Log in or Sign up
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
Community Car Clubs
>
Nissan Car Clubs
>
Primera & Presea Club
>
ความรู้ครับ....เยอะไปรึป่าวก้อไม่รู้????
>
Reply to Thread
Name:
Verification:
Please enable JavaScript to continue.
Loading...
Message:
<p>[QUOTE="silver dragon, post: 884359, member: 11490"]<span style="color: Lime"><font size="3">อ่านยาวเลยนะครับ......</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><span style="color: Red"><font size="3">ความรู้เกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง</font></span></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">เทคนิคเลือกฟิล์มกรองแสง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">เมือง ไทยเป็นเมืองร้อน ร้อยทั้งร้อย เมื่อมีรถใหม่ สิ่งแรกที่เจ้าของต้องติดตั้งเพิ่มเติม คือ ฟิล์มกรองแสง การเลือกฟิล์มกรองแสง สำหรับรถยนต์ โดยทั่วไปแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น แต่จะให้ประหยัดและคุ้มค่า ควรมีความเข้าใจพื้นฐาน และของระบบการทำงาน ของฟิล์มกรองแสง ซึ่งอาจจะช่วยให้ท่าน นำไปตัดสินใจได้ว่า จะเลือกอย่างไร จึงสมเหตุสมผล</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ปัจจุบัน นี้พบว่า ส่วนหนึ่งคนซื้อยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง โดยเฉพาะความเข้าใจระหว่างความทึบแสงกับความสามารถในการป้องกันความร้อน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ความ เข้าใจที่ว่า ฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบ ช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้ว สีของฟิล์มไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">รู้จักฟิล์มกรองแสง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสง ทำจากพลาสติก โพลีเอสเตอร์ที่มีความเหนียว บาง เรียบ สามารถแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับกระจก โดยยึดกระจกด้วยกาวที่มีความใส ดังนั้น เราจึงมองผ่านฟิล์มได้ชัดเจน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสงรถยนต์ที่ต้องการกันความร้อนนั้น ต่างไปกับฟิล์มลด แสงสว่างทั่วไป เพราะฟิล์มกรองแสงทั่วไป ย้อมสีเพื่อกรองแสงสว่างเท่านั้น ในขณะที่ฟิล์มกรองแสงที่กันความร้อนจะต้องลดรังสีอุลตราไวโอเลตได้ด้วย</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม ย้อมสี เป็นฟิล์มที่มีคุณสมบัติในการลดแสงสว่าง ที่ผ่านเข้ามาทางกระจกเท่านั้น แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติในการลดความร้อน หรือหากมีก็มีเพียงเล็กน้อย เมื่อมีการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ฟิล์มจะกลายสีเป็นสีม่วง ซึ่งให้ทัศนวิสัยในการขับขี่รถยนต์ที่ผิดเพี้ยน เป็นอันตราย แต่หากฟิล์มกรองแสงทั่วไปผลิตมาจากโพลีเอสเตอร์คุณภาพสูง จะมีคุณสมบัติในการลดรังสีอุลตราไวโอเลตด้วย</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสงลดความร้อน หรือ ฟิล์มเคลือบโลหะ เป็นฟิล์มกรองแสงที่มีคุณสมบัติในการลดความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางกระจกได้ดี โดยอาศัยคุณสมบัติของไอโลหะที่เคลือบบนฟิล์มในการกรองความร้อน และสะท้อนความร้อน ซึ่งมีผลให้ความร้อนผ่านเข้ามาทางกระจกได้น้อยลง สีของฟิล์มที่ได้จะแตกต่างไปตามประเภทของไอโลหะที่นำมาเคลือบ รวมทั้งยังสามารถย้อมสีของฟิล์มเพื่อให้ฟิล์มมีสีต่างๆ ได้ โดยปกติกระบวนการเคลือบไอโลหะมีขั้นตอนซับซ้อน และค่าใช้จ่ายสูง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">กาวสะท้อนคุณภาพฟิล์ม</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสงที่ดีจะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของกาวด้วย กาวที่ดีต้องมีความบางใส และเหนียว เมื่อติดแล้วต้องทนทานต่อสภาวะความร้อนเย็นของกระจกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลา ยึดติดกับกระจกได้ดีไม่ทำให้ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ พอง ลอก ล่อน เป็นฟองอากาศ อีกทั้งกาวที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ติดแน่นกับเนื้อฟิล์ม เมื่อต้องการลอกฟิล์มออกมา กาวควรอยู่บนด้านฟิล์มมิใช่ด้านกระจก รวมทั้งกาวจะต้องไม่เปลี่ยนสี ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟิล์มที่ติด ที่เรียกว่าฟิล์มเป็นสนิม</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">นอก จากนี้ ฟิล์มที่ดีจะต้องป้องกันรอยขีดข่วน หรือเคลือบสารกันรอยขีดข่วน ฟิล์มกรองแสงทำมาจากโพลีเอสเตอร์ มีจุดอ่อนในเรื่องความอ่อนของผิว ซึ่งมักสามารถเป็นรอยเส้นคล้ายรอยขนแมวได้ง่าย เมื่อมีการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ แต่ปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารเคมีที่ทำหน้าที่เคลือบแข็งบนผิวของฟิล์ม ทำหน้าที่ในการป้องกันการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ คุณสมบัตินี้ทำให้ฟิล์มมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และดูสวยงามตลอดอายุการใช้งาน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">จำ ไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานในการทำงานของเครื่องปรับอากาศในรถด้วย ซึ่งการเลือกฟิล์มที่มีค่า SHADING COEFFICENT (SC) ต่ำๆ ยังมีส่วนช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการปรับอากาศได้ และที่สำคัญต้องเป็นฟิล์มที่มีความปลอดภัยสามารถยืดเกาะกระจกได้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">รู้จักฟิล์มนิรภัย</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม นิรภัย คือ ฟิล์มที่ผ่านขั้นตอนการผลิตแบบเดียวกันกับฟิล์มกรองแสงแสงติดรถยนต์ หรืออาคารทั่วไป มีความแตกต่างตรงการเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์ และปริมาณกาวชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติในการยึดติดอย่างเหนียวแน่นให้มีมาก ชั้นกว่าฟิล์มทั่วไป การเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์และปริมาณกาวจะมากกว่าในปริมาณเท่าใด ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแรงทนทานที่ต้องการ</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">การ ติดตั้งฟิล์มนิรภัยที่กระจกธรรมดาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความแข็งแรงในการลดแรงกระแทกจากวัตถุภายนอกได้เมื่อเกิดเหตุ, การระเบิด, แผ่นดินไหว, พายุ ฯลฯ ฟิล์มนิรภัยจะช่วยยึดกระจกที่แตกออกไว้ด้วยกัน (ขึ้นอยู่กับความหนาของกระจกและกรอบด้วย) ช่วยป้องกันอันตรายและความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สินจากเศษกระจก</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> เกร็ดความรู้เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">พลังงาน แสงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 3 ชนิดคือ รังสีอินฟราเรด (IR) 53%, รังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV) 3%, แสงสว่าง 44% ความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงอาทิตย์ เกิดจากรังสีอินฟราเรดและแสงสว่างรวมกัน รังสีอินฟราเรดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์เท่านั้น ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่รู้สึกได้จากความร้อน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ส่วน การทดสอบการลดปริมาณความร้อน (ซึ่งมีค่า % ลดรังสีอินฟราเรดรวมกับค่า % ลดความร้อนจากแสงสว่าง) ควรวัดจากแสงแดดโดยตรงจะได้ผลที่ถูกต้องกว่าการวัดปริมาณความร้อนจากไฟ สปอตไลท์ เนื่องจากแหล่งกำเนิดความร้อนทั้งสองมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้น เชิง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">กราฟเปรียบเทียบค่า % การลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด, สปอตไลท์ และแสงแดดของฟิล์มคุณภาพเยี่ยม</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">สรุปวิธีการพิจารณาค่า % การลดความร้อนก่อนเลือกซื้อฟิล์มกรองแสง คือ</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">1.ต้องเป็น % การลดความร้อนจากแสงแดดโดยรวมเท่านั้น มิใช่เฉพาะแค่รังสีอินฟาเรด หรือค่าจากแสงสปอตไลท์</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">2.ค่า % การลดความร้อนต้องเป็นค่าที่ทดสอบตามมาตรฐาน ASHRAE และ AIMCAL มิใช่ค่าที่ผู้ขายจัดพิมพ์ขึ้นมาเอง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><span style="color: Red"><font size="3">วิธีการดูแลรักษากระจกหลังการติดตั้งฟิล์มกรองแสง</font></span></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• โดยทั่วไปวิธีการติดตั้งฟิล์มกรองแสงจะต้องใช้น้ำผสมแชมพูแบบอ่อน ๆ หรือน้ำยา Film-on ฉีดลงไปบนด้านแผ่นกาวของฟิล์มและกระจกที่ติดตั้ง เพื่อช่วยขยับฟิล์มให้เข้าที่ แล้วจึงรีดน้ำออกด้วยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ ดังนั้น ภายหลังการติดตั้งท่านมิต้องกังวลใจหากพบว่ามีคราบน้ำขัง, กระจกมัว หรือเป็นฝ้า อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-4 สัปดาห์ เมื่อฟิล์มแห้งสนิทและกาวทำงานอย่างเต็มที่ในการยึดติดกระจก ช่วงระยะเวลา 7 วันแรกหลังการติดตั้งฟิล์มห้ามไขกระจกขึ้นลงเพราะฟิล์มอาจหลุดล่อนได้ </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ห้ามเช็ดถู หรือใช้น้ำล้างกระจกจนกว่าจะพ้น 21 วัน นับจากวันติดตั้ง </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ใช้ผ้าสะอาดและน้ำสะอาดเท่านั้นเช็ดทำความสะอาดกระจกที่ติดตั้งฟิล์มและเช็ดให้แห้งด้วยผ้านิ่ม ๆ ที่สะอาด </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ห้ามเช็ดถูด้วยผ้าที่ใช้เช็ดตัวถังรถ, เบาะ หรือวัสดุตกแต่งภายในรถ เนื่องจากอาจจะมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่เคลือบวัสดุดังกล่าวไปทำความเสีย หายให้กับผิวฟิล์มได้ </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ห้ามเช็ดถูด้วยผ้าเย็น, ขนแปรง, สก๊อตไบร์ท หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟิล์มได้ </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ห้ามเช็ดล้างด้วยน้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของสารแอมโมเนียโดยเด็ดขาด </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• รอยต่อของฟิล์มจำเป็นต้องเห็นในกรณีที่กระจกมีความโค้งมาก ๆ และอาจมากกว่า 1 รอยในกระจกบางรุ่น </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• กรณีหลังติดตั้ง 