เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Car Clubs
>
Nissan Car Clubs
>
NV Club
>
วิธีใช่รถขับหน้าให้ทนทาน
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="van อยากแรง, post: 897043, member: 11960"]<span style="color: Red"><font size="5">(ขอขอบคุณพี่ๆในบอลด์bluebird club ที่เอื้อเฟื้อความรู้ดีๆครับ)</font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">แต่งเครื่องยนต์เดิม</font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">โดยมีหลักการโดยรวม คือ ถ้าจะให้ได้ผลมาก ต้องเพิ่ม 4 อย่าง ทั้งอากาศ น้ำมัน และไฟจุดระเบิด แล้วเสริมด้วยการไล่ไอเสียเป็นอย่างที่ 4 ถ้าเพิ่มเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็มีขอบเขตต่ำกว่าการทำแบบครบๆ</font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">มีข้อดี คือ ไม่เสียประวัติในสมุดทะเบียน เพราะรถยนต์ที่ถูกเปลี่ยนเครื่องยนต์มักถูกสงสัยเมื่อมีการขายต่อว่า เปลี่ยนเพราะถูกถลุงจนพังหรือเหตุผลอื่น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแรงเพิ่มขึ้นไม่มาก, กลัวห้องเครื่องยนต์ช้ำ, เครื่องยนต์เดิมยังมีสภาพดีอยู่, วิเคราะห์ดูแล้วว่าพอแต่งขึ้น หรือครื่องยนต์แรงๆ ที่ต้องการเปลี่ยนมีราคาแพงมาก โดยมี 2 รูปแบบหลักในการแต่ง คือ แต่งเฉพาะอุปกรณ์ภายนอก หรือ แต่งล้วงลึกถึงไส้ใน </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">แต่งเฉพาะอุปกรณ์ภายนอก </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เครื่องยนต์ยุคใดก็ตาม การแต่งเพิ่มความแรงเฉพาะอุปกรณ์ภายนอก โดยไม่แตะต้องฝาสูบและเสื้อสูบ มักทำได้ไม่มาก แต่สะดวก โดยแต่ละอุปกรณ์ใหม่ที่ใส่เข้าไปแทนอุปกรณ์เดิม ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้กี่เปอร์เซ็นต์ เช่น ไส้กรองอากาศแบบเปลือยหรือเฮดเดอร์ในระบบระบายไอเสีย ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ตายตัว เพราะต้องขึ้นอยู่กับว่าอุปกรณ์เดิมนั้นแย่แค่ไหน ถ้าแย่มาก เมื่อใส่อุปกรณ์ใหม่ที่ดีๆ เข้าไปแทน ย่อมให้ผลมาก แต่ถ้าของเดิมดีอยู่แล้ว ก็ย่อมดีขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไม่เพิ่มระบบอัดอากาศ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">โดยหลักการพื้นฐาน คือ การประจุไอดีเข้าสู่เครื่องยนต์ โดยใช้แรงดูดจากการเลื่อนลงของลูกสูบเป็นหลัก จึงต้องพยายามทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่อากาศต้องไหลผ่านจากภายนอกเข้าสู่กระบอกสูบ มีการอั้นการไหลน้อยที่สุด </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ส่วนใหญ่สามารถเพิ่มอากาศด้วยอุปกรณ์ภายนอกได้น้อยและให้ผลดีขึ้นไม่มาก โดยมีอุปกรณ์หลักที่ทำได้ คือ ไส้กรองอากาศ เช่น เปลี่ยนเป็นไส้กรองอากาศแบบเปลือยหรือ ไส้กรองพิเศษในกล่องหม้อกรองอากาศเดิม และหนักสุดกับการใส่ปากแตรเข้าไปโดยไม่มีไส้กรองอากาศ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไส้กรองอากาศแบบเปลือย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">นับเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมากพอสมควร เพราะไม่แพง, ติดตั้งง่าย, สวยงาม และให้ความรู้สึกว่าน่าจะแรง จากรูปทรงของไส้กรองอากาศแบบเปลือยที่สามารถรับอากาศได้โดยรอบ และน่าจะปล่อยให้อากาศไหลผ่านได้ง่ายกว่าไส้กรองอากาศแบบมาตรฐาน ที่ติดตั้งอยู่ในกล่องปิด </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับเครื่องยนต์ธรรมดาที่ไม่มีเทอร์โบหรือระบบอัดอากาศใดๆ ไส้กรองอากาศแบบเปลือยอาจเพิ่มหรือลดความแรงของเครื่องยนต์ก็ได้ ไม่ใช่ใส่เข้าไปแล้วจะแรงเสมอไป แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานเดิม อั้นการไหลของอากาศแค่ไหน และไส้กรองอากาศแบบเปลือยโล่งแค่ไหน ไม่สามารถสรุปได้ว่าเมื่อแต่งในส่วนนี้แล้ว จะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้กี่เปอร์เซ็นต์ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">มุมมองที่ว่า ชุดไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานจากผู้ผลิตรถยนต์นั้นปิดทึบซ่อนอยู่ในกล่องอับ แล้วจะทำให้การดูดอากาศไม่สะดวกนั้น ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงนัก เพราะกล่องไส้กรองอากาศมีห้องพักอากาศขนาดใหญ่พอสมควร และมีการต่อท่อมาดักอากาศจากด้านหน้าของรถยนต์ จึงมีอุณภูมิต่ำ (โมเลกุลของอากาศหนาแน่นกว่าอากาศร้อน) และมีแรงส่งปะทะของอากาศเข้ามาเมื่อรถยนต์แล่น โดยรวมแล้วไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานจึงไม่น่าจะอั้นการไหลของอากาศเท่าไรนัก </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">นอกจากความโล่งหรืออัตราการไหลผ่านของอากาศของตัวไส้กรองอากาศ ที่จะมีผลต่อความแรงของเครื่องยนต์แล้ว ยังเกี่ยวของกับตำแหน่งการติดตั้งซึ่งต้องรับลมปะทะจากด้านหน้าได้ดี และอากาศที่ผ่านเข้าไม่ควรร้อน รวมถึงประสิทธิภาพการกรองฝุ่นด้วย ถ้าเครื่องยนต์แรงขึ้นแต่สึกหรอเร็วขึ้นเพราะฝุ่นเข้าได้ง่าย ก็คงไม่ดี </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">การใช้ไส้กรองอากาศแบบเปลือย จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อมีการติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถรับอากาศเย็น และรับอากาศปะทะจากด้านหน้าได้มากที่สุด ถ้าเป็นการติดตั้งไว้ในมุมอับในห้องเครื่องยนต์ แม้ตัวไส้กรองอากาศแบบเปลือยจะรับอากาศได้รอบตัว แต่ถ้าเป็นอากาศร้อนและขาดการไหลปะทะที่ดี บางครั้งพบว่าแย่กว่าไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานก็มี </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">จากการทดสอบด้วยเครื่องมือวัดแรงม้า-ไดนาโมมิเตอร์ กับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว หัวฉีด 1,300 ซีซี ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งส่วนอื่น ไม่มีการติดตั้งระบบอัดอากาศ โดยติดตั้งไส้กรองอากาศแบบเปลือยแทนและมีท่อดักอากาศจากด้านหน้ารถยนต์ตามปกติด้วย ในจำนวน 4-5 รุ่นของไส้กรองอากาศแบบเปลือย พบว่าไม่มีรุ่นใดเพิ่มแรงม้าให้กับเครื่องยนต์เลย และบางรุ่นใส่แล้วทำให้แรงม้าตกก็ยังมี </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ผลของการทดสอบไม่ใช่บทสรุปว่า ไส้กรองอากาศแบบเปลือยจะไม่ให้ผลดีขึ้นในทุกเครื่องยนต์ อาจเป็นเพราะไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานของรถยนต์รุ่นนั้นโล่งเพียงพออยู่แล้ว ในขณะที่ไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานของรถยนต์รุ่นอื่นอาจจะอั้นกว่า แต่ก็พอช่วยให้ประเมินได้ว่า ถ้าเปลี่ยนเฉพาะไส้กรองอากาศแบบเปลือย ก็ไม่น่าจะให้ผลดีขึ้นมาก โดยเฉพาะถ้าติดตั้งในตำแหน่งที่รับอากาศร้อนและไม่มีอากาศไหลปะทะ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ในเครื่องยนต์บางรุ่นที่ติดตั้งไส้กรองอากาศแบบเปลือยเข้าไปแทน อาจได้ผลดีให้พอสัมผัสได้ เช่น อัตราเร่งลื่นขึ้นบ้าง ซึ่งก็เป็นไปได้จริง โดยจะชัดเจนเฉพาะในช่วงรอบเครื่องยนต์สูงๆ เป็นหลัก </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไส้กรองอากาศแบบแผ่นพิเศษ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">สำหรับใส่แทนแผ่นไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานเดิม โดยใส่ในกล่องเดิม ได้รับความนิยมไม่น้อยกว่าไส้กรองอากาศแบบเปลือยมากนัก เพราะติดตั้งสะดวกและมั่นใจได้ว่ายังสามารถรับอากาศเย็นและไหลปะทะจากด้านหน้ารถยนต์ตามปกติ ดูผ่านๆ แล้วพบว่าน่าจะเด่นกว่าเรื่องการยอมให้อากาศไหลผ่านได้ดีขึ้น ซึ่งจะดีขึ้นแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าของเดิมแย่หรือของใหม่ดีขึ้นต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่พบว่าช่วยให้แรงขึ้นได้ไม่มาก </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">สาเหตุที่พบว่า เมื่อเปลี่ยนไส้กรองอากาศแบบพิเศษเข้าไปแล้วเครื่องยนต์แรงขึ้นเล็กน้อย เพราะไส้กรองอากาศเดิมนั้นตันหรือหมดสภาพไปแล้ว หรือไส้กรองอากาศแบบเปลือยมีเสียงดูดอากาศดังขึ้นมาก เมื่อกดคันเร่งหนักๆ แล้วจึงมีเสียงดูดอากาศดังสะใจ หรือมีการแต่งเครื่องยนต์ด้วยอุปกรณ์อื่นไปพร้อมกัน จนไม่สามารถแยกได้ว่า ความแรงที่เพิ่มขึ้นมานั้นได้มาจากอุปกรณ์ใด</font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไม่ว่าจะใช้ไส้กรองอากาศแบบไหน อย่าลืมว่าไส้กรองอากาศก็ตันได้หลังผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง ซึ่งสามารถทราบได้จากระยะทางที่แต่ละผู้ผลิตไส้กรองอากาศกำหนดไว้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพของฝุ่นในอากาศและสภาพการจราจรด้วย ว่าควรจะลดระยะทางที่เหมาะสมในการใช้งานลงมาอีกเท่าไร แล้วถึงจะเป่าไล่ฝุ่น ล้าง หรือเปลี่ยน ไส้กรองอากาศแบบเปลือย บางรุ่นล้างแล้วต้องเคลือบน้ำยาพิเศษ บางชนิดล้างแล้วใช้ได้เลย และบางชนิดต้องเปลี่ยนแผ่นกรองโดยล้างไม่ได้ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">สำหรับเครื่องยนต์ที่มีการติดตั้งเทอร์โบหรือระบบอัดอากาศ การเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นแบบเปลือยหรือเฉพาะแผ่นกรอง อาจได้ผลมากกว่าเครื่องยนต์ธรรมดา เพราะมีการดูดอากาศมากกว่า แต่มักจะได้ผลมากขึ้นเมื่อมีการปรับเพิ่มแรงดันที่จะอัดเข้าสู่เครื่องยนต์ (BOOST-บูสท์) ในรอบสูงๆ หรือมีการเปลี่ยนตัวเทอร์โบ เพราะส่วนใหญ่พบว่าไส้กรองอากาศเดิมจะอั้นเมื่อมีการเพิ่มบูสท์ โดยอย่าลืมว่า โล่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องรับอากาศเย็นและมีการไหลปะทะของอากาศที่ดี </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ปากแตร </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เป็นชื่อเรียกของอุปกรณ์ที่ติดตั้งแทนไส้กรองอากาศ อยู่หน้าสุดของระบบทางเดินของไอดี มีรูปทรงเหมือนกับปากของแตรบานโค้งออก ไม่ต้องมีไส้กรองอากาศขวางและมีปากแตรโค้งๆ ช่วยรีดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ให้ได้มากที่สุด นิยมใช้ในรถแข่งบางประเภทที่ไม่ต้องกังวลเรื่องฝุ่น เพราะสนามแข่งมีฝุ่นน้อย และเครื่องยนต์สำหรับแข่งก็มีอายุการใช้งานสั้นอยู่แล้ว </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ดังนั้นสำหรับเครื่องยนต์ที่ยังใช้งานบนถนนทั่วไปที่เต็มไปด้วยฝุ่น