Log in or Sign up
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
Community Car Clubs
>
Honda Car Clubs
>
EG 3D Club
>
@@...เกร็ดเล็ก..เกร็ดน้อย..สำหรับดูแล.....ช่วงล้าง..ช่วงล่าง.......@@
>
Reply to Thread
Name:
Verification:
Please enable JavaScript to continue.
Loading...
Message:
<p>[QUOTE="POL2, post: 787310, member: 13711"]<span style="color: lime"><b>....ตอน..ช่วงล้าง..ช่วงล่าง....</b></span></p><p><br /></p><p><b><span style="color: Lime">...ยางหุ้มเพลา ...</span></b></p><p>..ยางหุ้มเพลามีหน้าที่หลักคือ..เป็นตัวกักเก็บจารบีที่มีหน้าที่หล่อลื่นลูกปืนเพลาเพลาให้ทำงานได้โดยไม่มีการสึกหรอ...หรือสึกหรอน้อยที่สุด ภายใต้การหล่อลื่นโดยจารบี...หากขาดจารบีหล่อลื่นลูกปืนเพลาก็จะสึกหรออย่างรวดเร็ว...ฉนั้นอย่างหุ้มเพลาจึงมีบทบาทสำคัญในการรับษาอายุการใช้งานของเพลาขับ</p><p><br /></p><p><b>...การดูแลรักษา ...</b></p><p>..การดูแลรักษา ผู้ใช้รถไม่จำเป็นต้องดูแลลูกปืนเพลา..หากแต่ต้องดูแลและหมั่นตรวจเช็คยางหุ้มเพลาอย่างน้อยเดือนละครั้ง </p><p><br /></p><p><b>...วิธีสังเกต...</b></p><p>..สังเกต รอยเปื้อนที่เกิดจากการกระเด็นของจาระบีเพลา..จากการหมุนของเพลา...รอยดังกล่าวเป็นร่องรอยของจาระบีเหลวๆ จึงสังเกตเห็นได้ง่ายและชัดเจน..บริเวณเกียร์..ปีกนก..โช๊คอัพ..ล้อด้านใน ..รวมถึงคาน หากพบรอยดังกล่าว..จะต้องเปลี่ยนยางหุ้มเพลาอย่างรวดเร็ว เพลาขับเคลื่อนจะอยู่กับคุณไปอีกนาน...</p><p><br /></p><p><b><span style="color: lime">...เพลาขับเคลื่อน...</span></b></p><p>..เพลาขับเคลื่อนมีหน้าที่รับและส่งต่อพลังงานกล..จากเกียร์ไปสู่ล้อในลักษณะการหมุน..ฉนั้นเพลาขับเคลื่อนต้องทำงานหนักมากที่สุดตัวหนึ่ง..จึงเกิดการสึกหรอได้ง่ายมากหากขาดซึ่งการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี ดังที่กล่าวมาแล้ว...หากได้รับการดูแลอย่างดี...เพลาขับจะมีอายุการใช้งานถึง 300,000 กม. หรือมากกว่านั้น...</p><p><br /></p><p><b>...วิธีสังเกต ...</b></p><p>..เพลาขับจะแบ่งชิ้นส่วนสำคัญออกเป็นสามอย่างด้วยกันคือ..</p><p><br /></p><p><b><span style="color: lime">...1 เพลาขับด้านใน (in board drive shaft)...</span></b></p><p><b>...การสึกหรอและการสังเกต...</b></p><p>..เพลาขับด้านใน..มีลักษณะการทำงานไม่ยุ่งยากมากนัก คือจะรับแรงบิดที่ส่งผ่านมาจากเกียร์ การส่งกำลัง..ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางหรือตำแหน่งการเสียดสีมากนักจะมีการเปลี่ยนแปลงก็แต่แนวนอนไม่เกิน1นิ้ว(รถใช้งานปกติ) ฉนั้นการสึกหรอจึงเกิดขึ้นเฉพาะที่..ระหว่างลูกปืนและกระโหลกเพลา เท่านั้น...</p><p><b>...การสังเกตุ...</b></p><p>..ขณะที่เร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงบิดมากในระบบส่งกำลัง..จะเกิดอาการสั่นสะท้านทั่วบริเวณรถทำให้รู้สึกได้...หากสังเกตุให้ดี ลักษณะจะเหมื่อนอาการสั่นที่เกิดจากล้อและยางที่ไม่ได้ถ่วงสมดุลย์.. หากแต่การสั่นที่เกิดจากเพลาขับด้านใน จะหยุดสั่นทันที..หากไม่มีแรงบิดที่ออกมาจากเกียร์..ก็คือการ ถอนคันเร่ง..ซึ่งจะแตกต่างจากการสั่นจากล้อที่จะยังคงสั่นไปตลอดจนกว่าจะถึงความเร็วหนึ่งจะหยุดไปเ</p><p>...เรื่องการสังเกตุอาการสั่นของเพลาขับด้านในมีน้อยคนที่จะรู้...แม้กระทั่งร้านอย่างหรือร้านตั่งศูนย์ถ่วงล้อเอง..ก็มักจะงงและไม่เข้าใจกับอาการนี้ ส่วนใหญ่มักจะมุ่งประเด็นไปที่ล้อและยาง..