1-7 วัน ถ้าสังเกตเห็นฟองอากาศ แต่มิใช่คราบน้ำขังกรุณานำรถของท่านเข้าศูนย์ติดตั้งเพื่อตรวจสอบทันท </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><span style="color: Red"><font size="3">เทคนิคเลือกฟิล์มกรองแสง</font></span></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">เมือง ไทยเป็นเมืองร้อน ร้อยทั้งร้อย เมื่อมีรถใหม่ สิ่งแรกที่เจ้าของต้องติดตั้งเพิ่มเติม คือ ฟิล์มกรองแสง การเลือกฟิล์มกรองแสง สำหรับรถยนต์ โดยทั่วไปแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น แต่จะให้ประหยัดและคุ้มค่า ควรมีความเข้าใจพื้นฐาน และของระบบการทำงาน ของฟิล์มกรองแสง ซึ่งอาจจะช่วยให้ท่าน นำไปตัดสินใจได้ว่า จะเลือกอย่างไร จึงสมเหตุสมผล</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ปัจจุบัน นี้พบว่า ส่วนหนึ่งคนซื้อยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง โดยเฉพาะความเข้าใจระหว่างความทึบแสงกับความสามารถในการป้องกันความร้อน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ความ เข้าใจที่ว่า ฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบ ช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้ว สีของฟิล์มไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">รู้จักฟิล์มกรองแสง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสง ทำจากพลาสติก โพลีเอสเตอร์ที่มีความเหนียว บาง เรียบ สามารถแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับกระจก โดยยึดกระจกด้วยกาวที่มีความใส ดังนั้น เราจึงมองผ่านฟิล์มได้ชัดเจน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสงรถยนต์ที่ต้องการกันความร้อนนั้น ต่างไปกับฟิล์มลด แสงสว่างทั่วไป เพราะฟิล์มกรองแสงทั่วไป ย้อมสีเพื่อกรองแสงสว่างเท่านั้น ในขณะที่ฟิล์มกรองแสงที่กันความร้อนจะต้องลดรังสีอุลตราไวโอเลตได้ด้วย</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม ย้อมสี เป็นฟิล์มที่มีคุณสมบัติในการลดแสงสว่าง ที่ผ่านเข้ามาทางกระจกเท่านั้น แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติในการลดความร้อน หรือหากมีก็มีเพียงเล็กน้อย เมื่อมีการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ฟิล์มจะกลายสีเป็นสีม่วง ซึ่งให้ทัศนวิสัยในการขับขี่รถยนต์ที่ผิดเพี้ยน เป็นอันตราย แต่หากฟิล์มกรองแสงทั่วไปผลิตมาจากโพลีเอสเตอร์คุณภาพสูง จะมีคุณสมบัติในการลดรังสีอุลตราไวโอเลตด้วย</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสงลดความร้อน หรือ ฟิล์มเคลือบโลหะ เป็นฟิล์มกรองแสงที่มีคุณสมบัติในการลดความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางกระจกได้ดี โดยอาศัยคุณสมบัติของไอโลหะที่เคลือบบนฟิล์มในการกรองความร้อน และสะท้อนความร้อน ซึ่งมีผลให้ความร้อนผ่านเข้ามาทางกระจกได้น้อยลง สีของฟิล์มที่ได้จะแตกต่างไปตามประเภทของไอโลหะที่นำมาเคลือบ รวมทั้งยังสามารถย้อมสีของฟิล์มเพื่อให้ฟิล์มมีสีต่างๆ ได้ โดยปกติกระบวนการเคลือบไอโลหะมีขั้นตอนซับซ้อน และค่าใช้จ่ายสูง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">กาวสะท้อนคุณภาพฟิล์ม</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม กรองแสงที่ดีจะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของกาวด้วย กาวที่ดีต้องมีความบางใส และเหนียว เมื่อติดแล้วต้องทนทานต่อสภาวะความร้อนเย็นของกระจกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลา ยึดติดกับกระจกได้ดีไม่ทำให้ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ พอง ลอก ล่อน เป็นฟองอากาศ อีกทั้งกาวที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ติดแน่นกับเนื้อฟิล์ม เมื่อต้องการลอกฟิล์มออกมา กาวควรอยู่บนด้านฟิล์มมิใช่ด้านกระจก รวมทั้งกาวจะต้องไม่เปลี่ยนสี ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟิล์มที่ติด ที่เรียกว่าฟิล์มเป็นสนิม</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">นอก จากนี้ ฟิล์มที่ดีจะต้องป้องกันรอยขีดข่วน หรือเคลือบสารกันรอยขีดข่วน ฟิล์มกรองแสงทำมาจากโพลีเอสเตอร์ มีจุดอ่อนในเรื่องความอ่อนของผิว ซึ่งมักสามารถเป็นรอยเส้นคล้ายรอยขนแมวได้ง่าย เมื่อมีการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ แต่ปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารเคมีที่ทำหน้าที่เคลือบแข็งบนผิวของฟิล์ม ทำหน้าที่ในการป้องกันการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ คุณสมบัตินี้ทำให้ฟิล์มมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และดูสวยงามตลอดอายุการใช้งาน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">จำ ไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานในการทำงานของเครื่องปรับอากาศในรถด้วย ซึ่งการเลือกฟิล์มที่มีค่า SHADING COEFFICENT (SC) ต่ำๆ ยังมีส่วนช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการปรับอากาศได้ และที่สำคัญต้องเป็นฟิล์มที่มีความปลอดภัยสามารถยืดเกาะกระจกได้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><font size="3"><span style="color: Red">รู้จักฟิล์มนิรภัย</span></font></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ฟิล์ม นิรภัย คือ ฟิล์มที่ผ่านขั้นตอนการผลิตแบบเดียวกันกับฟิล์มกรองแสงแสงติดรถยนต์ หรืออาคารทั่วไป มีความแตกต่างตรงการเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์ และปริมาณกาวชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติในการยึดติดอย่างเหนียวแน่นให้มีมาก ชั้นกว่าฟิล์มทั่วไป การเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์และปริมาณกาวจะมากกว่าในปริมาณเท่าใด ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแรงทนทานที่ต้องการ</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">การ ติดตั้งฟิล์มนิรภัยที่กระจกธรรมดาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความแข็งแรงในการลดแรงกระแทกจากวัตถุภายนอกได้เมื่อเกิดเหตุ, การระเบิด, แผ่นดินไหว, พายุ ฯลฯ ฟิล์มนิรภัยจะช่วยยึดกระจกที่แตกออกไว้ด้วยกัน (ขึ้นอยู่กับความหนาของกระจกและกรอบด้วย) ช่วยป้องกันอันตรายและความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สินจากเศษกระจก</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><span style="color: Red"><font size="3">เกร็ดความรู้เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์</font></span></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">พลังงาน แสงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 3 ชนิดคือ รังสีอินฟราเรด (IR) 53%, รังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV) 3%, แสงสว่าง 44% ความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงอาทิตย์ เกิดจากรังสีอินฟราเรดและแสงสว่างรวมกัน รังสีอินฟราเรดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์เท่านั้น ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่รู้สึกได้จากความร้อน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ส่วน การทดสอบการลดปริมาณความร้อน (ซึ่งมีค่า % ลดรังสีอินฟราเรดรวมกับค่า % ลดความร้อนจากแสงสว่าง) ควรวัดจากแสงแดดโดยตรงจะได้ผลที่ถูกต้องกว่าการวัดปริมาณความร้อนจากไฟ สปอตไลท์ เนื่องจากแหล่งกำเนิดความร้อนทั้งสองมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้น เชิง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">กราฟเปรียบเทียบค่า % การลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด, สปอตไลท์ และแสงแดดของฟิล์มคุณภาพเยี่ยม</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><font size="3"><span style="color: Red">สรุปวิธีการพิจารณาค่า % การลดความร้อนก่อนเลือกซื้อฟิล์มกรองแสง คือ</span></font></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">1.ต้องเป็น % การลดความร้อนจากแสงแดดโดยรวมเท่านั้น มิใช่เฉพาะแค่รังสีอินฟาเรด หรือค่าจากแสงสปอตไลท์</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">2.ค่า % การลดความร้อนต้องเป็นค่าที่ทดสอบตามมาตรฐาน ASHRAE และ AIMCAL มิใช่ค่าที่ผู้ขายจัดพิมพ์ขึ้นมาเอง โดยไม่มีมาตรฐานรับรอง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><span style="color: Red"><font size="3">ประโยชน์ของการติดฟิล์ม</font></span></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ช่วยลดแสงจ้า ให้ความรู้สึกสบายตา ลดความเครียดของสายตา</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ประหยัดไฟฟ้า ช่วยให้เครื่องปรับอากาศภายในอาคารไม่ต้องทำงานหนัก</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ชะลอความซีดจางของวัสดุ เครื่องใช้ และเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• เคลือบสารกันรอยขีดข่วน เพื่อให้ดูแลรักษาง่าย และให้ความสวยงามทนทาน</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ลดความร้อนจากแสงแดดได้สูงสุดถึง 79% (ขึ้นอยู่กับฟิล์มแต่ละรุ่น)</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV) ได้มากกว่า 99%</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากการโจรกรรม อุบัติเหตุ</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติ เช่น พายุ แผ่นดินไหว</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">• ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากภัยระเบิด</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"> </font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ความหนาของฟิล์มกรองแสงคุณภาพเยี่ยมจะอยู่ระหว่าง 1.5-2.0 มิล (.0015-.0020 นิ้ว) ฟิล์มนิรภัยที่มีความหนาในระดับ 2.0 มิล จะถูกจัดเป็นฟิล์ม Class C เท่านั้น หากเป็นฟิล์มนิรภัยที่มีคุณภาพจะต้องหนาตั้งแต่ 4 มิล หรือ 100 ไมครอนขึ้นไป</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">* ฟิล์มนิรภัยไม่สามารถป้องกันการแตกของกระจกได้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><font size="3"><span style="color: Red">วิธีดูแลฟิล์มกรองแสงหลังติดตั้ง</span></font></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">โดยทั่วไปวิธีการติดตั้งฟิล์มกรองแสงจะต้องใช้น้ำ ผสมกับแชทพูแบบอ่อนๆ ฉีดลงไปบนด้านแผ่นกาวของฟิล์มและกระจกที่จะติดตั้งเพื่อช่วยให้ขยับฟิล์มให้ เข้าที่แล้วจึงรีดน้ำและอากาศออกด้วยเครื่องมือชนิดต่างๆ ดังนั้นภายหลังจะพบว่าจะมีคราบน้ำขัง , กระจกมัว หรือเป็นฝ้าที่กระจก