองและระบบอัตโนมัติ โดยเมื่อรถที่ใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดผ่านจุดตรวจกล้องก็จะทำการถ่ายภาพโดยอัตโนมัติ จากนั้นความเร็วและภาพรถ จะถูกส่งมาจัดเก็บและแสดงที่ชุดประมวลผลพร้อมแสดง วัน เดือน ปี เวลา สถานที่ จากนั้นข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อมายังศูนย์อำนวยการตำรวจทางหลวงเพื่อที่จะตรวจสอบทะเบียนรถ และ ออกใบสั่งส่งไปยังที่อยู่ของผู้ครอบครองรถตามทะเบียน ต่อไป และหากผู้ได้รับใบสั่งไม่ไปชำระค่าปรับภายในเวลา 7 วัน กองบังคับการตำรวจทางหลวงจะส่งข้อมูลไปยังกรมการขนส่งเพื่ออายัดการต่อทะเบียนรถด้วย สำหรับความเม่นยำของเครื่องเป็นไปตามมาตรฐานขององค์กร International Association of Chiefs of Police (The IACP) ทั้งยังประสานสำนักมาตรวิทยาแห่งชาติ เพื่อทำการคาริเบธเครื่องเป็นประจำทุกปีและก่อนที่จะนำไปตรวจจับตามจุดต่างๆ ก็จะมีการทดสอบก่อนทุกครั้งด้วยจึงมั่นใจได้ว่าเครื่องจะสามารถตรวจจับได้อ ย่างแม่นยำ เส้นทางที่ตั้งกล้องตรวจจับความเร็วอัตโนมัตินี้ มีอยู่หลายจุดทั่วประเทศ ได้แก่ 1. เส้นทางสายพหลโยธิน ช่วงรังสิต ถึง สระบุรี 2 จุด 2. เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่าง สระบุรี ถึง นครราชสีมา 2 จุด 3. เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่าง นครราชสีมา ถึง ขอนแก่น 2 จุด 4. เส้นทางสายเอเชีย ระหว่าง อยุธยา ถึง นครสวรรค์ 1 จุด 5. เส้นทางสายเอเชีย ระหว่าง นครสวรรค์ ถึง ตาก 1 จุด 6. เส้นทางสายเอเชีย ระหว่าง ตาก ถึง เชียงใหม่ 1 จุด 7. เส้นทางสายกรุงเทพ นครปฐม วังมะนาว 1 จุด 8. เส้นทางสายกรุงเทพ วังมะนาว 1 จุด 9. เส้นทางสาย วังมะนาว ถึง หัวหิน 1 จุด 10. เส้นทางสายเพชรเกษม ( เลี่ยงเมือง ) ชะอำ ถึง ปราณบุรี 1 จุด 11. เส้นทางสายเพชรเกษม ประจวบคีรีขันธ์ ถึง ชุมพร 1 จุด 12. เส้นทางสายเพชรเกษม ชุมพรถึง สุราษฎร์ธานี 1 จุด 13. เส้นทางสายบางนา - ตราด ระหว่าง กรุงเทพ ถึง บางปะกง 1 จุด 14. เส้นทางสายสุขุมวิท ระหว่าง ชลบุรี ถึง พัทยา 1 จุด 15. เส้นทางสายมอเตอร์เวย์ ชลบุรี ถึง ระยอง 2 จุด 16. และเส้นทางสายสุขุมวิท ระหว่าง ระยอง ถึง จันทบุรี 1 จุด ซึ่งตำรวจทางหลวงจะทำการสุ่มเปลี่ยนจุดตรวจทุกครั้งที่มีการติดตั้งด้วย หลังจากตำรวจทางหลวงจึงได้จัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วด้วยแสงเลเซอร์ จำนวน 45 ชุด แจกจ่ายให้กับสถานีตำรวจทางหลวงกองกำกับการ และกองบังคับการตำรวจทางหลวงทั่วประเทศได้ใช้ติดตั้งเพื่อปรามบรรดาตีนผีเหล่านี้ โดยข้อมูลจากหน่วยตรวจจับความเร็วไฮ - เทคทั่วประเทศที่ถูกส่งมายังศูนย์อำนวยการตำรวจทางหลวงพบว่าเพียงแค่ 