ลูกปืนเพลา..ลูกหมาก..หรือแม้กระทั่งจานเบรด...</p><p><br /></p><p><b><span style="color: lime">...2 เพลาขับเคลื่อน (drive shaft)...</span></b></p><p>..เพลาขับเคลื่อนเมื่อถูกแยกส่วนออกมาแล้ว(เฉพาะเพลา) หากเป็นรถที่ใช้งานทั่วๆแทบไม่มีการสึกหรอเลย..เพราะไม่ค่อยมีแรงเครียดเกิดขึ้นสักเท่าไหร่..การดูแลรักษาง่าย..ผมจะไม่กล่าวถึงให้ละเอียดนัก...</p><p><br /></p><p><b><span style="color: lime">...3 เพลาขับด้านนอก (out board drive shaft)...</span></b></p><p><b>..การสึกหรอและการสังเกตุ...</b></p><p>..เพลาขับด้านนอก จะมีการทำงานที่ยุ่งยากและจะต้องรับแรงกระทำที่เกิดจากแรงบิด..ในหลายทิศทางโดยการบิดตัวของหัวเพลา..เมื่อรถถูกบังคับเลี้ยว เมื่อหัวเพลาถูกบิดออกจากทิศทางเดิม(เฉือนแนวดิ่ง).. ขณะที่รถกำลังถูกบังคับเลี้ยว หัวเพลาจะถูกบิดหนีออกจากตำแหน่ง(ไม่เกิน40องศา)...แรงกระทำ..จะทำให้เกิดความเครียดและแรงตึงผิวมากขึ้น(Strain)..โดยเฉพาะหากมีการเร่งเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว บางครั้งอาจจะทำให้หัวเพลาแตกได้ง่ายมาก...รถยนต์ที่วิ่งใน Circuit จะให้ความสำคัญอันดับต้นๆของการ Modify...</p><p><b>...การสังเกต...</b></p><p>..การสึกหรอของหัวเพลาด้านนอกจะง่ายกว่าการสังเกตหัวเพลาด้านใน..เพราะการสึกหรอของหัวเพลาด้านนอก เมื่อมีการเลี้ยวในวงแคบๆ และเร่งเครื่องจะมีเสียงดังมาจากหัวเพลาได้ยินชัดเจน(แก๊กๆๆๆๆๆๆ) ..แต่เมื่อขับรถในทิศทางตรงก็จะไม่มีเสียงดังเกิดขึ้น ...</p><p><br /></p><p><span style="color: lime"><b>...การเปลี่ยนขนาดจานเบรด...</b></span></p><p>..ปัจจุบันการเปลี่ยนขนาดจานเบรคมีให้เห็นเป็นจำนวนมาก..มีขายเป็นชุดคิดส์ แบบสำเร็จรูป มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ..ผมมีโอกาสได้ลองรถที่เปลี่ยนจานเบลคอยู่บ่อยๆ จึงแอบสังเกตดูว่า จานเบรคที่เปลี่ยนมานั้นสามารถช่วยให้เบรคอยู่ได้ดี จริงหรือไม่..คำตอบก็ง่ายนิดเดี่ยวครับ..แน่นอนเมื่อมีเส้นผ่าศูนย์กลางโตขึ้น..การจับให้อยู่หรือการเสียดสีที่สามารถทำให้ล้อนั้นๆหยุดได้ ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย..แต่ด้วยเหตุผลนั้นเองที่ทำให้เป็นผลเสียมากกว่าผลดี..เนื่องจากการกระจายน้ำหนักของรถและการกระจายแรงเบรค..ที่ปกติมีที่ล้อหน้ามากกว่าล้อหลังอยู่แล้ว เมื่อถูกเปลี่ยนเส้นผ่าศูนย์กลางของจานเบรคเข้าไป ก็เท่ากับเร่งให้ล้อหน้าล็อคเร็วกว่าล้อหลังมาก ...</p><p>..แน่นอนผู้ขับอาจจะรู้สึกว่า เมื่อเปลี่ยนจานเบรคขนาดใหญ่เข้าไปแล้ว..เวลาเบรคใช้แรงน้อยกว่าเมื่อตอนก่อนเปลี่ยน อันนั้นถูกต้อง..แต่เมื่อเกิดเหตุที่จะต้องเบรคอย่างกระทันหันจริงๆ ล้อหน้าจะถูกล็อคก่อน..โดยที่ล้อหลังยังไม่ได้มีอาการหยุดหรือจะหยุดเลย..ถึงแม้ผู้ขับจะรู้สึกว่าตัวเองขับรถเก่ง ไม่เบรกแบบล้อล๊อค..ระยะเบรคก็จะยาวขึ้น และเมื่อล้อหน้าล๊อค..แน่นอนย่อมไม่สามารถบังคับรถในทิศทางที่สมควรได้..ฉนั้นการเปลี่ยนดีสเบรคโดยไม่ได้คำนึงถึงข้อนี้จึงเป็นอันตรายมาก..เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนเอามาพูดกันเพราะว่า ส่วนมากคนที่เปลี่ยนมาจะไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องราว ส่วนใหญ่จะตายก่อนไว้อันควรครับ ไม่ได้ขู่น่ะครับ เรื่องจริง...เปลี่ยนแค่ขนาดที่พอเหมาะจะดีกว่าครับ..เช่น ของตระกูล เครื่อง Specตัวนอกจะมีขนาดจานเบลคโตกว่า Specในไทย..