ก่อนที่อาการเหล่านี้จะหายไปเอง ภายในเวลา 1-4 สัปดาห์</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">เมื่อฟิล์มแห้งสนิทและกาวทำงานอย่างเต็มที่แล้วในการยึดติดกระจก ควรปฎิบัติดังนี้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">. ห้ามเลื่อนกระจกขึ้น - ลงเป็นเวลา 7 วัน หลังจากติดตั้งฟิล์ม เพื่อให้ฟิล์มอยู่ตัว</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">ระยะเวลาในการอยู่ตัวของฟิล์มจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิล์มที่ติดตั้ง อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ คราบความชื้นที่อยู่ระหว่างกระจกกับฟิล์ม อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างนี้แต่จะแห้งและหายหมดไปเอง</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">. งดใช้ระบบละลายฝ้าที่กระจกหลังเป็นเวลา 30 วัน หลังจากติดตั้งฟิล์มเพราะจะทำให้ฟิล์มเกิดการเสียหายได้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">. ห้ามใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ , ผ้าหยาบ , ขนแปรง , สก็อตไบร์ท หรือวัสดุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟิล์มได้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">. ห้ามเช็ดล้างด้วยน้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของสารแอมโมเนียเช็ดทำความสะอาดฟิล์มโดยเด็ดขาด</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">. หากต้องการทำความสะอาดฟิล์ม ให้ใช้ผ้านุ่น และน้ำหรือน้ำสบู่อ่อนๆ เช็ดทำความสะอาดฟิล์ม ซึ่งจะช่วยทำให้เนื้อฟิล์มใสและรักษาเนื้อฟิล์มได้ดี</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">. ก่อนเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง ควรตรวจสอบเสมอว่าในผ้าหรือทิชชูใดๆที่ใช้ ไม่มีผงฝุ่นหรือเม็ดทรายในผ้า เพราะจะทำให้คุณสมบัติของสารเคลือบฟิล์มเสียหายหรือลดคุณภาพได้</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">. ควรจอดรถตากแดดหลังจากติดตั้งฟิล์ม เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15-21 วันเพราะจะช่วยให้กาวในเนื้อฟิล์มแห้งเร็วขึ้น</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราแน่ใจได้ว่า เราได้ฟิล์มติดรถยนต์ที่มีคุณภาพ และทราบการดูแลรักษากระจกรถอย่างถูกวิธี เพราะในการดูแลเอาใจใส่ฟิล์มติดรถยนต์ที่ติดตั้งมาใหม่อย่างถูกวิธีนั้น จะทำให้ฟิล์มที่เราติดตั้งมานั้นอยู่คู่กับรถไปได้ทนทานนาน 7-10 ปีทีเดียว</font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3"><br /></font></span></p><p><span style="color: Lime"><font size="3">.</font></span>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="silver dragon, post: 884359, member: 11490"][COLOR="Lime"][SIZE="3"]อ่านยาวเลยนะครับ...... [COLOR="Red"][SIZE="3"]ความรู้เกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง[/SIZE][/COLOR] เทคนิคเลือกฟิล์มกรองแสง เมือง ไทยเป็นเมืองร้อน ร้อยทั้งร้อย เมื่อมีรถใหม่ สิ่งแรกที่เจ้าของต้องติดตั้งเพิ่มเติม คือ ฟิล์มกรองแสง การเลือกฟิล์มกรองแสง สำหรับรถยนต์ โดยทั่วไปแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น แต่จะให้ประหยัดและคุ้มค่า ควรมีความเข้าใจพื้นฐาน และของระบบการทำงาน ของฟิล์มกรองแสง ซึ่งอาจจะช่วยให้ท่าน นำไปตัดสินใจได้ว่า จะเลือกอย่างไร จึงสมเหตุสมผล ปัจจุบัน นี้พบว่า ส่วนหนึ่งคนซื้อยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง โดยเฉพาะความเข้าใจระหว่างความทึบแสงกับความสามารถในการป้องกันความร้อน ความ เข้าใจที่ว่า ฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบ ช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้ว สีของฟิล์มไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้ รู้จักฟิล์มกรองแสง ฟิล์ม กรองแสง ทำจากพลาสติก โพลีเอสเตอร์ที่มีความเหนียว บาง เรียบ สามารถแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับกระจก โดยยึดกระจกด้วยกาวที่มีความใส ดังนั้น เราจึงมองผ่านฟิล์มได้ชัดเจน ฟิล์ม กรองแสงรถยนต์ที่ต้องการกันความร้อนนั้น ต่างไปกับฟิล์มลด แสงสว่างทั่วไป เพราะฟิล์มกรองแสงทั่วไป ย้อมสีเพื่อกรองแสงสว่างเท่านั้น ในขณะที่ฟิล์มกรองแสงที่กันความร้อนจะต้องลดรังสีอุลตราไวโอเลตได้ด้วย ฟิล์ม ย้อมสี เป็นฟิล์มที่มีคุณสมบัติในการลดแสงสว่าง ที่ผ่านเข้ามาทางกระจกเท่านั้น แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติในการลดความร้อน หรือหากมีก็มีเพียงเล็กน้อย เมื่อมีการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ฟิล์มจะกลายสีเป็นสีม่วง ซึ่งให้ทัศนวิสัยในการขับขี่รถยนต์ที่ผิดเพี้ยน เป็นอันตราย แต่หากฟิล์มกรองแสงทั่วไปผลิตมาจากโพลีเอสเตอร์คุณภาพสูง จะมีคุณสมบัติในการลดรังสีอุลตราไวโอเลตด้วย ฟิล์ม กรองแสงลดความร้อน หรือ ฟิล์มเคลือบโลหะ เป็นฟิล์มกรองแสงที่มีคุณสมบัติในการลดความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางกระจกได้ดี โดยอาศัยคุณสมบัติของไอโลหะที่เคลือบบนฟิล์มในการกรองความร้อน และสะท้อนความร้อน ซึ่งมีผลให้ความร้อนผ่านเข้ามาทางกระจกได้น้อยลง สีของฟิล์มที่ได้จะแตกต่างไปตามประเภทของไอโลหะที่นำมาเคลือบ รวมทั้งยังสามารถย้อมสีของฟิล์มเพื่อให้ฟิล์มมีสีต่างๆ ได้ โดยปกติกระบวนการเคลือบไอโลหะมีขั้นตอนซับซ้อน และค่าใช้จ่ายสูง กาวสะท้อนคุณภาพฟิล์ม ฟิล์ม กรองแสงที่ดีจะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของกาวด้วย กาวที่ดีต้องมีความบางใส และเหนียว เมื่อติดแล้วต้องทนทานต่อสภาวะความร้อนเย็นของกระจกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลา ยึดติดกับกระจกได้ดีไม่ทำให้ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ พอง ลอก ล่อน เป็นฟองอากาศ อีกทั้งกาวที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ติดแน่นกับเนื้อฟิล์ม เมื่อต้องการลอกฟิล์มออกมา กาวควรอยู่บนด้านฟิล์มมิใช่ด้านกระจก รวมทั้งกาวจะต้องไม่เปลี่ยนสี ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟิล์มที่ติด ที่เรียกว่าฟิล์มเป็นสนิม นอก จากนี้ ฟิล์มที่ดีจะต้องป้องกันรอยขีดข่วน หรือเคลือบสารกันรอยขีดข่วน ฟิล์มกรองแสงทำมาจากโพลีเอสเตอร์ มีจุดอ่อนในเรื่องความอ่อนของผิว ซึ่งมักสามารถเป็นรอยเส้นคล้ายรอยขนแมวได้ง่าย เมื่อมีการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ แต่ปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารเคมีที่ทำหน้าที่เคลือบแข็งบนผิวของฟิล์ม ทำหน้าที่ในการป้องกันการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ คุณสมบัตินี้ทำให้ฟิล์มมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และดูสวยงามตลอดอายุการใช้งาน จำ ไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานในการทำงานของเครื่องปรับอากาศในรถด้วย ซึ่งการเลือกฟิล์มที่มีค่า SHADING COEFFICENT (SC) ต่ำๆ ยังมีส่วนช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการปรับอากาศได้ และที่สำคัญต้องเป็นฟิล์มที่มีความปลอดภัยสามารถยืดเกาะกระจกได้ รู้จักฟิล์มนิรภัย ฟิล์ม นิรภัย คือ ฟิล์มที่ผ่านขั้นตอนการผลิตแบบเดียวกันกับฟิล์มกรองแสงแสงติดรถยนต์ หรืออาคารทั่วไป มีความแตกต่างตรงการเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์ และปริมาณกาวชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติในการยึดติดอย่างเหนียวแน่นให้มีมาก ชั้นกว่าฟิล์มทั่วไป การเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์และปริมาณกาวจะมากกว่าในปริมาณเท่าใด ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแรงทนทานที่ต้องการ การ ติดตั้งฟิล์มนิรภัยที่กระจกธรรมดาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความแข็งแรงในการลดแรงกระแทกจากวัตถุภายนอกได้เมื่อเกิดเหตุ, การระเบิด, แผ่นดินไหว, พายุ ฯลฯ ฟิล์มนิรภัยจะช่วยยึดกระจกที่แตกออกไว้ด้วยกัน (ขึ้นอยู่กับความหนาของกระจกและกรอบด้วย) ช่วยป้องกันอันตรายและความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สินจากเศษกระจก เกร็ดความรู้เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์ พลังงาน แสงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 3 ชนิดคือ รังสีอินฟราเรด (IR) 53%, รังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV) 3%, แสงสว่าง 44% ความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงอาทิตย์ เกิดจากรังสีอินฟราเรดและแสงสว่างรวมกัน รังสีอินฟราเรดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์เท่านั้น ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่รู้สึกได้จากความร้อน ส่วน การทดสอบการลดปริมาณความร้อน (ซึ่งมีค่า % ลดรังสีอินฟราเรดรวมกับค่า % ลดความร้อนจากแสงสว่าง) ควรวัดจากแสงแดดโดยตรงจะได้ผลที่ถูกต้องกว่าการวัดปริมาณความร้อนจากไฟ สปอตไลท์ เนื่องจากแหล่งกำเนิดความร้อนทั้งสองมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้น เชิง กราฟเปรียบเทียบค่า % การลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด, สปอตไลท์ และแสงแดดของฟิล์มคุณภาพเยี่ยม สรุปวิธีการพิจารณาค่า % การลดความร้อนก่อนเลือกซื้อฟิล์มกรองแสง คือ 1.ต้องเป็น % การลดความร้อนจากแสงแดดโดยรวมเท่านั้น มิใช่เฉพาะแค่รังสีอินฟาเรด หรือค่าจากแสงสปอตไลท์ 2.ค่า % การลดความร้อนต้องเป็นค่าที่ทดสอบตามมาตรฐาน ASHRAE และ AIMCAL มิใช่ค่าที่ผู้ขายจัดพิมพ์ขึ้นมาเอง [COLOR="Red"][SIZE="3"]วิธีการดูแลรักษากระจกหลังการติดตั้งฟิล์มกรองแสง[/SIZE][/COLOR] • โดยทั่วไปวิธีการติดตั้งฟิล์มกรองแสงจะต้องใช้น้ำผสมแชมพูแบบอ่อน ๆ หรือน้ำยา Film-on ฉีดลงไปบนด้านแผ่นกาวของฟิล์มและกระจกที่ติดตั้ง เพื่อช่วยขยับฟิล์มให้เข้าที่ แล้วจึงรีดน้ำออกด้วยเครื่องมือชนิดต่าง ๆ ดังนั้น ภายหลังการติดตั้งท่านมิต้องกังวลใจหากพบว่ามีคราบน้ำขัง, กระจกมัว หรือเป็นฝ้า อาการเหล่านี้จะหายไปเองภายใน 1-4 สัปดาห์ เมื่อฟิล์มแห้งสนิทและกาวทำงานอย่างเต็มที่ในการยึดติดกระจก ช่วงระยะเวลา 7 วันแรกหลังการติดตั้งฟิล์มห้ามไขกระจกขึ้นลงเพราะฟิล์มอาจหลุดล่อนได้ • ห้ามเช็ดถู หรือใช้น้ำล้างกระจกจนกว่าจะพ้น 21 วัน นับจากวันติดตั้ง • ใช้ผ้าสะอาดและน้ำสะอาดเท่านั้นเช็ดทำความสะอาดกระจกที่ติดตั้งฟิล์มและเช็ดให้แห้งด้วยผ้านิ่ม ๆ ที่สะอาด • ห้ามเช็ดถูด้วยผ้าที่ใช้เช็ดตัวถังรถ, เบาะ หรือวัสดุตกแต่งภายในรถ เนื่องจากอาจจะมีการปนเปื้อนของสารเคมีที่เคลือบวัสดุดังกล่าวไปทำความเสีย หายให้กับผิวฟิล์มได้ • ห้ามเช็ดถูด้วยผ้าเย็น, ขนแปรง, สก๊อตไบร์ท