3 เดือนแรกที่มีการติดตั้งเครื่องก็ได้จ่ายใบสั่งให้ผู้ที่ขับรถเร็วเกินกำหนดไปแล้วจำนวนมากถึง 42,304 ราย ซึ่งจะนำไปสู่การปรามผู้ขับรถเร็วได้ในอนาคต โดยตำรวจทางหลวงยังได้มีแผนที่จะติดตั้งเครื่องตรวจจับความเร็วเพิ่มอีก 45 ชุด เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมี 2 ชุดคลอบคลุมพื้นที่การใช้งานในอนาคตด้วย หลักฐานที่แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของเครื่องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ คือ ใบสั่งที่ส่งให้ทางไปรษณีย์ ........... เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ควรขับรถด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด ……. บนทางหลวง ในเขตเทศบาล รถเก๋งหรือรถปิกอัพ ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 60 กม./ชม. บนทางหลวง นอกเขตเทศบาล ให้รถเก๋งหรือปิกอัพ ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 80 กม./ชม. และ บนมอเตอร์เวย์ รถเก๋งหรือปิกอัพ ไม่เกิน 120 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 100 กม./ชม. ทั้งนี้ในเชิงเทคนิค ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากทั่วโลก การขับขี่รถที่ ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. นอกจากช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 15-20% ยังช่วยลดการตายบนถนนได้ 12-24% แต่ความเร็วดังกล่าว ไม่สามารถลดอุบัติเหตุได้ หากทุกคนประมาท เมามายขณะขับรถ และการไม่ร่วมมือกันปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสำนักงานนโยบาย ---------- Post added at 13:31:44 ---------- Previous post was at 13:31:11 ---------- เครื่องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ การทำงานของเครื่องตรวจจับความเร็วด้วยแสงเลเซอร์นี้สามารถใช้งานได้ทั้งระบบควบคุมเองและระบบอัตโนมัติ โดยเมื่อรถที่ใช้ความเร็วเกินกว่ากฎหมายกำหนดผ่านจุดตรวจกล้องก็จะทำการถ่ายภาพโดยอัตโนมัติ จากนั้นความเร็วและภาพรถ จะถูกส่งมาจัดเก็บและแสดงที่ชุดประมวลผลพร้อมแสดง วัน เดือน ปี เวลา สถานที่ จากนั้นข้อมูลเหล่านี้จะถูกส่งต่อมายังศูนย์อำนวยการตำรวจทางหลวงเพื่อที่จะตรวจสอบทะเบียนรถ และ ออกใบสั่งส่งไปยังที่อยู่ของผู้ครอบครองรถตามทะเบียน ต่อไป และหากผู้ได้รับใบสั่งไม่ไปชำระค่าปรับภายในเวลา 7 วัน กองบังคับการตำรวจทางหลวงจะส่งข้อมูลไปยังกรมการขนส่งเพื่ออายัดการต่อทะเบียนรถด้วย สำหรับความเม่นยำของเครื่องเป็นไปตามมาตรฐานขององค์กร International Association of Chiefs of Police (The IACP) ทั้งยังประสานสำนักมาตรวิทยาแห่งชาติ เพื่อทำการคาริเบธเครื่องเป็นประจำทุกปีและก่อนที่จะนำไปตรวจจับตามจุดต่างๆ ก็จะมีการทดสอบก่อนทุกครั้งด้วยจึงมั่นใจได้ว่าเครื่องจะสามารถตรวจจับได้อ ย่างแม่นยำ เส้นทางที่ตั้งกล้องตรวจจับความเร็วอัตโนมัตินี้ มีอยู่หลายจุดทั่วประเทศ ได้แก่ 1. เส้นทางสายพหลโยธิน ช่วงรังสิต ถึง สระบุรี 2 จุด 2. เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่าง สระบุรี ถึง นครราชสีมา 2 จุด 3. เส้นทางสายมิตรภาพ ระหว่าง นครราชสีมา ถึง ขอนแก่น 2 จุด 4. เส้นทางสายเอเชีย ระหว่าง อยุธยา ถึง นครสวรรค์ 1 จุด 5. เส้นทางสายเอเชีย ระหว่าง นครสวรรค์ ถึง ตาก 1 จุด 6. เส้นทางสายเอเชีย ระหว่าง ตาก ถึง เชียงใหม่ 1 จุด 7. เส้นทางสายกรุงเทพ นครปฐม วังมะนาว 1 จุด 8. เส้นทางสายกรุงเทพ วังมะนาว 1 จุด 9. เส้นทางสาย วังมะนาว ถึง หัวหิน 1 จุด 10. เส้นทางสายเพชรเกษม ( เลี่ยงเมือง ) ชะอำ ถึง ปราณบุรี 1 จุด 11. เส้นทางสายเพชรเกษม ประจวบคีรีขันธ์ ถึง ชุมพร 1 จุด 12. เส้นทางสายเพชรเกษม ชุมพรถึง สุราษฎร์ธานี 1 จุด 13. เส้นทางสายบางนา - ตราด ระหว่าง กรุงเทพ ถึง บางปะกง 1 จุด 14. เส้นทางสายสุขุมวิท ระหว่าง ชลบุรี ถึง พัทยา 1 จุด 15. เส้นทางสายมอเตอร์เวย์ ชลบุรี ถึง ระยอง 2 จุด 16. และเส้นทางสายสุขุมวิท ระหว่าง ระยอง ถึง จันทบุรี 1 จุด ซึ่งตำรวจทางหลวงจะทำการสุ่มเปลี่ยนจุดตรวจทุกครั้งที่มีการติดตั้งด้วย หลังจากตำรวจทางหลวงจึงได้จัดหาเครื่องตรวจจับความเร็วด้วยแสงเลเซอร์ จำนวน 45 ชุด แจกจ่ายให้กับสถานีตำรวจทางหลวงกองกำกับการ และกองบังคับการตำรวจทางหลวงทั่วประเทศได้ใช้ติดตั้งเพื่อปรามบรรดาตีนผีเหล่านี้ โดยข้อมูลจากหน่วยตรวจจับความเร็วไฮ - เทคทั่วประเทศที่ถูกส่งมายังศูนย์อำนวยการตำรวจทางหลวงพบว่าเพียงแค่ 3 เดือนแรกที่มีการติดตั้งเครื่องก็ได้จ่ายใบสั่งให้ผู้ที่ขับรถเร็วเกินกำหนดไปแล้วจำนวนมากถึง 42,304 ราย ซึ่งจะนำไปสู่การปรามผู้ขับรถเร็วได้ในอนาคต โดยตำรวจทางหลวงยังได้มีแผนที่จะติดตั้งเครื่องตรวจจับความเร็วเพิ่มอีก 45 ชุด เพื่อให้แต่ละหน่วยงานมี 2 ชุดคลอบคลุมพื้นที่การใช้งานในอนาคตด้วย หลักฐานที่แสดงให้เห็นประสิทธิภาพของเครื่องตรวจจับความเร็วอัตโนมัติ คือ ใบสั่งที่ส่งให้ทางไปรษณีย์ ........... เพื่อเป็นการลดอุบัติเหตุบนท้องถนน ควรขับรถด้วยความเร็วตามกฎหมายกำหนด ……. บนทางหลวง ในเขตเทศบาล รถเก๋งหรือรถปิกอัพ ใช้ความเร็วได้ไม่เกิน 80 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 60 กม./ชม. บนทางหลวง นอกเขตเทศบาล ให้รถเก๋งหรือปิกอัพ ใช้ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 80 กม./ชม. และ บนมอเตอร์เวย์ รถเก๋งหรือปิกอัพ ไม่เกิน 120 กม./ชม. รถบรรทุกหรือรถโดยสาร ไม่เกิน 100 กม./ชม. ทั้งนี้ในเชิงเทคนิค ได้รับการพิสูจน์และยืนยันจากทั่วโลก การขับขี่รถที่ ความเร็วไม่เกิน 90 กม./ชม. นอกจากช่วยประหยัดน้ำมันเชื้อเพลิงได้ 15-20% ยังช่วยลดการตายบนถนนได้ 12-24% แต่ความเร็วดังกล่าว ไม่สามารถลดอุบัติเหตุได้ หากทุกคนประมาท เมามายขณะขับรถ และการไม่ร่วมมือกันปฏิบัติตามกฎหมาย ข้อมูลจากกองบัญชาการตำรวจนครบาลและสำนักงานนโยบาย
http://racingweb.net/forums/showthread.php?t=685446 ขึ้โกงหรอ ---------- Post added at 13:16:31 ---------- Previous post was at 13:16:18 ---------- http://racingweb.net/forums/showthread.php?t=685446 ขึ้โกงหรอ
ข่าวด่วน โค้ชไม่อยากไปงานจิมคาน่าแล้ว หมั่นไส้ผู้จัดว่ะ.........ใครจะไปก็ตามสบายนะครับ เอารางวัลมาอวดผมด้วยครับ
> > ใครดูรายการของคุณสัญา คุนากร > > ได้คุยเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ฟังเเล้วช๊อคจริงๆครับเพื่อนๆ > > ทางคุณสัญาได้เชิญอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพลังงานมาเล่าให้ฟัง > > ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงานในสมัยพลเอกเปรม > > > > ได้ฟังท่านเล่าเเล้วผมขนลุก...ครับ > > ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเมืองไทยไม่สามารถผลิตนำมันได้เองต้องนำเข้าจากต่างประเทศ > > ซึ่งท่านบอกว่าเมืองไทยมีกำลังผลิตได้ 1,000,000 บาร์เรล/วัน(ปตท.) > > เเละเมืองไทยใช้น้ำมันวันละ 700,000 บาเรล/วัน > > เเละเมืองไทยส่งออกน้ำมันประมาณ 100,000 บาเรล/วัน > > > > ฟังเเล้วเพื่อนคิดยังงัยครับ > > เเละที่เเย่กว่านั้น..น้ำมันที่ส่งออกไปขายในต่างประเทศราคาถูกกว่าที่ขายในเมืองไทยหลายบาทถ้าเทียบต่อลิตร > > ตอนนี้มาเลเซียใช้น้ำมันเบนซินเเละดีเซลประมาณลิตรละ 20 บาทต้นๆ > > ท่านบอกว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำมันราคาเเพง เพราะว่าอธิบดีหรือผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพลังงานถือหุ้นบริษัทโรงกลั่น > > ทำให้ไม่มีการเข้ามาจัดการเเละดูเเล > > ราคาที่ปรับขึ้นทีละ . 50 บาทเป็นการขึ้นจากโรงกลั่นซึ่งราคาที่ปรับขึ้นไม่ได้มาจาก cost ต้นทุน > > เเต่ป็นราคาที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ โดยอ้างอิงจากตลาดที่ผันผวนมากที่สุด > > ในที่นี้ท่านยกตัวอย่างตลาดสิงคโปร์ เเต่จริงๆเราซื้อจากตะวันออกกลาง > > > > เเละอีกอย่างที่น่าตกใจ ท่านบอกว่าในประเทศไทยมี stock น้ำมัน 2 เดือนเเละหมุนเวียนอย่างนี้เรื่อยๆ > > พอเวลากระทรวงปรับน้ำขึ้นพวกพ่อค้าเอาน้ำมันใน stock มาปรับขึ้นด้วย > > คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่ > > ไทยใช้ 700,000 บาเรล/วัน ( 1 บาเรล = 159 ลิตร ) > > 2 เดือนกี่ลิตร ลิตรละ . 50 บาท ลองคูณดู > > > > บริษัทที่ได้กำไรเยอะมากคือ ปตท เพราะมีโรงกลั่น 5 โรง อีก 2 โรงเป็นของเอกชน > > รวมในประเทศไทยมีโรงกลั่น 7 โรง เป็นของ ปตท 5 โรง > > เเล้วท่านสรุปกำไรของปตทในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประมาณปี 2540-2544 ปตท กำไรปีละ 22,000 ล้านบาทครับ > > ฟังเเล้วเป็นงัยครับพี่น้อง... > > กำไรเท่ากับงบประมาณ 1 กรมเลยทีเดียว > > > > เเละที่สุดยอดกว่านั้น ปี 2545-2550 ปตทกำไรเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาท/ปี > > เเละที่สุดๆ คือ ในปี 2548 กำไร 195,000 ล้านบาท > > ฟังเเล้วอยากให้ลูกทำงานบริษัท ปตท มั้ยครับเพื่อนๆ > > กำไรดังกล่าวมาจากอะไรลองคิดดูครับ > > ประชาชนตาดำๆอย่างเราเสียค่าน้ำมันลิตรละ 36 บาท > > ถ้าเป็นรัฐบาลก่อนๆ น้ำมันขึ้น 3 บาท รัฐมนตรี นายก ต้องก้นร้อนเเล้ว > > เเล้วรัฐบาลน ี้ล่ะ..ตอนนี้ขึ้นไปกี่บาทเเล้ว เพื่อนๆลองคิดดูเเล้วกัน > > > > ถ้า ปตท ลดกำไรลงเท่ากับ 20,000 ล้านบาท/ปี > > เเค่นี้เราก็ใช้นำมันลิตร 20 บาทเเล้วครับ > > ( นี่เเหละเหตุผลที่ไม่อยากให้เเปรรูปอุตสาหกรรมพวกนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน) > > > > นี่คือเหตุผลว่าทำไมพนักงานการไฟฟ้าถึงได้ประท้วงเวลามีการเเปรรูป > > เพราะมันจะเป็นเหมือนน้ำมัน ซึ่งพอเข้าตลาดหุ้นจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนตามมา > > อธิบดี รัฐมนตรี เมียอธิบดี เมียรัฐมนตรี ถือหุ้นโรงกลั่น > > ทำให้ไอ้พวกนี้ไม่เข้าไปดูเเลเเละจัดการอย่างจริงจัง > > ทำให้น้ำมันเเตะลิตรละ 40 บาทเเล้ว ณ ปัจจุบัน > > > > > > มาร่วมมือกันดีไหม... ด้วยการไม่เติม esso, shell และถ้าจะให้ดีกว่านี้..เราต้องร่วมมือกันไม่ซื้อมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้ ถ้าทุกครั้งเราเคยเติม 1000 บาทหรือเต็มถ้ง.. คราวนี้เราจะไม่เติมมากกว่าที่เราจำเป็นต้องใช้ > > ตัวอย่างเช่น วันนี้จะวิ่ง 30 กม. เราก็เติม 4.5 ลิตรหรือ 200 บาท จะวิ่งอีก 70 กม. เราก็เติม 10 ลิตรหรือ 400 บาท จะวิ่งอีก 100 กม. เราก็เติม 14 ลิตรหรือ 500 บาท > > อย่าเติมเยอะ... ไม่ต้องไปตุนเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้จะขึ้นราคา > > คราวนี้สต็อกน้ำมันในคลังก็จะล้น เพราะปริมาณที่เคยขายทุกวันก็จะถูกเลื่อนให้ต้องเก็บไปขายในอนาคต ถ้ามันยังอยากขายก็ต้องลดราคาลงมา ให้มันรู้ว่าไผเป็นไผ เคยมีคนศึกษากรณีไข่ไก่แพง และได้ลองทำล้กษณะนี้ได้ผลมาแล้ว > > สั่งสอนให้บทเรียนมันหน่อย เริ่มลงมือปฏิบัติการได้เลย ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ขอเพียงช่วยกันกระจายข่าวไปให้มากที่สุด > > สามัคคีคือพลัง... ส่งมาให้อ่านกันเพราะอยากให้ราคาน้ำมันลดลงจริงๆ พวกเราโดนโอเปครวมหัวขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม ก็น่าจะมีมาตรการที่จะต่อสู้ ตอบโต้กลับไปบ้าง ข้อเสนอนี ้ก็น่าจะเป็นข้อเสนอหนึ่งที่ถ้าร่วมกันทำจริงๆ ก็น่าจะแสดงอะไรออกมาได้บ้าง ช่วยส่งต่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต่อไป หากมีพรรคการเมืองใด้ที่กล้าอาสามาแก้ปัญหานี้ได้ พวกเรจะเลือกพรรคนั้น ---------- Post added at 14:00:32 ---------- Previous post was at 14:00:17 ---------- > > ใครดูรายการของคุณสัญา คุนากร > > ได้คุยเรื่องน้ำมันในประเทศไทย ฟังเเล้วช๊อคจริงๆครับเพื่อนๆ > > ทางคุณสัญาได้เชิญอดีตข้าราชการชั้นผู้ใหญ่ในกระทรวงพลังงานมาเล่าให้ฟัง > > ซึ่งผู้ใหญ่ท่านนี้เป็นข้าราชการระดับสูงในกระทรวงพลังงานในสมัยพลเอกเปรม > > > > ได้ฟังท่านเล่าเเล้วผมขนลุก...ครับ > > ผมเข้าใจผิดมาตลอดว่าเมืองไทยไม่สามารถผลิตนำมันได้เองต้องนำเข้าจากต่างประเทศ > > ซึ่งท่านบอกว่าเมืองไทยมีกำลังผลิตได้ 1,000,000 บาร์เรล/วัน(ปตท.) > > เเละเมืองไทยใช้น้ำมันวันละ 700,000 บาเรล/วัน > > เเละเมืองไทยส่งออกน้ำมันประมาณ 100,000 บาเรล/วัน > > > > ฟังเเล้วเพื่อนคิดยังงัยครับ > > เเละที่เเย่กว่านั้น..น้ำมันที่ส่งออกไปขายในต่างประเทศราคาถูกกว่าที่ขายในเมืองไทยหลายบาทถ้าเทียบต่อลิตร > > ตอนนี้มาเลเซียใช้น้ำมันเบนซินเเละดีเซลประมาณลิตรละ 20 บาทต้นๆ > > ท่านบอกว่าสาเหตุที่ทำให้น้ำมันราคาเเพง เพราะว่าอธิบดีหรือผู้บริหารระดับสูงในกระทรวงพลังงานถือหุ้นบริษัทโรงกลั่น > > ทำให้ไม่มีการเข้ามาจัดการเเละดูเเล > > ราคาที่ปรับขึ้นทีละ . 50 บาทเป็นการขึ้นจากโรงกลั่นซึ่งราคาที่ปรับขึ้นไม่ได้มาจาก cost ต้นทุน > > เเต่ป็นราคาที่ตั้งขึ้นมาลอยๆ โดยอ้างอิงจากตลาดที่ผันผวนมากที่สุด > > ในที่นี้ท่านยกตัวอย่างตลาดสิงคโปร์ เเต่จริงๆเราซื้อจากตะวันออกกลาง > > > > เเละอีกอย่างที่น่าตกใจ ท่านบอกว่าในประเทศไทยมี stock น้ำมัน 2 เดือนเเละหมุนเวียนอย่างนี้เรื่อยๆ > > พอเวลากระทรวงปรับน้ำขึ้นพวกพ่อค้าเอาน้ำมันใน stock มาปรับขึ้นด้วย > > คิดดูเอาเองว่าเป็นเงินเท่าไหร่ > > ไทยใช้ 700,000 บาเรล/วัน ( 1 บาเรล = 159 ลิตร ) > > 2 เดือนกี่ลิตร ลิตรละ . 