ก็สามารถดัดแปลงใส่ได้ครับ...</p><p>..การเปลี่ยนเบรคจากดรัมเบรคเป็นดีสเบรค เรื่องนี้ก็เช่นกันครับ..กรณีนี้ไม่แตกต่างจากกรณีดังกล่าวสักเท่าไหร่ เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้รถและหลงเชื่อในโฆษณา ที่มุ่งเน้นหาแต่ผลกำไร..เราจะมาเล่ากันเป็นเรื่องๆ...</p><p><br /></p><p>..<b><span style="color: lime">ดรัมเบรก </span></b>มีจุดเด่นคือ สามารถเบรกได้ดีกว่าดีสเบรกขณะที่ใช้แรงในการกดเท่าๆกัน..เนื่องจากดรัมเบรกมีพื้นที่หน้าสัมผัส..มากกว่าดีสเบรก..แต่ข้อเสียหลักๆของดรัมเบรกคือ..ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีพอและไม่สามารถรีดน้ำออกได้ขณะที่รถต้องวิ่งลุยน้ำ..</p><p><span style="color: lime"><b>..ดีสเบรก </b></span>มีจุดเด่นคือ สามารถระบายความร้อนได้ดี และสามารถระบายน้ำออกได้รวดเร็วเมื่อต้องวิ่งลุยน้ำ การดูแลรักษาง่ายกว่า การถอดประกอบง่าย ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า.. </p><p><br /></p><p>..ในรถซีดานทั่วๆไปส่วนใหญ่จะเป็นหน้าดีสหลัง ดรัม และจะมีรุ่นพิเศษเป็น ดีสเบรกสี่ล้อ..ท่านเจ้าของรถที่ใช้ดรัมเบรกอยู่ ก็มักจะอยากจะเปลี่ยนเป็นดีสเบรก..ให้เหมือนกับรุ่นพิเศษ ที่เป็นดีสเบรกสี่ล้อ โดยการหาซื้อของมือสองจากญี่ปุ่น..ซึ่งหาซื้อง่าย..ราคาไม่แพงนำมาเปลี่ยนใส่กันเป็นจำนวนมาก..โดยไม่คำนึงถึงลักษณะการทำงานของวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก..หรือ ความต้องการแรงดันมากน้อยที่แตกต่างกันระหว่างดีสเบรกและดรัมเบรก...</p><p><br /></p><p>...แน่นอนเมื่อถูกเปลี่ยนใส่เข้าไปแล้ว..ก็จะอุปทานกันเอาเองว่า..เบรกดีกว่าเดิม เพราะเมื่อมีการเหยียบเบรก แรงดันน้ำมันเบรกที่ถูกส่งไปล้อหลังจะถูกลดลงโดยวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก...เพื่อให้เกิดการสมดุลย์ ของรถที่ใช้ดรัมหลัง..<span style="color: lime">แต่เมื่อถูกเปลี่ยนเป็นดีสเบรคแล้วน้ำมันที่มีแรงดันต่ำไม่สามารถดันลูกเบรกให้ออกมาจับที่เบรกได้อย่างเพียงพอ..</span>ทำให้การทำงานของเบรกหลังด้อยลงไปทันที..หรือบางครั้งอาจจะไม่ถูกทำงานเลยด้วยซ้ำ..ผมเคยเอารถน้องที่เปลี่ยนดีสเบรคหลังมา..เพื่อให้เค้าเข้าใจอย่างจริงจัง..ผมทดลองเบรกอยู่พักใหญ่ โดยการเบรกให้ล้อเกือบล๊อค หรือจุดที่ดีที่สุดในการเบรก..แล้ววัดระยะเบรคเพื่อเปรียบเทียบกับรถ แสตนดาร์ดให้เค้าดู..รถแสตนดาร์ดสามารถหยุดรถได้ดีกว่ามาก..(เป็นEGทั้ง2คัน)..เมื่อนำรถเข้ามาจอดหลังจากลองกันอย่างหนัก คราวนี้มาทดลองดูซิว่าความร้อนที่เกิดจการเบรค..เป็นอย่างไร ระหว่างล้อหน้าและหลัง ผลที่ได้รับคือ ที่ล้อหน้าเมื่อเอามือสัมผัสดูเบาๆ..จะรู้สึกว่าร้อนมากๆ..แต่ส่วนล้อหลังที่เปลี่ยนเป็นดีสเบรก แทบจะไม่มีความร้อนเลย..หรืออาจจะบอกได้ว่ามันยังแทบไม่ได้ทำงานเลย..หากจะใส่ดิสหลัง..ผมเนะนำว่าควรเปลี่ยน..หรือปรับตัววาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรคด้วย..จะดีกว่า</p><p><br /></p><p><b><span style="color: lime">...เบรคสั่น เกิดจากอะไร...</span></b></p><p>..เบรกสั่นส่วนมากจะเกิดจากการใช้งานที่เกินขีดความสามารถของจานเบรก..ในการทนความร้อนและความสามารถในการกลับคืนรูปเดิม..ส่วนมากจะเกิดกับนักขับที่ชอบขับรถเร็วๆ น้ำหนักรถมากๆ เนื่องจากรถในแต่ละรุ่นถูกสร้างขึ้นมาให้วิ่งได้เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ..เน้นที่กำลังเครื่องยนต์เพื่อนำมาเป็นจุดขาย..แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงขีดความสามารถของระบบเบรกสักเท่าไร..ตัวอย่างเช่น รถยนต์ Toyota Vios 1500cc.สามารถทำความเร็วได้ถึง180-200 km/h แต่ระบบเบรคมีขีดความสามารถเพียง 120 km/h เท่านั้น เมื่อถูกใช้งานเกินขีดความสามารถเช่นนั้นบ่อยๆ จานเบรคจะเกิดอาการ คด เนื่องจากความร้อนที่เกิดจากการเบรก..การคืนตัวของโลหะ ทำให้จานเบรกส่วนใหญ่คดงอ..ผ้าเบรคก็จะไหม้และเบรคไม่อยู่ในที่สุด ค่อนข้างอันตรายในการใช้รถเกินขีดความสามารถของการเบลค...</p><p><br /></p><p><b><span style="color: lime">...วิธีแก้ไข...</span></b></p><p>..คือการเจียร์จานเบรค...การเจียร์จานก็คือการปรับหน้าสัมผัสของจานเบรกกับผ้าเบรกให้เรียบเสมอขณะที่หมุน..ทำให้ไม่เกิดการสั่น..ข้อเสียคือ การเจียร์จานเบรก จะต้องเอาส่วนที่คดหรือโค้งออก ทำให้จานเบรคบางลง..แน่นอนย่อมจะทำให้จานเบรค คดง่ายกว่าที่มีขนาดความหนามากกว่า ฉนั้นหากเคยเจียร์จานเบรกแล้ว 1 หรือ 2 ครั้งการตาม จานเบรกจะคดงอง่ายกว่าเดิม...</p><p><br /></p><p><b><span style="color: lime">...ผ้าเบรกดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนขับ(เชื่อหรือไม่)...</span></b></p><p>..คุณเชื่อหรือไม่ ว่าผ้าเบรกดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับนิสัยคนขับ..อันนี้เป็นอะไรที่อธิบายกันแล้วเข้าใจยากเหมือนกัน..หลายคนคงเคยสังเกตเวลาเลือกซื้อผ้าเบรค..ที่ข้างกล่องจะต้องมีระบุไว้ว่า..จะใช้งานได้ดีในอุณหภูมิ ตั่งแต่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่..เช่น 50-250องศา C แน่นอนครับ..อันนี้คนที่ขับรถเร็วถ้าเอาไปใช้ก็จะต้องบอกว่าไม่ดี..มันเฟรสง่าย อันตรายมาก เวลาขับเร็วแล้วเบรกไม่อยู่ เช่นกัน ถ้าผ้าเบรกที่มีอุณหภูมิตั่งแต่ 100-450 องศาC ซึ่งจะมีราคาแพงมาก..เอาไปใส่กับคนที่ขับรถค่อนข้างช้า ก็จะต้องบอกว่าเป็นผ้าเบรกที่แย่มากๆ..เพราะเบรกไม่อยู่ ครับเมื่ออุณหภูมิไม่ถึงค่าที่กำหนดเบรกจะไม่ค่อยอยู่เป็นปกติ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำเนื้อผ้าเบรกแตกต่างกัน..การใช้งานก็แตกต่างกันด้วย ฉนั้นการเลือกซื้อผ้าเบรกไม่จำเป็นว่าราคาสูงๆจะต้องดีกว่า...มันขึ้นอยู่กับผู้ใช้ครับ... </p><p><br /></p><p><span style="color: lime"><b>...สายอ่อนเบรก...</b></span></p><p>..สายอ่อนเบรกมีบทบาทอย่างไร..ทำไมพวกรถแข่งชอบเปลี่ยนสายอ่อนเบรกเป็นแบบสายถัก..อันนี้หลายคนเปลี่ยนแล้วยังไม่เข้าใจว่าเปลี่ยนเพื่ออะไร..หรือว่ามันแพงแล้วต้องดี..หรือว่ามีความคงทนมากกว่า..หรือว่าสีสันที่สวยงาม..ส่วนใหญ่เห็นเค้าเปลี่ยนกันเลยเปลี่ยนบ้าง..อันนี้ต้องบอกเลยว่า...ที่เปลี่ยนกันจุดประสงค์ไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น...</p><p>..การเปลี่ยนสายอ่อนเบรกในรถแข่ง..เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรงและแน่นอนในการเบรก..โดยไม่สูญเสียแรงดันน้ำมันเบรก..ไปกับสายเบลคที่ปูดบวม..ให้มั่นใจว่าเบรกทั้งสี่ล้อได้รับแรงดันน้ำมันเบรกที่เท่าเทียมกัน..การเบรกแบบรุนแรงจะสามารถบังคับรถได้ดีกว่า..และหยุดรถได้ระยะทางที่สั่นกว่า.. </p><p><b><span style="color: lime">...ทำไม(Why)...</span></b></p><p>..คำตอบง่ายๆครับ เนื่องจากสายอ่อนเบรกของรถเดิมๆ จะมีลักษณะเป็นท่อยางซึ่งสามารถยืดหยุ่นได้ตามแรงดัน..ถึงแม้จะเป็นท่อที่ทนต่อแรงดันสูงก็ตาม..เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำก็คือยาง..ส่วนสายถักยี่ห้อต่างๆจะทำมาจาก โพลิเมอร์และถูกห่อหุ้มด้วยแสตนเลสถัก..เพื่อป้องกันการเสียดสีและการขยายตัวของตัวท่อเอง..เมื่อไม่มีการขยายตัวของสายเบลค..การควบคุมแรงดันก็จะเท่ากันทั้งสี่ล้อ หรือตามที่กำหนดโดยไม่สูญเสียแรงดันไปกับการขยายตัวของของสาย..............[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="POL2, post: 787310, member: 13711"][COLOR="lime"][B]....ตอน..ช่วงล้าง..ช่วงล่าง....[/B][/COLOR] [B][COLOR="Lime"]...ยางหุ้มเพลา ...[/COLOR][/B] ..ยางหุ้มเพลามีหน้าที่หลักคือ..เป็นตัวกักเก็บจารบีที่มีหน้าที่หล่อลื่นลูกปืนเพลาเพลาให้ทำงานได้โดยไม่มีการสึกหรอ...หรือสึกหรอน้อยที่สุด ภายใต้การหล่อลื่นโดยจารบี...หากขาดจารบีหล่อลื่นลูกปืนเพลาก็จะสึกหรออย่างรวดเร็ว...ฉนั้นอย่างหุ้มเพลาจึงมีบทบาทสำคัญในการรับษาอายุการใช้งานของเพลาขับ [B]...การดูแลรักษา ...[/B] ..การดูแลรักษา ผู้ใช้รถไม่จำเป็นต้องดูแลลูกปืนเพลา..หากแต่ต้องดูแลและหมั่นตรวจเช็คยางหุ้มเพลาอย่างน้อยเดือนละครั้ง [B]...วิธีสังเกต...[/B] ..สังเกต รอยเปื้อนที่เกิดจากการกระเด็นของจาระบีเพลา..จากการหมุนของเพลา...รอยดังกล่าวเป็นร่องรอยของจาระบีเหลวๆ จึงสังเกตเห็นได้ง่ายและชัดเจน..บริเวณเกียร์..ปีกนก..โช๊คอัพ..ล้อด้านใน ..รวมถึงคาน หากพบรอยดังกล่าว..จะต้องเปลี่ยนยางหุ้มเพลาอย่างรวดเร็ว เพลาขับเคลื่อนจะอยู่กับคุณไปอีกนาน... [B][COLOR="lime"]...เพลาขับเคลื่อน...[/COLOR][/B] ..เพลาขับเคลื่อนมีหน้าที่รับและส่งต่อพลังงานกล..จากเกียร์ไปสู่ล้อในลักษณะการหมุน..ฉนั้นเพลาขับเคลื่อนต้องทำงานหนักมากที่สุดตัวหนึ่ง..จึงเกิดการสึกหรอได้ง่ายมากหากขาดซึ่งการดูแลเอาใจใส่อย่างถูกวิธี ดังที่กล่าวมาแล้ว...หากได้รับการดูแลอย่างดี...เพลาขับจะมีอายุการใช้งานถึง 300,000 กม. หรือมากกว่านั้น... [B]...วิธีสังเกต ...[/B] ..เพลาขับจะแบ่งชิ้นส่วนสำคัญออกเป็นสามอย่างด้วยกันคือ.. [B][COLOR="lime"]...1 เพลาขับด้านใน (in board drive shaft)...[/COLOR][/B] [B]...การสึกหรอและการสังเกต...[/B] ..เพลาขับด้านใน..มีลักษณะการทำงานไม่ยุ่งยากมากนัก คือจะรับแรงบิดที่ส่งผ่านมาจากเกียร์ การส่งกำลัง..ไม่จำเป็นต้องเปลี่ยนทิศทางหรือตำแหน่งการเสียดสีมากนักจะมีการเปลี่ยนแปลงก็แต่แนวนอนไม่เกิน1นิ้ว(รถใช้งานปกติ) ฉนั้นการสึกหรอจึงเกิดขึ้นเฉพาะที่..ระหว่างลูกปืนและกระโหลกเพลา เท่านั้น... [B]...การสังเกตุ...[/B] ..ขณะที่เร่งความเร็วอย่างต่อเนื่อง ทำให้เกิดแรงบิดมากในระบบส่งกำลัง..จะเกิดอาการสั่นสะท้านทั่วบริเวณรถทำให้รู้สึกได้...หากสังเกตุให้ดี ลักษณะจะเหมื่อนอาการสั่นที่เกิดจากล้อและยางที่ไม่ได้ถ่วงสมดุลย์.. หากแต่การสั่นที่เกิดจากเพลาขับด้านใน จะหยุดสั่นทันที..หากไม่มีแรงบิดที่ออกมาจากเกียร์..ก็คือการ ถอนคันเร่ง..ซึ่งจะแตกต่างจากการสั่นจากล้อที่จะยังคงสั่นไปตลอดจนกว่าจะถึงความเร็วหนึ่งจะหยุดไปเ ...เรื่องการสังเกตุอาการสั่นของเพลาขับด้านในมีน้อยคนที่จะรู้...แม้กระทั่งร้านอย่างหรือร้านตั่งศูนย์ถ่วงล้อเอง..ก็มักจะงงและไม่เข้าใจกับอาการนี้ ส่วนใหญ่มักจะมุ่งประเด็นไปที่ล้อและยาง..ลูกปืนเพลา..ลูกหมาก..หรือแม้กระทั่งจานเบรด... [B][COLOR="lime"]...2 เพลาขับเคลื่อน (drive shaft)...[/COLOR][/B] ..เพลาขับเคลื่อนเมื่อถูกแยกส่วนออกมาแล้ว(เฉพาะเพลา) หากเป็นรถที่ใช้งานทั่วๆแทบไม่มีการสึกหรอเลย..เพราะไม่ค่อยมีแรงเครียดเกิดขึ้นสักเท่าไหร่..