หรือวัสดุอื่น ๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟิล์มได้ • ห้ามเช็ดล้างด้วยน้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของสารแอมโมเนียโดยเด็ดขาด • รอยต่อของฟิล์มจำเป็นต้องเห็นในกรณีที่กระจกมีความโค้งมาก ๆ และอาจมากกว่า 1 รอยในกระจกบางรุ่น • กรณีหลังติดตั้ง 1-7 วัน ถ้าสังเกตเห็นฟองอากาศ แต่มิใช่คราบน้ำขังกรุณานำรถของท่านเข้าศูนย์ติดตั้งเพื่อตรวจสอบทันท [COLOR="Red"][SIZE="3"]เทคนิคเลือกฟิล์มกรองแสง[/SIZE][/COLOR] เมือง ไทยเป็นเมืองร้อน ร้อยทั้งร้อย เมื่อมีรถใหม่ สิ่งแรกที่เจ้าของต้องติดตั้งเพิ่มเติม คือ ฟิล์มกรองแสง การเลือกฟิล์มกรองแสง สำหรับรถยนต์ โดยทั่วไปแล้ว เป็นเรื่องที่ไม่ยากเย็น แต่จะให้ประหยัดและคุ้มค่า ควรมีความเข้าใจพื้นฐาน และของระบบการทำงาน ของฟิล์มกรองแสง ซึ่งอาจจะช่วยให้ท่าน นำไปตัดสินใจได้ว่า จะเลือกอย่างไร จึงสมเหตุสมผล ปัจจุบัน นี้พบว่า ส่วนหนึ่งคนซื้อยังมีความเข้าใจคลาดเคลื่อนเกี่ยวกับฟิล์มกรองแสง โดยเฉพาะความเข้าใจระหว่างความทึบแสงกับความสามารถในการป้องกันความร้อน ความ เข้าใจที่ว่า ฟิล์มที่มีสีเข้มหรือทึบ ช่วยลดความร้อนได้ดี ในความจริงแล้ว สีของฟิล์มไม่ได้เป็นตัวช่วยลดความร้อน แต่กลับเป็นสารเคลือบตัวอื่นๆ ที่ทำหน้าที่หลักนี้ รู้จักฟิล์มกรองแสง ฟิล์ม กรองแสง ทำจากพลาสติก โพลีเอสเตอร์ที่มีความเหนียว บาง เรียบ สามารถแนบสนิทเป็นเนื้อเดียวกับกระจก โดยยึดกระจกด้วยกาวที่มีความใส ดังนั้น เราจึงมองผ่านฟิล์มได้ชัดเจน ฟิล์ม กรองแสงรถยนต์ที่ต้องการกันความร้อนนั้น ต่างไปกับฟิล์มลด แสงสว่างทั่วไป เพราะฟิล์มกรองแสงทั่วไป ย้อมสีเพื่อกรองแสงสว่างเท่านั้น ในขณะที่ฟิล์มกรองแสงที่กันความร้อนจะต้องลดรังสีอุลตราไวโอเลตได้ด้วย ฟิล์ม ย้อมสี เป็นฟิล์มที่มีคุณสมบัติในการลดแสงสว่าง ที่ผ่านเข้ามาทางกระจกเท่านั้น แต่ไม่ได้มีคุณสมบัติในการลดความร้อน หรือหากมีก็มีเพียงเล็กน้อย เมื่อมีการใช้งานไปสักระยะหนึ่ง ฟิล์มจะกลายสีเป็นสีม่วง ซึ่งให้ทัศนวิสัยในการขับขี่รถยนต์ที่ผิดเพี้ยน เป็นอันตราย แต่หากฟิล์มกรองแสงทั่วไปผลิตมาจากโพลีเอสเตอร์คุณภาพสูง จะมีคุณสมบัติในการลดรังสีอุลตราไวโอเลตด้วย ฟิล์ม กรองแสงลดความร้อน หรือ ฟิล์มเคลือบโลหะ เป็นฟิล์มกรองแสงที่มีคุณสมบัติในการลดความร้อนที่ผ่านเข้ามาทางกระจกได้ดี โดยอาศัยคุณสมบัติของไอโลหะที่เคลือบบนฟิล์มในการกรองความร้อน และสะท้อนความร้อน ซึ่งมีผลให้ความร้อนผ่านเข้ามาทางกระจกได้น้อยลง สีของฟิล์มที่ได้จะแตกต่างไปตามประเภทของไอโลหะที่นำมาเคลือบ รวมทั้งยังสามารถย้อมสีของฟิล์มเพื่อให้ฟิล์มมีสีต่างๆ ได้ โดยปกติกระบวนการเคลือบไอโลหะมีขั้นตอนซับซ้อน และค่าใช้จ่ายสูง กาวสะท้อนคุณภาพฟิล์ม ฟิล์ม กรองแสงที่ดีจะต้องพิจารณาจากคุณสมบัติของกาวด้วย กาวที่ดีต้องมีความบางใส และเหนียว เมื่อติดแล้วต้องทนทานต่อสภาวะความร้อนเย็นของกระจกที่เปลี่ยนแปลงอยู่ตลอด เวลา ยึดติดกับกระจกได้ดีไม่ทำให้ฟิล์มกรองแสงนั้นๆ พอง ลอก ล่อน เป็นฟองอากาศ อีกทั้งกาวที่ดีควรมีคุณสมบัติที่ติดแน่นกับเนื้อฟิล์ม เมื่อต้องการลอกฟิล์มออกมา กาวควรอยู่บนด้านฟิล์มมิใช่ด้านกระจก รวมทั้งกาวจะต้องไม่เปลี่ยนสี ซึ่งก่อให้เกิดการเปลี่ยนสีของฟิล์มที่ติด ที่เรียกว่าฟิล์มเป็นสนิม นอก จากนี้ ฟิล์มที่ดีจะต้องป้องกันรอยขีดข่วน หรือเคลือบสารกันรอยขีดข่วน ฟิล์มกรองแสงทำมาจากโพลีเอสเตอร์ มีจุดอ่อนในเรื่องความอ่อนของผิว ซึ่งมักสามารถเป็นรอยเส้นคล้ายรอยขนแมวได้ง่าย เมื่อมีการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ แต่ปัจจุบันได้มีการคิดค้นสารเคมีที่ทำหน้าที่เคลือบแข็งบนผิวของฟิล์ม ทำหน้าที่ในการป้องกันการขีดข่วนจากการใช้งานปกติ คุณสมบัตินี้ทำให้ฟิล์มมีอายุการใช้งานที่ยาวนานขึ้น และดูสวยงามตลอดอายุการใช้งาน จำ ไว้ว่าฟิล์มกรองแสงที่ดีไม่ใช่ฟิล์มที่ช่วยลดแสงจ้าได้เพียงอย่างเดียว แต่ต้องมีความสามารถในการสะท้อนแสงอาทิตย์ได้ ทำให้ผู้ใช้รู้สึกสบายในการขับขี่ รวมทั้งช่วยประหยัดพลังงานในการทำงานของเครื่องปรับอากาศในรถด้วย ซึ่งการเลือกฟิล์มที่มีค่า SHADING COEFFICENT (SC) ต่ำๆ ยังมีส่วนช่วยลดพลังงานที่ใช้ในการปรับอากาศได้ และที่สำคัญต้องเป็นฟิล์มที่มีความปลอดภัยสามารถยืดเกาะกระจกได้ [SIZE="3"][COLOR="Red"]รู้จักฟิล์มนิรภัย[/COLOR][/SIZE] ฟิล์ม นิรภัย คือ ฟิล์มที่ผ่านขั้นตอนการผลิตแบบเดียวกันกับฟิล์มกรองแสงแสงติดรถยนต์ หรืออาคารทั่วไป มีความแตกต่างตรงการเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์ และปริมาณกาวชนิดพิเศษที่มีคุณสมบัติในการยึดติดอย่างเหนียวแน่นให้มีมาก ชั้นกว่าฟิล์มทั่วไป การเพิ่มชั้นโพลีเอสเตอร์และปริมาณกาวจะมากกว่าในปริมาณเท่าใด ขึ้นอยู่กับระดับความแข็งแรงทนทานที่ต้องการ การ ติดตั้งฟิล์มนิรภัยที่กระจกธรรมดาจะช่วยเพิ่มประสิทธิภาพ และความแข็งแรงในการลดแรงกระแทกจากวัตถุภายนอกได้เมื่อเกิดเหตุ, การระเบิด, แผ่นดินไหว, พายุ ฯลฯ ฟิล์มนิรภัยจะช่วยยึดกระจกที่แตกออกไว้ด้วยกัน (ขึ้นอยู่กับความหนาของกระจกและกรอบด้วย) ช่วยป้องกันอันตรายและความเสียหายของชีวิตและทรัพย์สินจากเศษกระจก [COLOR="Red"][SIZE="3"]เกร็ดความรู้เกี่ยวกับพลังงานแสงอาทิตย์[/SIZE][/COLOR] พลังงาน แสงอาทิตย์ประกอบด้วยรังสี 3 ชนิดคือ รังสีอินฟราเรด (IR) 53%, รังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV) 3%, แสงสว่าง 44% ความร้อนที่เกิดขึ้นจากแสงอาทิตย์ เกิดจากรังสีอินฟราเรดและแสงสว่างรวมกัน รังสีอินฟราเรดเป็นเพียงส่วนหนึ่งของแสงอาทิตย์เท่านั้น ไม่สามารถเห็นได้ด้วยตาเปล่าแต่รู้สึกได้จากความร้อน ส่วน การทดสอบการลดปริมาณความร้อน (ซึ่งมีค่า % ลดรังสีอินฟราเรดรวมกับค่า % ลดความร้อนจากแสงสว่าง) ควรวัดจากแสงแดดโดยตรงจะได้ผลที่ถูกต้องกว่าการวัดปริมาณความร้อนจากไฟ สปอตไลท์ เนื่องจากแหล่งกำเนิดความร้อนทั้งสองมีส่วนประกอบที่แตกต่างกันอย่างสิ้น เชิง กราฟเปรียบเทียบค่า % การลดความร้อนจากรังสีอินฟราเรด, สปอตไลท์ และแสงแดดของฟิล์มคุณภาพเยี่ยม [SIZE="3"][COLOR="Red"]สรุปวิธีการพิจารณาค่า % การลดความร้อนก่อนเลือกซื้อฟิล์มกรองแสง คือ[/COLOR][/SIZE] 1.