50 บาท ลองคูณดู > > > > บริษัทที่ได้กำไรเยอะมากคือ ปตท เพราะมีโรงกลั่น 5 โรง อีก 2 โรงเป็นของเอกชน > > รวมในประเทศไทยมีโรงกลั่น 7 โรง เป็นของ ปตท 5 โรง > > เเล้วท่านสรุปกำไรของปตทในรอบ 10 ปีที่ผ่านมา ประมาณปี 2540-2544 ปตท กำไรปีละ 22,000 ล้านบาทครับ > > ฟังเเล้วเป็นงัยครับพี่น้อง... > > กำไรเท่ากับงบประมาณ 1 กรมเลยทีเดียว > > > > เเละที่สุดยอดกว่านั้น ปี 2545-2550 ปตทกำไรเพิ่มเป็น 50,000 ล้านบาท/ปี > > เเละที่สุดๆ คือ ในปี 2548 กำไร 195,000 ล้านบาท > > ฟังเเล้วอยากให้ลูกทำงานบริษัท ปตท มั้ยครับเพื่อนๆ > > กำไรดังกล่าวมาจากอะไรลองคิดดูครับ > > ประชาชนตาดำๆอย่างเราเสียค่าน้ำมันลิตรละ 36 บาท > > ถ้าเป็นรัฐบาลก่อนๆ น้ำมันขึ้น 3 บาท รัฐมนตรี นายก ต้องก้นร้อนเเล้ว > > เเล้วรัฐบาลน ี้ล่ะ..ตอนนี้ขึ้นไปกี่บาทเเล้ว เพื่อนๆลองคิดดูเเล้วกัน > > > > ถ้า ปตท ลดกำไรลงเท่ากับ 20,000 ล้านบาท/ปี > > เเค่นี้เราก็ใช้นำมันลิตร 20 บาทเเล้วครับ > > ( นี่เเหละเหตุผลที่ไม่อยากให้เเปรรูปอุตสาหกรรมพวกนี้ ซึ่งเป็นสิ่งที่ต้องใช้ในชีวิตประจำวัน) > > > > นี่คือเหตุผลว่าทำไมพนักงานการไฟฟ้าถึงได้ประท้วงเวลามีการเเปรรูป > > เพราะมันจะเป็นเหมือนน้ำมัน ซึ่งพอเข้าตลาดหุ้นจะมีผลประโยชน์ทับซ้อนตามมา > > อธิบดี รัฐมนตรี เมียอธิบดี เมียรัฐมนตรี ถือหุ้นโรงกลั่น > > ทำให้ไอ้พวกนี้ไม่เข้าไปดูเเลเเละจัดการอย่างจริงจัง > > ทำให้น้ำมันเเตะลิตรละ 40 บาทเเล้ว ณ ปัจจุบัน > > > > > > มาร่วมมือกันดีไหม... ด้วยการไม่เติม esso, shell และถ้าจะให้ดีกว่านี้..เราต้องร่วมมือกันไม่ซื้อมากกว่าที่จำเป็นต้องใช้ ถ้าทุกครั้งเราเคยเติม 1000 บาทหรือเต็มถ้ง.. คราวนี้เราจะไม่เติมมากกว่าที่เราจำเป็นต้องใช้ > > ตัวอย่างเช่น วันนี้จะวิ่ง 30 กม. เราก็เติม 4.5 ลิตรหรือ 200 บาท จะวิ่งอีก 70 กม. เราก็เติม 10 ลิตรหรือ 400 บาท จะวิ่งอีก 100 กม. เราก็เติม 14 ลิตรหรือ 500 บาท > > อย่าเติมเยอะ... ไม่ต้องไปตุนเพราะกลัวว่าพรุ่งนี้จะขึ้นราคา > > คราวนี้สต็อกน้ำมันในคลังก็จะล้น เพราะปริมาณที่เคยขายทุกวันก็จะถูกเลื่อนให้ต้องเก็บไปขายในอนาคต ถ้ามันยังอยากขายก็ต้องลดราคาลงมา ให้มันรู้ว่าไผเป็นไผ เคยมีคนศึกษากรณีไข่ไก่แพง และได้ลองทำล้กษณะนี้ได้ผลมาแล้ว > > สั่งสอนให้บทเรียนมันหน่อย เริ่มลงมือปฏิบัติการได้เลย ไม่ต้องลงทุนลงแรงอะไรเลย ขอเพียงช่วยกันกระจายข่าวไปให้มากที่สุด > > สามัคคีคือพลัง... ส่งมาให้อ่านกันเพราะอยากให้ราคาน้ำมันลดลงจริงๆ พวกเราโดนโอเปครวมหัวขึ้นราคาอย่างไม่เป็นธรรม ก็น่าจะมีมาตรการที่จะต่อสู้ ตอบโต้กลับไปบ้าง ข้อเสนอนี ้ก็น่าจะเป็นข้อเสนอหนึ่งที่ถ้าร่วมกันทำจริงๆ ก็น่าจะแสดงอะไรออกมาได้บ้าง ช่วยส่งต่อให้มากที่สุดเท่าที่จะทำได้ และต่อไป หากมีพรรคการเมืองใด้ที่กล้าอาสามาแก้ปัญหานี้ได้ พวกเรจะเลือกพรรคนั้น