จึงไม่ควรใส่ปากแตรแทนไส้กรองอากาศ เพราะเมื่อฝุ่นเล็ดลอดเข้าไป จะทำให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานสั้นลงมาก ไม่คุ้มกับกำลังที่เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เมื่อเพิ่มอากาศแล้ว ในบางกรณีก็ต้องหาวิธีเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงตามไปด้วย มิฉะนั้นอัตราส่วนผสมของไอดีอาจบางเกินกว่าที่เครื่องยนต์จะให้กำลังได้สูงสุด หรือทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ได้เพิ่มอากาศขึ้นมากนัก เครื่องยนต์จะมีการเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือหาวิธีเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นไม่ยาก </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เพิ่มระบบอัดอากาศ เทอร์โบ & ซูเปอร์ชาร์จ & ไนตรัสออกไซด์ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">มีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกัน สูงทั้งค่าใช้จ่าย ความแรง และความยุ่งยาก เครื่องยนต์ที่ไม่มีการติดตั้งระบบอัดอากาศมาจากโรงงาน ส่วนใหญ่ถ้าอัตราส่วนการอัดในกระบอกสูบไม่เกิน 9.5-10 ต่อ 1 (ถ้าเกินก็ลดอัตราส่วนการอัดได้ไม่ยาก แค่เสริมปะเก็นฝาสูบ 2 ชั้นหรือหนาขึ้น) ก็สามารถติดตั้งระบบอัดอากาศเข้าไปเพื่อรีดกำลังเพิ่มออกจากเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ไส้ในเลย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">แต่มีข้อแม้ว่า ต้องใช้แรงดันของอากาศที่จะส่งเข้าสู่ท่อร่วมไอดีไม่สูง (บูสท์ต่ำ) ซึ่งส่วนใหญ่ควรอยู่ในระดับ 3-6 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว, อัตราส่วนผสมของไอดีต้องไม่บาง ซึ่งอาจต้องมีการเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปให้เหมาะสมกับอากาศที่เพิ่มขึ้น และจังหวะการจุดระเบิดต้องเหมาะสม โดยรวมแล้วต้องไม่เกิดการน็อก-ชิงจุดระเบิดตลอดการใช้งาน เพราะนั่นคือต้นเหตุของความเสียหายของไส้ใน เช่น ลูกสูบแตกหรือฝาสูบแตก และผู้ขับต้องไม่แช่รอบสูงนานหรือกระแทกกระทั้นนัก แม้เครื่องยนต์ไม่พังแต่ก็ต้องยอมรับว่าจะมีการสึกหรอเร็วขึ้นจากปกติบ้าง </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ถ้าเป็นเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จ ก็มีให้เลือกทั้งแบบชุดสำเร็จจากต่างประเทศของสำนักแต่งชื่อดัง มั่นใจได้ในคุณภาพ การรับประกัน และสะดวก แต่ราคาแพง ชุดละกว่า 100,000 บาท หรือช่างไทยซึ่งสรรหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมมาติดตั้งให้ ค่าใช้จ่ายไม่แพง โดยประมาณอยู่ที่ 30,000-80,000 บาท แต่ต้องเลือกช่างและอุปกรณ์ที่ดี เพราะมีปะปนกัน ทั้งทำแล้วไม่ทน-พัง หรือทั้งถูกทั้งแรงกว่าชุดสำเร็จจากต่างประเทศ ช่างไทยแต่งแรงในยุคนี้มีหลายคนที่เก่งไม่แพ้ต่างประเทศ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เทอร์โบ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เป็นการใช้ของเหลือทิ้ง นำไอเสียมาผ่านกังหันไอเสีย (เทอร์ไบน์) เพื่อให้หมุนเป็นต้นกำลังพากังหันไอดี (คอมเพรเซอร์) ที่ติดตั้งบนแกนเดียวกันอีกด้านหนึ่งให้หมุนเพื่ออัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">มีจุดเด่น คือ ไม่กินกำลังของเครื่องยนต์ และสามารถหาติดตั้งได้ทั้งจากชุดสำเร็จจากต่างประเทศของสำนักแต่งชื่อดัง หรือด้วยฝีมือช่างไทย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">มีจุดด้อยอยู่เล็กน้อย คือ ถ้ามีขนาดของเทอร์โบเหมาะสมกับซีซีของเครื่องยนต์ ก็หนีไม่พ้นอาการรอรอบ คือ เทอร์โบจะเริ่มอัดอากาศ (บูสท์) ตั้งแต่เครื่องยนต์หมุนรอบปานกลางขึ้นไป ส่วนในรอบต่ำนั้นก็ยังมีอัตราเร่งเหมือนตอนที่ยังไม่ติดตั้งเทอร์โบ ซ้ำยังแย่กว่าอยู่เล็กน้อย เพราะการระบายไอเสียไม่คล่องเหมือนเดิม จากการที่มีกังหันไอเสียขวางอยู่ และถ้ามีการลดอัตราส่วนการอัดลงจากเดิม ก็ยิ่งทำให้อัตราเร่งแย่ลงไปอีกเล็กน้อย จนกว่าเทอร์โบจะเริ่มอัดอากาศในรอบปานกลางขึ้นไป ถึงจะแรงแบบลืมจุดด้อยไปเลย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ซูเปอร์ชาร์จ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ใช้สายพานซึ่งต่อมาจากเพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์เป็นต้นกำลังในการขับเคลื่อนอุปกรณ์อัดอากาศ มีจุดเด่น คือ สามารถควบคุมให้มีการอัดอากาศได้ตั้งแต่รอบต่ำขึ้นไป ทำให้มีการตอบสนองด้านอัตราเร่งที่ฉับไว และไม่ต้องรอรอบ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">จุดด้อย คือ กินกำลังของเครื่องยนต์อยู่เล็กน้อย เพราะต้องแบ่งกำลังมาใช้หมุนซูเปอร์ชาร์จ รอบสูงจัดๆ ก็สู้เทอร์โบไม่ได้ และส่วนใหญ่เป็นชุดสำเร็จจากต่างประเทศของสำนักแต่งชื่อดัง จึงมีราคาแพง และหาซื้อของเก่ามาเทียบใช้ได้ยากกว่าเทอร์โบ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไนตรัสออกไซด์ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ใช้อากาศไม่ธรรมดาที่บรรจุอยู่ในถังขนาดเล็กต่อสายอัดเข้าสู่ท่อร่วมไอดีของเครื่องยนต์ โดยเป็นอากาศที่มีเปอร์เซ็นต์ของออกซิเจน ซึ่งช่วยในการเผาไหม้มากกว่าอากาศปกติ ผสมอยู่กับก๊าซเฉื่อย-ไนโตรเจน ที่ช่วยควบคุมการเผาไหม้ ไม่ให้รุนแรงเกินไปจนชิ้นส่วนในเครื่องยนต์เสียหาย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">จุดเด่น คือ มีชิ้นส่วนน้อย แค่ติดตั้งถังเก็บไนตรัสออกไซด์ เดินท่อก๊าซเข้าสู่หัวฉีดที่ติดตั้งเข้ากับท่อร่วมไอดีพร้อมเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม แล้วติดตั้งปุ่มควบคุมการฉีด ก็พร้อมใช้งานได้ โดยไม่ต้องทำอะไรกับชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ หากอัดไนตรัสออกไซด์ในแรงดันและปริมาณต่ำเป็นช่วงเวลาสั้นๆ (3-10 วินาที) ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งไม่แพง 25,000-40,000 บาท </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">จุดด้อย คือ เมื่อใช้ไนตรัสออกไซด์หมดแล้วต้องหาซื้อมาเติมใหม่ และถ้าไม่เปลี่ยนชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ให้แข็งแรงขึ้น (คล้ายกับการเตรียมรับบูสท์จากเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จ) ก็จะไม่สามารถอัดไนตรัสได้ในปริมาณมากและนาน บางเครื่องยนต์อัดไนตรัสออกไซด์ได้ครั้งละ 2-5 วินาทีเท่านั้น เพราะถ้าเกินกว่านั้นอาจพัง ! เช่น ลูกสูบแตก ปะเก็นฝาสูบแตก ก้านสูบขาด ฯลฯ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ส่วนใหญ่ไนตรัสออกไซด์มักถูกใช้เป็นไม้ตาย หลังจากอัดเทอร์โบ-ซูเปอร์ชาร์จหรือแต่งเครื่องยนต์กันสุดๆ แล้วยังไม่สามารถแซงขึ้นหน้าคู่แข่งได้ ก็อัดเพิ่มในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่ใส่เฉพาะไนตรัสออกไซด์เพียงอย่างเดียว </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เครื่องยนต์ที่ติดตั้งระบบอัดอากาศอยู่แล้ว </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เครื่องยนต์ทั้งแบบที่ติดตั้งเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จมาจากโรงงานผู้ผลิต มักมีการควบคุมแรงดันของอากาศ (บูสท์) ที่จะอัดเข้าสู่เครื่องยนต์ไว้ในอัตราที่ไม่สร้างความเสียหายกับเครื่องยนต์ ไม่ว่าผู้ขับจะกระแทกกระทั้นหนักเพียงไร </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ดังนั้นบูสท์ที่ถูกควบคุมไว้จึงไม่สูงนัก สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อยโดยที่เครื่องยนต์ยังพอรับได้ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ปรับบูสท์เพิ่มนั่นเอง </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">โดยมีข้อแม้ว่า ไม่ควรปรับบูสท์เพิ่มมาก (เพิ่มจากเดิม 2-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) และต้องควบคุมให้มีการเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นอย่างเหมาะสมกับอากาศ หรือไม่ให้ไอดีบางเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดการชิงจุดระเบิด (น็อก) จนเครื่องยนต์เสียหาย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไม่สามารถสรุปได้ว่า เครื่องยนต์รุ่นใดจะปรับบูสท์เพิ่มได้เท่าไรโดยไม่พัง แต่ก็พอบอกได้ว่า ถ้าเพิ่มขึ้นสัก 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วและน้ำมันเชื้อเพลิงไม่บางเกินไป เครื่องยนต์ก็พอทนได้แบบไม่แช่รอบสูงยาวๆ แล้วก็ไม่สามารถบอกได้ว่า เมื่อปรับบูสท์เพิ่มแล้วจะต้องเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยวิธีไหน เพราะบางเครื่องยนต์จะเพิ่มให้เองโดยอัตโนมัติ แต่บางเครื่องยนต์ต้องหาวิธีเพิ่มเอง </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไม่ว่าจะปรับบูสท์เพิ่มขึ้นเท่าไร โดยไม่แตะต้องไส้ในเครื่องยนต์ พึงระลึกไว้เสมอว่า ทำได้ แต่น้ำมันเชื้อเพลิงต้องเพียงพอ ต้องไม่ให้มีการชิงจุดระเบิด และไม่ควรแช่ยาว เพราะอาจทำให้ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์พังได้ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">น้ำมันเชื้อเพลิง </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ผู้ที่ต้องการเพิ่มความแรงของเครื่องยนต์ มักพุ่งความสนใจไปที่จุดนี้ เพราะคิดแค่ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงต้องถูกเผาไหม้ ยิ่งใส่เข้าไปได้มากย่อมแรงขึ้น โดยมองข้ามไปว่า ถ้าไม่เพิ่มอากาศเข้าไปด้วย ก็จะเพิ่มน้ำมันได้ไม่มากและมีขอบเขตจำกัด </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">จริงอยู่ที่การเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงก็น่าจะทำให้แรงขึ้นได้ แต่น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอากาศมาผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้มีการจุดระเบิดและเผาไหม้สมบูรณ์ แต่ไม่ใช่เพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงแบบไร้ขอบเขตได้แล้วจะแรง ถ้าอย่างนั้นหากเทน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปเป็นถังๆ โดยไม่เพิ่มอากาศด้วย ก็คงจะแรงกระฉูดไปแล้ว </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เครื่องยนต์จะแรงขึ้นได้ ต้องมีน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศในอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่ให้มีอัตราส่วนผสมของไอดีบางหรือหนาเกินไป