การดูแลรักษาง่าย..ผมจะไม่กล่าวถึงให้ละเอียดนัก... [B][COLOR="lime"]...3 เพลาขับด้านนอก (out board drive shaft)...[/COLOR][/B] [B]..การสึกหรอและการสังเกตุ...[/B] ..เพลาขับด้านนอก จะมีการทำงานที่ยุ่งยากและจะต้องรับแรงกระทำที่เกิดจากแรงบิด..ในหลายทิศทางโดยการบิดตัวของหัวเพลา..เมื่อรถถูกบังคับเลี้ยว เมื่อหัวเพลาถูกบิดออกจากทิศทางเดิม(เฉือนแนวดิ่ง).. ขณะที่รถกำลังถูกบังคับเลี้ยว หัวเพลาจะถูกบิดหนีออกจากตำแหน่ง(ไม่เกิน40องศา)...แรงกระทำ..จะทำให้เกิดความเครียดและแรงตึงผิวมากขึ้น(Strain)..โดยเฉพาะหากมีการเร่งเครื่องยนต์อย่างรวดเร็ว บางครั้งอาจจะทำให้หัวเพลาแตกได้ง่ายมาก...รถยนต์ที่วิ่งใน Circuit จะให้ความสำคัญอันดับต้นๆของการ Modify... [B]...การสังเกต...[/B] ..การสึกหรอของหัวเพลาด้านนอกจะง่ายกว่าการสังเกตหัวเพลาด้านใน..เพราะการสึกหรอของหัวเพลาด้านนอก เมื่อมีการเลี้ยวในวงแคบๆ และเร่งเครื่องจะมีเสียงดังมาจากหัวเพลาได้ยินชัดเจน(แก๊กๆๆๆๆๆๆ) ..แต่เมื่อขับรถในทิศทางตรงก็จะไม่มีเสียงดังเกิดขึ้น ... [COLOR="lime"][B]...การเปลี่ยนขนาดจานเบรด...[/B][/COLOR] ..ปัจจุบันการเปลี่ยนขนาดจานเบรคมีให้เห็นเป็นจำนวนมาก..มีขายเป็นชุดคิดส์ แบบสำเร็จรูป มีอยู่มากมายหลายยี่ห้อ..ผมมีโอกาสได้ลองรถที่เปลี่ยนจานเบลคอยู่บ่อยๆ จึงแอบสังเกตดูว่า จานเบรคที่เปลี่ยนมานั้นสามารถช่วยให้เบรคอยู่ได้ดี จริงหรือไม่..คำตอบก็ง่ายนิดเดี่ยวครับ..แน่นอนเมื่อมีเส้นผ่าศูนย์กลางโตขึ้น..การจับให้อยู่หรือการเสียดสีที่สามารถทำให้ล้อนั้นๆหยุดได้ ย่อมทำได้อย่างง่ายดาย..แต่ด้วยเหตุผลนั้นเองที่ทำให้เป็นผลเสียมากกว่าผลดี..เนื่องจากการกระจายน้ำหนักของรถและการกระจายแรงเบรค..ที่ปกติมีที่ล้อหน้ามากกว่าล้อหลังอยู่แล้ว เมื่อถูกเปลี่ยนเส้นผ่าศูนย์กลางของจานเบรคเข้าไป ก็เท่ากับเร่งให้ล้อหน้าล็อคเร็วกว่าล้อหลังมาก ... ..แน่นอนผู้ขับอาจจะรู้สึกว่า เมื่อเปลี่ยนจานเบรคขนาดใหญ่เข้าไปแล้ว..เวลาเบรคใช้แรงน้อยกว่าเมื่อตอนก่อนเปลี่ยน อันนั้นถูกต้อง..แต่เมื่อเกิดเหตุที่จะต้องเบรคอย่างกระทันหันจริงๆ ล้อหน้าจะถูกล็อคก่อน..โดยที่ล้อหลังยังไม่ได้มีอาการหยุดหรือจะหยุดเลย..ถึงแม้ผู้ขับจะรู้สึกว่าตัวเองขับรถเก่ง ไม่เบรกแบบล้อล๊อค..ระยะเบรคก็จะยาวขึ้น และเมื่อล้อหน้าล๊อค..แน่นอนย่อมไม่สามารถบังคับรถในทิศทางที่สมควรได้..ฉนั้นการเปลี่ยนดีสเบรคโดยไม่ได้คำนึงถึงข้อนี้จึงเป็นอันตรายมาก..เรื่องนี้ไม่ค่อยมีคนเอามาพูดกันเพราะว่า ส่วนมากคนที่เปลี่ยนมาจะไม่มีโอกาสได้เล่าเรื่องราว ส่วนใหญ่จะตายก่อนไว้อันควรครับ ไม่ได้ขู่น่ะครับ เรื่องจริง...เปลี่ยนแค่ขนาดที่พอเหมาะจะดีกว่าครับ..เช่น ของตระกูล เครื่อง Specตัวนอกจะมีขนาดจานเบลคโตกว่า Specในไทย..ก็สามารถดัดแปลงใส่ได้ครับ... ..การเปลี่ยนเบรคจากดรัมเบรคเป็นดีสเบรค เรื่องนี้ก็เช่นกันครับ..กรณีนี้ไม่แตกต่างจากกรณีดังกล่าวสักเท่าไหร่ เกิดจากความรู้เท่าไม่ถึงการณ์ของผู้ใช้รถและหลงเชื่อในโฆษณา ที่มุ่งเน้นหาแต่ผลกำไร..เราจะมาเล่ากันเป็นเรื่องๆ... ..[B][COLOR="lime"]ดรัมเบรก [/COLOR][/B]มีจุดเด่นคือ สามารถเบรกได้ดีกว่าดีสเบรกขณะที่ใช้แรงในการกดเท่าๆกัน..เนื่องจากดรัมเบรกมีพื้นที่หน้าสัมผัส..มากกว่าดีสเบรก..แต่ข้อเสียหลักๆของดรัมเบรกคือ..ไม่สามารถระบายความร้อนได้ดีพอและไม่สามารถรีดน้ำออกได้ขณะที่รถต้องวิ่งลุยน้ำ.. [COLOR="lime"][B]..