ต้องเป็น % การลดความร้อนจากแสงแดดโดยรวมเท่านั้น มิใช่เฉพาะแค่รังสีอินฟาเรด หรือค่าจากแสงสปอตไลท์ 2.ค่า % การลดความร้อนต้องเป็นค่าที่ทดสอบตามมาตรฐาน ASHRAE และ AIMCAL มิใช่ค่าที่ผู้ขายจัดพิมพ์ขึ้นมาเอง โดยไม่มีมาตรฐานรับรอง [COLOR="Red"][SIZE="3"]ประโยชน์ของการติดฟิล์ม[/SIZE][/COLOR] • ช่วยลดแสงจ้า ให้ความรู้สึกสบายตา ลดความเครียดของสายตา • ประหยัดไฟฟ้า ช่วยให้เครื่องปรับอากาศภายในอาคารไม่ต้องทำงานหนัก • ชะลอความซีดจางของวัสดุ เครื่องใช้ และเฟอร์นิเจอร์ภายในบ้าน • เคลือบสารกันรอยขีดข่วน เพื่อให้ดูแลรักษาง่าย และให้ความสวยงามทนทาน • ลดความร้อนจากแสงแดดได้สูงสุดถึง 79% (ขึ้นอยู่กับฟิล์มแต่ละรุ่น) • ป้องกันรังสีอุลตร้าไวโอเลต (UV) ได้มากกว่า 99% • ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากการโจรกรรม อุบัติเหตุ • ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากภัยธรรมชาติ เช่น พายุ แผ่นดินไหว • ปกป้องชีวิตและทรัพย์สินจากภัยระเบิด ความหนาของฟิล์มกรองแสงคุณภาพเยี่ยมจะอยู่ระหว่าง 1.5-2.0 มิล (.0015-.0020 นิ้ว) ฟิล์มนิรภัยที่มีความหนาในระดับ 2.0 มิล จะถูกจัดเป็นฟิล์ม Class C เท่านั้น หากเป็นฟิล์มนิรภัยที่มีคุณภาพจะต้องหนาตั้งแต่ 4 มิล หรือ 100 ไมครอนขึ้นไป * ฟิล์มนิรภัยไม่สามารถป้องกันการแตกของกระจกได้ [SIZE="3"][COLOR="Red"]วิธีดูแลฟิล์มกรองแสงหลังติดตั้ง[/COLOR][/SIZE] โดยทั่วไปวิธีการติดตั้งฟิล์มกรองแสงจะต้องใช้น้ำ ผสมกับแชทพูแบบอ่อนๆ ฉีดลงไปบนด้านแผ่นกาวของฟิล์มและกระจกที่จะติดตั้งเพื่อช่วยให้ขยับฟิล์มให้ เข้าที่แล้วจึงรีดน้ำและอากาศออกด้วยเครื่องมือชนิดต่างๆ ดังนั้นภายหลังจะพบว่าจะมีคราบน้ำขัง , กระจกมัว หรือเป็นฝ้าที่กระจก ก่อนที่อาการเหล่านี้จะหายไปเอง ภายในเวลา 1-4 สัปดาห์ เมื่อฟิล์มแห้งสนิทและกาวทำงานอย่างเต็มที่แล้วในการยึดติดกระจก ควรปฎิบัติดังนี้ . ห้ามเลื่อนกระจกขึ้น - ลงเป็นเวลา 7 วัน หลังจากติดตั้งฟิล์ม เพื่อให้ฟิล์มอยู่ตัว ระยะเวลาในการอยู่ตัวของฟิล์มจะใช้เวลาประมาณ 2-3 สัปดาห์ ขึ้นอยู่กับชนิดของฟิล์มที่ติดตั้ง อุณหภูมิและความชื้นในอากาศ คราบความชื้นที่อยู่ระหว่างกระจกกับฟิล์ม อาจเกิดขึ้นได้ในระหว่างนี้แต่จะแห้งและหายหมดไปเอง . งดใช้ระบบละลายฝ้าที่กระจกหลังเป็นเวลา 30 วัน หลังจากติดตั้งฟิล์มเพราะจะทำให้ฟิล์มเกิดการเสียหายได้ . ห้ามใช้กระดาษหนังสือพิมพ์ , ผ้าหยาบ , ขนแปรง , สก็อตไบร์ท หรือวัสดุอื่นๆ ที่ทำให้เกิดความเสียหายแก่ฟิล์มได้ . ห้ามเช็ดล้างด้วยน้ำยาล้างกระจกที่มีส่วนผสมของสารแอมโมเนียเช็ดทำความสะอาดฟิล์มโดยเด็ดขาด . หากต้องการทำความสะอาดฟิล์ม ให้ใช้ผ้านุ่น และน้ำหรือน้ำสบู่อ่อนๆ เช็ดทำความสะอาดฟิล์ม ซึ่งจะช่วยทำให้เนื้อฟิล์มใสและรักษาเนื้อฟิล์มได้ดี . ก่อนเช็ดทำความสะอาดทุกครั้ง ควรตรวจสอบเสมอว่าในผ้าหรือทิชชูใดๆที่ใช้ ไม่มีผงฝุ่นหรือเม็ดทรายในผ้า เพราะจะทำให้คุณสมบัติของสารเคลือบฟิล์มเสียหายหรือลดคุณภาพได้ . ควรจอดรถตากแดดหลังจากติดตั้งฟิล์ม เป็นระยะเวลาอย่างน้อย 15-21 วันเพราะจะช่วยให้กาวในเนื้อฟิล์มแห้งเร็วขึ้น เพียงเท่านี้ก็จะทำให้เราแน่ใจได้ว่า เราได้ฟิล์มติดรถยนต์ที่มีคุณภาพ และทราบการดูแลรักษากระจกรถอย่างถูกวิธี เพราะในการดูแลเอาใจใส่ฟิล์มติดรถยนต์ที่ติดตั้งมาใหม่อย่างถูกวิธีนั้น จะทำให้ฟิล์มที่เราติดตั้งมานั้นอยู่คู่กับรถไปได้ทนทานนาน 7-10 ปีทีเดียว .[/SIZE][/COLOR][/QUOTE]
Log in with Facebook
Log in with Twitter
Log in with Google
Your name or email address:
Do you already have an account?
No, create an account now.
Yes, my password is:
Forgot your password?
Stay logged in
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
Forums
>
Community Car Clubs
>
Nissan Car Clubs
>
Primera & Presea Club
>
ความรู้ครับ....เยอะไปรึป่าวก้อไม่รู้????
>
Home
Home
Quick Links
Recent Posts
Recent Activity
Authors
Forums
Forums
Quick Links
Search Forums
Recent Posts
Classifieds
Classifieds
Quick Links
Search Classifieds
Recent Activity
Top Rated Traders
Media
Media
Quick Links
Search Media
New Media
Members
Members
Quick Links
Notable Members
Registered Members
Current Visitors
Recent Activity
New Profile Posts
Menu
Search titles only
Posted by Member:
Separate names with a comma.
Newer Than:
Search this thread only
Search this forum only
Display results as threads
Useful Searches
Recent Posts
More...