เพื่อให้อากาศช่วยเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างสมบูรณ์ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เครื่องยนต์เดิมๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ควบคุมให้มีการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราสูงสุดที่จะทำให้เครื่องยนต์แรงสุด โดยผู้ผลิตมักลดระดับลงมาเล็กน้อย เพื่อให้เครื่องยนต์แรงแค่พอสมควร แต่ประหยัดและมีมลพิษต่ำ หรือเรียกว่าส่วนผสมไอดีบางไว้หน่อยนั่นเอง จึงยังพอแต่งต่อเพื่อเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกเล็กน้อย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ดังนั้นการเพิ่มเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเครื่องยนต์ จึงมีขอบเขตจำกัดและแตกต่างกัน เช่น เครื่องยนต์เดิมไอดีบางมาก ก็สามารถเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากหน่อย แต่ถ้าเครื่องยนต์เดิมไอดีเกือบจะหนาสุดอยู่แล้ว ก็สามารถเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงได้น้อย เพราะถ้าไอดีหนาเกินไป แทนที่จะแรงเครื่องยนต์กลับแรงตก กินน้ำมันเชื้อเพลิง และควันดำ หรือเรียกว่าน้ำมันท่วมนั่นเอง การเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ควรหนากว่าประมาณ 1 ต่อ 11-12 ของน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">การเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงมีหลายวิธี แยกเป็น 2 รูปแบบเครื่องยนต์หลัก คือ คาร์บูเรเตอร์กับหัวฉีด แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ ถ้าจะเพิ่มเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่เปลี่ยนขนาดหรือเพิ่มจำนวนคาร์บูเรเตอร์ ก็สามารถเพิ่มได้เพียงการเปลี่ยนนมหนูน้ำมันเชื้อเพลิงใหญ่ขึ้นหรือเพิ่มเบอร์ใหญ่ขึ้นนั่นเอง และต้องเข้ากับหลักการที่ว่าไม่สามารถเพิ่มมากได้ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่มีการเพิ่มอากาศ จะเพิ่มขนาดของนมหนูน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่เกิน 0.10-0.20 มิลลิเมตร หรือเรียกแบบกลายๆ ตามสไตล์ช่างไทยว่า 10-20 เบอร์เท่านั้น ถ้าเกินกว่านี้อัตราส่วนผสมของไอดีอาจหนาเกินไป หรือน้ำมันท่วมจนเครื่องยนต์แรงตกนั่นเอง </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">เครื่องยนต์แบบหัวฉีด สามารถเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหลากวิธีสารพัดอุปกรณ์ เช่น ความนิยมกับการเปลี่ยนโปรแกรม ชิพ (CHIP) หรือกล่องอีซียู ซึ่งส่วนใหญ่จะแรงขึ้นไม่มาก หากโปรแกรมเดิมเป็นไปตามแนวทางปกติก็จะแรงขึ้นได้น้อย เพราะผู้ผลิตมักไม่ยอมให้บางมาก แต่ถ้าเดิมเครื่องยนต์บางมาก ก็แรงขึ้นได้มาก โดยทั่วไป 5-10 เปอร์เซ็นต์ ก็สูงสุดแล้ว เพราะถ้าเพิ่มขึ้นมากๆ อัตราส่วนผสมของไอดีก็จะหนาเกินไปจนเครื่องยนต์แรงตกเช่นกัน </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ถ้าคิดจะเพิ่มเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่ทำอย่างอื่น หรือเรียกกันกลายๆ ว่า เปลี่ยนชิพ (CHIP) ใหม่-โปรแกรมใหม่ ก็ให้นึกถึงการเปลี่ยนนมหนูใหญ่ๆ ในระบบคาร์บูเรเตอร์ไว้ว่า ไอดีหนาขึ้นได้ไม่มาก นอกจากเครื่องยนต์เดิมนั้นมีไอดีบางมาก </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไฟจุดระเบิด </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">แรงมากย่อมดีโดยไม่มีเสีย (นอกจากเงิน) แต่ถ้าไม่มีการเพิ่มให้มีทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศหนาแน่นขึ้นมาก การเพิ่มพลังไฟในการจุดระเบิด เพื่อให้หัวเทียนมีประกายไฟโดยไม่แต่งระบบอื่นก็เกือบจะไร้ประโยชน์ ถ้าเดิมนั้นจุดระเบิดได้แรงพออยู่แล้ว </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">โดยต้องขึ้นอยู่กับว่าระบบไฟจุดระเบิดนั้นแรงเพียงพอกับน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศที่ถูกคลุกเคล้าในกระบอกสูบหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วถ้าเพิ่มเฉพาะกำลังไฟจุดระเบิด เครื่องยนต์จะแรงขึ้นน้อยมาก อย่างมากก็แค่อัตราเร่งลื่นๆ ขึ้นเท่านั้นเอง แต่ถ้ามีการเพิ่มทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศจนไอดีหนาแน่นขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟจุดระเบิดย่อมต้องทำควบคู่กัน </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">การแต่งระบบไฟจุดระเบิด เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของคอยล์ ใช้สายหัวเทียนความต้านทานต่ำ หัวเทียนแพลตินัม ฯลฯ แต่ถ้าเพิ่มขึ้นไปในขณะที่อุปกรณ์เดิมก็เพียงพออยู่แล้ว เครื่องยนต์ก็จะแรงขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างมากก็แค่ลื่นๆ ขึ้นเท่านั้น </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">หลายกรณีที่พบว่า เมื่อเปลี่ยนหัวเทียนหรือสายหัวเทียนแบบพิเศษเข้าไปแล้ว ทำให้เครื่องยนต์แรงขึ้น เป็นเพราะอุปกรณ์เดิมนั้นแย่หรือหมดสภาพไปแล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนหัวเทียนเป็นแบบมาตรฐานหรือแบบพิเศษ ก็ย่อมดีขึ้น </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ไล่ไอเสีย </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">การไล่ไอเสียออกจากเครื่องยนต์ให้หมดจดและรวดเร็วที่สุดย่อมมีแต่ผลดี และสามารถเพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์ได้ เสมือนกับการทำให้ท่อน้ำทิ้งของบ้านไหลลื่นที่สุด </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">สำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปที่ไม่ได้ตกแต่งส่วนอื่น ถ้ามีการเปลี่ยนอุปกรณ์ในระบบไอเสียให้ดีขึ้น เช่น ที่เรียกกันกลายๆ ว่า ตีเฮดเดอร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาทดแทนเฉพาะท่อร่วมไอเสีย พร้อมกับหม้อพักไส้ตรงแบบโล่งๆ พบว่าถ้าเดิมไม่อั้นการระบายไอเสียมาก ก็จะได้ผลดีขึ้นน้อยมาก ไม่น่าให้แรงม้าจากเดิมเกิน 5-10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากจะบังเอิญว่าระบบท่อไอเสียเดิมนั้นอั้นการระบายมากๆ </font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5"><br /></font></span></p><p><span style="color: Red"><font size="5">ขอบคุณข้อมูลจาก<a href="http://www.geocities.com[/u][/SIZE][/COLOR]" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="http://www.geocities.com[/u][/SIZE][/COLOR]" rel="nofollow">http://www.geocities.com[/u][/SIZE][/COLOR]</a></font></span>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="van อยากแรง, post: 897043, member: 11960"][COLOR="Red"][SIZE="5"](ขอขอบคุณพี่ๆในบอลด์bluebird club ที่เอื้อเฟื้อความรู้ดีๆครับ) แต่งเครื่องยนต์เดิม โดยมีหลักการโดยรวม คือ ถ้าจะให้ได้ผลมาก ต้องเพิ่ม 4 อย่าง ทั้งอากาศ น้ำมัน และไฟจุดระเบิด แล้วเสริมด้วยการไล่ไอเสียเป็นอย่างที่ 4 ถ้าเพิ่มเพียงอย่างใดอย่างหนึ่ง ก็มีขอบเขตต่ำกว่าการทำแบบครบๆ มีข้อดี คือ ไม่เสียประวัติในสมุดทะเบียน เพราะรถยนต์ที่ถูกเปลี่ยนเครื่องยนต์มักถูกสงสัยเมื่อมีการขายต่อว่า เปลี่ยนเพราะถูกถลุงจนพังหรือเหตุผลอื่น วิธีนี้เหมาะสำหรับผู้ที่ต้องการความแรงเพิ่มขึ้นไม่มาก, กลัวห้องเครื่องยนต์ช้ำ, เครื่องยนต์เดิมยังมีสภาพดีอยู่, วิเคราะห์ดูแล้วว่าพอแต่งขึ้น หรือครื่องยนต์แรงๆ ที่ต้องการเปลี่ยนมีราคาแพงมาก โดยมี 2 รูปแบบหลักในการแต่ง คือ แต่งเฉพาะอุปกรณ์ภายนอก หรือ แต่งล้วงลึกถึงไส้ใน แต่งเฉพาะอุปกรณ์ภายนอก เครื่องยนต์ยุคใดก็ตาม การแต่งเพิ่มความแรงเฉพาะอุปกรณ์ภายนอก โดยไม่แตะต้องฝาสูบและเสื้อสูบ มักทำได้ไม่มาก แต่สะดวก โดยแต่ละอุปกรณ์ใหม่ที่ใส่เข้าไปแทนอุปกรณ์เดิม ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้กี่เปอร์เซ็นต์ เช่น ไส้กรองอากาศแบบเปลือยหรือเฮดเดอร์ในระบบระบายไอเสีย ไม่สามารถระบุได้ว่าจะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้ 5 เปอร์เซ็นต์ตายตัว เพราะต้องขึ้นอยู่กับว่าอุปกรณ์เดิมนั้นแย่แค่ไหน ถ้าแย่มาก เมื่อใส่อุปกรณ์ใหม่ที่ดีๆ เข้าไปแทน ย่อมให้ผลมาก แต่ถ้าของเดิมดีอยู่แล้ว ก็ย่อมดีขึ้นอีกเพียงเล็กน้อย ไม่เพิ่มระบบอัดอากาศ โดยหลักการพื้นฐาน คือ การประจุไอดีเข้าสู่เครื่องยนต์ โดยใช้แรงดูดจากการเลื่อนลงของลูกสูบเป็นหลัก จึงต้องพยายามทำให้อุปกรณ์ต่างๆ ที่อากาศต้องไหลผ่านจากภายนอกเข้าสู่กระบอกสูบ มีการอั้นการไหลน้อยที่สุด ส่วนใหญ่สามารถเพิ่มอากาศด้วยอุปกรณ์ภายนอกได้น้อยและให้ผลดีขึ้นไม่มาก โดยมีอุปกรณ์หลักที่ทำได้ คือ ไส้กรองอากาศ เช่น เปลี่ยนเป็นไส้กรองอากาศแบบเปลือยหรือ ไส้กรองพิเศษในกล่องหม้อกรองอากาศเดิม และหนักสุดกับการใส่ปากแตรเข้าไปโดยไม่มีไส้กรองอากาศ ไส้กรองอากาศแบบเปลือย นับเป็นอุปกรณ์ที่ได้รับความนิยมมากพอสมควร เพราะไม่แพง, ติดตั้งง่าย, สวยงาม และให้ความรู้สึกว่าน่าจะแรง จากรูปทรงของไส้กรองอากาศแบบเปลือยที่สามารถรับอากาศได้โดยรอบ และน่าจะปล่อยให้อากาศไหลผ่านได้ง่ายกว่าไส้กรองอากาศแบบมาตรฐาน ที่ติดตั้งอยู่ในกล่องปิด ในความเป็นจริงแล้ว สำหรับเครื่องยนต์ธรรมดาที่ไม่มีเทอร์โบหรือระบบอัดอากาศใดๆ ไส้กรองอากาศแบบเปลือยอาจเพิ่มหรือลดความแรงของเครื่องยนต์ก็ได้ ไม่ใช่ใส่เข้าไปแล้วจะแรงเสมอไป แต่ต้องขึ้นอยู่กับว่าไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานเดิม อั้นการไหลของอากาศแค่ไหน และไส้กรองอากาศแบบเปลือยโล่งแค่ไหน ไม่สามารถสรุปได้ว่าเมื่อแต่งในส่วนนี้แล้ว จะเพิ่มกำลังของเครื่องยนต์ได้กี่เปอร์เซ็นต์ มุมมองที่ว่า ชุดไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานจากผู้ผลิตรถยนต์นั้นปิดทึบซ่อนอยู่ในกล่องอับ แล้วจะทำให้การดูดอากาศไม่สะดวกนั้น ไม่ค่อยตรงกับความเป็นจริงนัก เพราะกล่องไส้กรองอากาศมีห้องพักอากาศขนาดใหญ่พอสมควร และมีการต่อท่อมาดักอากาศจากด้านหน้าของรถยนต์ จึงมีอุณภูมิต่ำ (โมเลกุลของอากาศหนาแน่นกว่าอากาศร้อน) และมีแรงส่งปะทะของอากาศเข้ามาเมื่อรถยนต์แล่น โดยรวมแล้วไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานจึงไม่น่าจะอั้นการไหลของอากาศเท่าไรนัก นอกจากความโล่งหรืออัตราการไหลผ่านของอากาศของตัวไส้กรองอากาศ ที่จะมีผลต่อความแรงของเครื่องยนต์แล้ว ยังเกี่ยวของกับตำแหน่งการติดตั้งซึ่งต้องรับลมปะทะจากด้านหน้าได้ดี