ดีสเบรก [/B][/COLOR]มีจุดเด่นคือ สามารถระบายความร้อนได้ดี และสามารถระบายน้ำออกได้รวดเร็วเมื่อต้องวิ่งลุยน้ำ การดูแลรักษาง่ายกว่า การถอดประกอบง่าย ต้นทุนการผลิตต่ำกว่า.. ..ในรถซีดานทั่วๆไปส่วนใหญ่จะเป็นหน้าดีสหลัง ดรัม และจะมีรุ่นพิเศษเป็น ดีสเบรกสี่ล้อ..ท่านเจ้าของรถที่ใช้ดรัมเบรกอยู่ ก็มักจะอยากจะเปลี่ยนเป็นดีสเบรก..ให้เหมือนกับรุ่นพิเศษ ที่เป็นดีสเบรกสี่ล้อ โดยการหาซื้อของมือสองจากญี่ปุ่น..ซึ่งหาซื้อง่าย..ราคาไม่แพงนำมาเปลี่ยนใส่กันเป็นจำนวนมาก..โดยไม่คำนึงถึงลักษณะการทำงานของวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก..หรือ ความต้องการแรงดันมากน้อยที่แตกต่างกันระหว่างดีสเบรกและดรัมเบรก... ...แน่นอนเมื่อถูกเปลี่ยนใส่เข้าไปแล้ว..ก็จะอุปทานกันเอาเองว่า..เบรกดีกว่าเดิม เพราะเมื่อมีการเหยียบเบรก แรงดันน้ำมันเบรกที่ถูกส่งไปล้อหลังจะถูกลดลงโดยวาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรก...เพื่อให้เกิดการสมดุลย์ ของรถที่ใช้ดรัมหลัง..[COLOR="lime"]แต่เมื่อถูกเปลี่ยนเป็นดีสเบรคแล้วน้ำมันที่มีแรงดันต่ำไม่สามารถดันลูกเบรกให้ออกมาจับที่เบรกได้อย่างเพียงพอ..[/COLOR]ทำให้การทำงานของเบรกหลังด้อยลงไปทันที..หรือบางครั้งอาจจะไม่ถูกทำงานเลยด้วยซ้ำ..ผมเคยเอารถน้องที่เปลี่ยนดีสเบรคหลังมา..เพื่อให้เค้าเข้าใจอย่างจริงจัง..ผมทดลองเบรกอยู่พักใหญ่ โดยการเบรกให้ล้อเกือบล๊อค หรือจุดที่ดีที่สุดในการเบรก..แล้ววัดระยะเบรคเพื่อเปรียบเทียบกับรถ แสตนดาร์ดให้เค้าดู..รถแสตนดาร์ดสามารถหยุดรถได้ดีกว่ามาก..(เป็นEGทั้ง2คัน)..เมื่อนำรถเข้ามาจอดหลังจากลองกันอย่างหนัก คราวนี้มาทดลองดูซิว่าความร้อนที่เกิดจการเบรค..เป็นอย่างไร ระหว่างล้อหน้าและหลัง ผลที่ได้รับคือ ที่ล้อหน้าเมื่อเอามือสัมผัสดูเบาๆ..จะรู้สึกว่าร้อนมากๆ..แต่ส่วนล้อหลังที่เปลี่ยนเป็นดีสเบรก แทบจะไม่มีความร้อนเลย..หรืออาจจะบอกได้ว่ามันยังแทบไม่ได้ทำงานเลย..หากจะใส่ดิสหลัง..ผมเนะนำว่าควรเปลี่ยน..หรือปรับตัววาล์วปรับแรงดันน้ำมันเบรคด้วย..จะดีกว่า [B][COLOR="lime"]...เบรคสั่น เกิดจากอะไร...[/COLOR][/B] ..เบรกสั่นส่วนมากจะเกิดจากการใช้งานที่เกินขีดความสามารถของจานเบรก..ในการทนความร้อนและความสามารถในการกลับคืนรูปเดิม..ส่วนมากจะเกิดกับนักขับที่ชอบขับรถเร็วๆ น้ำหนักรถมากๆ เนื่องจากรถในแต่ละรุ่นถูกสร้างขึ้นมาให้วิ่งได้เร็วมากขึ้นเรื่อยๆ..เน้นที่กำลังเครื่องยนต์เพื่อนำมาเป็นจุดขาย..แต่ส่วนใหญ่ไม่ได้คำนึงถึงขีดความสามารถของระบบเบรกสักเท่าไร..ตัวอย่างเช่น รถยนต์ Toyota Vios 1500cc.สามารถทำความเร็วได้ถึง180-200 km/h แต่ระบบเบรคมีขีดความสามารถเพียง 120 km/h เท่านั้น เมื่อถูกใช้งานเกินขีดความสามารถเช่นนั้นบ่อยๆ จานเบรคจะเกิดอาการ คด เนื่องจากความร้อนที่เกิดจากการเบรก..การคืนตัวของโลหะ ทำให้จานเบรกส่วนใหญ่คดงอ..ผ้าเบรคก็จะไหม้และเบรคไม่อยู่ในที่สุด ค่อนข้างอันตรายในการใช้รถเกินขีดความสามารถของการเบลค... [B][COLOR="lime"]...วิธีแก้ไข...[/COLOR][/B] ..คือการเจียร์จานเบรค...การเจียร์จานก็คือการปรับหน้าสัมผัสของจานเบรกกับผ้าเบรกให้เรียบเสมอขณะที่หมุน..ทำให้ไม่เกิดการสั่น..ข้อเสียคือ การเจียร์จานเบรก จะต้องเอาส่วนที่คดหรือโค้งออก ทำให้จานเบรคบางลง..แน่นอนย่อมจะทำให้จานเบรค คดง่ายกว่าที่มีขนาดความหนามากกว่า ฉนั้นหากเคยเจียร์จานเบรกแล้ว 1 หรือ 2 ครั้งการตาม จานเบรกจะคดงอง่ายกว่าเดิม... [B][COLOR="lime"]...ผ้าเบรกดีหรือไม่ ขึ้นอยู่กับคนขับ(เชื่อหรือไม่)...