และอากาศที่ผ่านเข้าไม่ควรร้อน รวมถึงประสิทธิภาพการกรองฝุ่นด้วย ถ้าเครื่องยนต์แรงขึ้นแต่สึกหรอเร็วขึ้นเพราะฝุ่นเข้าได้ง่าย ก็คงไม่ดี การใช้ไส้กรองอากาศแบบเปลือย จะได้ผลดีก็ต่อเมื่อมีการติดตั้งอยู่ในตำแหน่งที่สามารถรับอากาศเย็น และรับอากาศปะทะจากด้านหน้าได้มากที่สุด ถ้าเป็นการติดตั้งไว้ในมุมอับในห้องเครื่องยนต์ แม้ตัวไส้กรองอากาศแบบเปลือยจะรับอากาศได้รอบตัว แต่ถ้าเป็นอากาศร้อนและขาดการไหลปะทะที่ดี บางครั้งพบว่าแย่กว่าไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานก็มี จากการทดสอบด้วยเครื่องมือวัดแรงม้า-ไดนาโมมิเตอร์ กับเครื่องยนต์ 4 สูบ ทวินแคม 16 วาล์ว หัวฉีด 1,300 ซีซี ที่ไม่ได้มีการปรับแต่งส่วนอื่น ไม่มีการติดตั้งระบบอัดอากาศ โดยติดตั้งไส้กรองอากาศแบบเปลือยแทนและมีท่อดักอากาศจากด้านหน้ารถยนต์ตามปกติด้วย ในจำนวน 4-5 รุ่นของไส้กรองอากาศแบบเปลือย พบว่าไม่มีรุ่นใดเพิ่มแรงม้าให้กับเครื่องยนต์เลย และบางรุ่นใส่แล้วทำให้แรงม้าตกก็ยังมี ผลของการทดสอบไม่ใช่บทสรุปว่า ไส้กรองอากาศแบบเปลือยจะไม่ให้ผลดีขึ้นในทุกเครื่องยนต์ อาจเป็นเพราะไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานของรถยนต์รุ่นนั้นโล่งเพียงพออยู่แล้ว ในขณะที่ไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานของรถยนต์รุ่นอื่นอาจจะอั้นกว่า แต่ก็พอช่วยให้ประเมินได้ว่า ถ้าเปลี่ยนเฉพาะไส้กรองอากาศแบบเปลือย ก็ไม่น่าจะให้ผลดีขึ้นมาก โดยเฉพาะถ้าติดตั้งในตำแหน่งที่รับอากาศร้อนและไม่มีอากาศไหลปะทะ ในเครื่องยนต์บางรุ่นที่ติดตั้งไส้กรองอากาศแบบเปลือยเข้าไปแทน อาจได้ผลดีให้พอสัมผัสได้ เช่น อัตราเร่งลื่นขึ้นบ้าง ซึ่งก็เป็นไปได้จริง โดยจะชัดเจนเฉพาะในช่วงรอบเครื่องยนต์สูงๆ เป็นหลัก ไส้กรองอากาศแบบแผ่นพิเศษ สำหรับใส่แทนแผ่นไส้กรองอากาศแบบมาตรฐานเดิม โดยใส่ในกล่องเดิม ได้รับความนิยมไม่น้อยกว่าไส้กรองอากาศแบบเปลือยมากนัก เพราะติดตั้งสะดวกและมั่นใจได้ว่ายังสามารถรับอากาศเย็นและไหลปะทะจากด้านหน้ารถยนต์ตามปกติ ดูผ่านๆ แล้วพบว่าน่าจะเด่นกว่าเรื่องการยอมให้อากาศไหลผ่านได้ดีขึ้น ซึ่งจะดีขึ้นแค่ไหนก็ขึ้นอยู่กับว่าของเดิมแย่หรือของใหม่ดีขึ้นต่างกันแค่ไหน ส่วนใหญ่พบว่าช่วยให้แรงขึ้นได้ไม่มาก สาเหตุที่พบว่า เมื่อเปลี่ยนไส้กรองอากาศแบบพิเศษเข้าไปแล้วเครื่องยนต์แรงขึ้นเล็กน้อย เพราะไส้กรองอากาศเดิมนั้นตันหรือหมดสภาพไปแล้ว หรือไส้กรองอากาศแบบเปลือยมีเสียงดูดอากาศดังขึ้นมาก เมื่อกดคันเร่งหนักๆ แล้วจึงมีเสียงดูดอากาศดังสะใจ หรือมีการแต่งเครื่องยนต์ด้วยอุปกรณ์อื่นไปพร้อมกัน จนไม่สามารถแยกได้ว่า ความแรงที่เพิ่มขึ้นมานั้นได้มาจากอุปกรณ์ใด ไม่ว่าจะใช้ไส้กรองอากาศแบบไหน อย่าลืมว่าไส้กรองอากาศก็ตันได้หลังผ่านการใช้งานไประยะหนึ่ง ซึ่งสามารถทราบได้จากระยะทางที่แต่ละผู้ผลิตไส้กรองอากาศกำหนดไว้ แต่ก็ต้องขึ้นอยู่กับสภาพของฝุ่นในอากาศและสภาพการจราจรด้วย ว่าควรจะลดระยะทางที่เหมาะสมในการใช้งานลงมาอีกเท่าไร แล้วถึงจะเป่าไล่ฝุ่น ล้าง หรือเปลี่ยน ไส้กรองอากาศแบบเปลือย บางรุ่นล้างแล้วต้องเคลือบน้ำยาพิเศษ บางชนิดล้างแล้วใช้ได้เลย และบางชนิดต้องเปลี่ยนแผ่นกรองโดยล้างไม่ได้ สำหรับเครื่องยนต์ที่มีการติดตั้งเทอร์โบหรือระบบอัดอากาศ การเปลี่ยนไส้กรองอากาศเป็นแบบเปลือยหรือเฉพาะแผ่นกรอง อาจได้ผลมากกว่าเครื่องยนต์ธรรมดา เพราะมีการดูดอากาศมากกว่า แต่มักจะได้ผลมากขึ้นเมื่อมีการปรับเพิ่มแรงดันที่จะอัดเข้าสู่เครื่องยนต์ (BOOST-บูสท์) ในรอบสูงๆ หรือมีการเปลี่ยนตัวเทอร์โบ เพราะส่วนใหญ่พบว่าไส้กรองอากาศเดิมจะอั้นเมื่อมีการเพิ่มบูสท์ โดยอย่าลืมว่า โล่งอย่างเดียวไม่พอ ต้องรับอากาศเย็นและมีการไหลปะทะของอากาศที่ดี ปากแตร เป็นชื่อเรียกของอุปกรณ์ที่ติดตั้งแทนไส้กรองอากาศ อยู่หน้าสุดของระบบทางเดินของไอดี มีรูปทรงเหมือนกับปากของแตรบานโค้งออก ไม่ต้องมีไส้กรองอากาศขวางและมีปากแตรโค้งๆ ช่วยรีดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ให้ได้มากที่สุด นิยมใช้ในรถแข่งบางประเภทที่ไม่ต้องกังวลเรื่องฝุ่น เพราะสนามแข่งมีฝุ่นน้อย และเครื่องยนต์สำหรับแข่งก็มีอายุการใช้งานสั้นอยู่แล้ว ดังนั้นสำหรับเครื่องยนต์ที่ยังใช้งานบนถนนทั่วไปที่เต็มไปด้วยฝุ่น จึงไม่ควรใส่ปากแตรแทนไส้กรองอากาศ เพราะเมื่อฝุ่นเล็ดลอดเข้าไป จะทำให้เครื่องยนต์มีอายุการใช้งานสั้นลงมาก ไม่คุ้มกับกำลังที่เพิ่มขึ้นมาเพียงเล็กน้อย เมื่อเพิ่มอากาศแล้ว ในบางกรณีก็ต้องหาวิธีเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงตามไปด้วย มิฉะนั้นอัตราส่วนผสมของไอดีอาจบางเกินกว่าที่เครื่องยนต์จะให้กำลังได้สูงสุด หรือทำให้เครื่องยนต์เสียหายได้ แต่โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่ได้เพิ่มอากาศขึ้นมากนัก เครื่องยนต์จะมีการเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นโดยอัตโนมัติ หรือหาวิธีเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นไม่ยาก เพิ่มระบบอัดอากาศ เทอร์โบ & ซูเปอร์ชาร์จ & ไนตรัสออกไซด์ มีจุดเด่นและจุดด้อยแตกต่างกัน สูงทั้งค่าใช้จ่าย ความแรง และความยุ่งยาก เครื่องยนต์ที่ไม่มีการติดตั้งระบบอัดอากาศมาจากโรงงาน