[/COLOR][/B] ..คุณเชื่อหรือไม่ ว่าผ้าเบรกดีหรือไม่ดีขึ้นอยู่กับนิสัยคนขับ..อันนี้เป็นอะไรที่อธิบายกันแล้วเข้าใจยากเหมือนกัน..หลายคนคงเคยสังเกตเวลาเลือกซื้อผ้าเบรค..ที่ข้างกล่องจะต้องมีระบุไว้ว่า..จะใช้งานได้ดีในอุณหภูมิ ตั่งแต่เท่าไหร่ถึงเท่าไหร่..เช่น 50-250องศา C แน่นอนครับ..อันนี้คนที่ขับรถเร็วถ้าเอาไปใช้ก็จะต้องบอกว่าไม่ดี..มันเฟรสง่าย อันตรายมาก เวลาขับเร็วแล้วเบรกไม่อยู่ เช่นกัน ถ้าผ้าเบรกที่มีอุณหภูมิตั่งแต่ 100-450 องศาC ซึ่งจะมีราคาแพงมาก..เอาไปใส่กับคนที่ขับรถค่อนข้างช้า ก็จะต้องบอกว่าเป็นผ้าเบรกที่แย่มากๆ..เพราะเบรกไม่อยู่ ครับเมื่ออุณหภูมิไม่ถึงค่าที่กำหนดเบรกจะไม่ค่อยอยู่เป็นปกติ เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำเนื้อผ้าเบรกแตกต่างกัน..การใช้งานก็แตกต่างกันด้วย ฉนั้นการเลือกซื้อผ้าเบรกไม่จำเป็นว่าราคาสูงๆจะต้องดีกว่า...มันขึ้นอยู่กับผู้ใช้ครับ... [COLOR="lime"][B]...สายอ่อนเบรก...[/B][/COLOR] ..สายอ่อนเบรกมีบทบาทอย่างไร..ทำไมพวกรถแข่งชอบเปลี่ยนสายอ่อนเบรกเป็นแบบสายถัก..อันนี้หลายคนเปลี่ยนแล้วยังไม่เข้าใจว่าเปลี่ยนเพื่ออะไร..หรือว่ามันแพงแล้วต้องดี..หรือว่ามีความคงทนมากกว่า..หรือว่าสีสันที่สวยงาม..ส่วนใหญ่เห็นเค้าเปลี่ยนกันเลยเปลี่ยนบ้าง..อันนี้ต้องบอกเลยว่า...ที่เปลี่ยนกันจุดประสงค์ไม่ได้เป็นอย่างที่กล่าวมาแล้วทั้งสิ้น... ..การเปลี่ยนสายอ่อนเบรกในรถแข่ง..เพื่อให้เกิดความเที่ยงตรงและแน่นอนในการเบรก..โดยไม่สูญเสียแรงดันน้ำมันเบรก..ไปกับสายเบลคที่ปูดบวม..ให้มั่นใจว่าเบรกทั้งสี่ล้อได้รับแรงดันน้ำมันเบรกที่เท่าเทียมกัน..การเบรกแบบรุนแรงจะสามารถบังคับรถได้ดีกว่า..และหยุดรถได้ระยะทางที่สั่นกว่า.. [B][COLOR="lime"]...ทำไม(Why)...[/COLOR][/B] ..คำตอบง่ายๆครับ เนื่องจากสายอ่อนเบรกของรถเดิมๆ จะมีลักษณะเป็นท่อยางซึ่งสามารถยืดหยุ่นได้ตามแรงดัน..ถึงแม้จะเป็นท่อที่ทนต่อแรงดันสูงก็ตาม..เนื่องจากวัสดุที่ใช้ทำก็คือยาง..ส่วนสายถักยี่ห้อต่างๆจะทำมาจาก โพลิเมอร์และถูกห่อหุ้มด้วยแสตนเลสถัก..เพื่อป้องกันการเสียดสีและการขยายตัวของตัวท่อเอง..เมื่อไม่มีการขยายตัวของสายเบลค..การควบคุมแรงดันก็จะเท่ากันทั้งสี่ล้อ หรือตามที่กำหนดโดยไม่สูญเสียแรงดันไปกับการขยายตัวของของสาย..............[/QUOTE]
Log in with Facebook
Log in with Twitter
Log in with Google
Your name or email address:
Do you already have an account?
No, create an account now.
Yes, my password is:
Forgot your password?
Stay logged in
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
Community Car Clubs
>
Honda Car Clubs
>
EG 3D Club
>
@@...เกร็ดเล็ก..เกร็ดน้อย..สำหรับดูแล.....ช่วงล้าง..ช่วงล่าง.......@@
>
X
Home
Home
Quick Links
Recent Posts
Recent Activity
Authors
Forums
Forums
Quick Links
Search Forums
Recent Posts
Classifieds
Classifieds
Quick Links
Search Classifieds
Recent Activity
Top Rated Traders
Media
Media
Quick Links
Search Media
New Media
Members
Members
Quick Links
Notable Members
Registered Members
Current Visitors
Recent Activity
New Profile Posts
Menu
Search titles only
Posted by Member:
Separate names with a comma.
Newer Than:
Search this thread only
Search this forum only
Display results as threads
Useful Searches
Recent Posts
More...