ส่วนใหญ่ถ้าอัตราส่วนการอัดในกระบอกสูบไม่เกิน 9.5-10 ต่อ 1 (ถ้าเกินก็ลดอัตราส่วนการอัดได้ไม่ยาก แค่เสริมปะเก็นฝาสูบ 2 ชั้นหรือหนาขึ้น) ก็สามารถติดตั้งระบบอัดอากาศเข้าไปเพื่อรีดกำลังเพิ่มออกจากเครื่องยนต์ โดยไม่ต้องเปลี่ยนอุปกรณ์ไส้ในเลย แต่มีข้อแม้ว่า ต้องใช้แรงดันของอากาศที่จะส่งเข้าสู่ท่อร่วมไอดีไม่สูง (บูสท์ต่ำ) ซึ่งส่วนใหญ่ควรอยู่ในระดับ 3-6 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว, อัตราส่วนผสมของไอดีต้องไม่บาง ซึ่งอาจต้องมีการเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปให้เหมาะสมกับอากาศที่เพิ่มขึ้น และจังหวะการจุดระเบิดต้องเหมาะสม โดยรวมแล้วต้องไม่เกิดการน็อก-ชิงจุดระเบิดตลอดการใช้งาน เพราะนั่นคือต้นเหตุของความเสียหายของไส้ใน เช่น ลูกสูบแตกหรือฝาสูบแตก และผู้ขับต้องไม่แช่รอบสูงนานหรือกระแทกกระทั้นนัก แม้เครื่องยนต์ไม่พังแต่ก็ต้องยอมรับว่าจะมีการสึกหรอเร็วขึ้นจากปกติบ้าง ถ้าเป็นเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จ ก็มีให้เลือกทั้งแบบชุดสำเร็จจากต่างประเทศของสำนักแต่งชื่อดัง มั่นใจได้ในคุณภาพ การรับประกัน และสะดวก แต่ราคาแพง ชุดละกว่า 100,000 บาท หรือช่างไทยซึ่งสรรหาอุปกรณ์ที่เหมาะสมมาติดตั้งให้ ค่าใช้จ่ายไม่แพง โดยประมาณอยู่ที่ 30,000-80,000 บาท แต่ต้องเลือกช่างและอุปกรณ์ที่ดี เพราะมีปะปนกัน ทั้งทำแล้วไม่ทน-พัง หรือทั้งถูกทั้งแรงกว่าชุดสำเร็จจากต่างประเทศ ช่างไทยแต่งแรงในยุคนี้มีหลายคนที่เก่งไม่แพ้ต่างประเทศ เทอร์โบ เป็นการใช้ของเหลือทิ้ง นำไอเสียมาผ่านกังหันไอเสีย (เทอร์ไบน์) เพื่อให้หมุนเป็นต้นกำลังพากังหันไอดี (คอมเพรเซอร์) ที่ติดตั้งบนแกนเดียวกันอีกด้านหนึ่งให้หมุนเพื่ออัดอากาศเข้าสู่เครื่องยนต์ มีจุดเด่น คือ ไม่กินกำลังของเครื่องยนต์ และสามารถหาติดตั้งได้ทั้งจากชุดสำเร็จจากต่างประเทศของสำนักแต่งชื่อดัง หรือด้วยฝีมือช่างไทย มีจุดด้อยอยู่เล็กน้อย คือ ถ้ามีขนาดของเทอร์โบเหมาะสมกับซีซีของเครื่องยนต์ ก็หนีไม่พ้นอาการรอรอบ คือ เทอร์โบจะเริ่มอัดอากาศ (บูสท์) ตั้งแต่เครื่องยนต์หมุนรอบปานกลางขึ้นไป ส่วนในรอบต่ำนั้นก็ยังมีอัตราเร่งเหมือนตอนที่ยังไม่ติดตั้งเทอร์โบ ซ้ำยังแย่กว่าอยู่เล็กน้อย เพราะการระบายไอเสียไม่คล่องเหมือนเดิม จากการที่มีกังหันไอเสียขวางอยู่ และถ้ามีการลดอัตราส่วนการอัดลงจากเดิม ก็ยิ่งทำให้อัตราเร่งแย่ลงไปอีกเล็กน้อย จนกว่าเทอร์โบจะเริ่มอัดอากาศในรอบปานกลางขึ้นไป ถึงจะแรงแบบลืมจุดด้อยไปเลย ซูเปอร์ชาร์จ ใช้สายพานซึ่งต่อมาจากเพลาข้อเหวี่ยงของเครื่องยนต์เป็นต้นกำลังในการขับเคลื่อนอุปกรณ์อัดอากาศ มีจุดเด่น คือ สามารถควบคุมให้มีการอัดอากาศได้ตั้งแต่รอบต่ำขึ้นไป ทำให้มีการตอบสนองด้านอัตราเร่งที่ฉับไว และไม่ต้องรอรอบ จุดด้อย คือ กินกำลังของเครื่องยนต์อยู่เล็กน้อย เพราะต้องแบ่งกำลังมาใช้หมุนซูเปอร์ชาร์จ รอบสูงจัดๆ ก็สู้เทอร์โบไม่ได้ และส่วนใหญ่เป็นชุดสำเร็จจากต่างประเทศของสำนักแต่งชื่อดัง จึงมีราคาแพง และหาซื้อของเก่ามาเทียบใช้ได้ยากกว่าเทอร์โบ ไนตรัสออกไซด์ ใช้อากาศไม่ธรรมดาที่บรรจุอยู่ในถังขนาดเล็กต่อสายอัดเข้าสู่ท่อร่วมไอดีของเครื่องยนต์ โดยเป็นอากาศที่มีเปอร์เซ็นต์ของออกซิเจน ซึ่งช่วยในการเผาไหม้มากกว่าอากาศปกติ ผสมอยู่กับก๊าซเฉื่อย-ไนโตรเจน ที่ช่วยควบคุมการเผาไหม้ ไม่ให้รุนแรงเกินไปจนชิ้นส่วนในเครื่องยนต์เสียหาย จุดเด่น คือ มีชิ้นส่วนน้อย แค่ติดตั้งถังเก็บไนตรัสออกไซด์ เดินท่อก๊าซเข้าสู่หัวฉีดที่ติดตั้งเข้ากับท่อร่วมไอดีพร้อมเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงให้เหมาะสม แล้วติดตั้งปุ่มควบคุมการฉีด ก็พร้อมใช้งานได้ โดยไม่ต้องทำอะไรกับชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ หากอัดไนตรัสออกไซด์ในแรงดันและปริมาณต่ำเป็นช่วงเวลาสั้นๆ (3-10 วินาที) ค่าใช้จ่ายในการติดตั้งไม่แพง 25,000-40,000 บาท จุดด้อย คือ เมื่อใช้ไนตรัสออกไซด์หมดแล้วต้องหาซื้อมาเติมใหม่ และถ้าไม่เปลี่ยนชิ้นส่วนภายในเครื่องยนต์ให้แข็งแรงขึ้น (คล้ายกับการเตรียมรับบูสท์จากเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จ) ก็จะไม่สามารถอัดไนตรัสได้ในปริมาณมากและนาน บางเครื่องยนต์อัดไนตรัสออกไซด์ได้ครั้งละ 2-5 วินาทีเท่านั้น เพราะถ้าเกินกว่านั้นอาจพัง ! เช่น ลูกสูบแตก ปะเก็นฝาสูบแตก ก้านสูบขาด ฯลฯ ส่วนใหญ่ไนตรัสออกไซด์มักถูกใช้เป็นไม้ตาย หลังจากอัดเทอร์โบ-ซูเปอร์ชาร์จหรือแต่งเครื่องยนต์กันสุดๆ แล้วยังไม่สามารถแซงขึ้นหน้าคู่แข่งได้ ก็อัดเพิ่มในช่วงระยะเวลาสั้นๆ ไม่ใช่ใส่เฉพาะไนตรัสออกไซด์เพียงอย่างเดียว เครื่องยนต์ที่ติดตั้งระบบอัดอากาศอยู่แล้ว เครื่องยนต์ทั้งแบบที่ติดตั้งเทอร์โบหรือซูเปอร์ชาร์จมาจากโรงงานผู้ผลิต มักมีการควบคุมแรงดันของอากาศ (บูสท์) ที่จะอัดเข้าสู่เครื่องยนต์ไว้ในอัตราที่ไม่สร้างความเสียหายกับเครื่องยนต์ ไม่ว่าผู้ขับจะกระแทกกระทั้นหนักเพียงไร ดังนั้นบูสท์ที่ถูกควบคุมไว้จึงไม่สูงนัก สามารถปรับเพิ่มขึ้นได้อีกเล็กน้อยโดยที่เครื่องยนต์ยังพอรับได้ หรือที่เรียกกันง่ายๆ ว่า ปรับบูสท์เพิ่มนั่นเอง โดยมีข้อแม้ว่า ไม่ควรปรับบูสท์เพิ่มมาก (เพิ่มจากเดิม 2-5 ปอนด์ต่อตารางนิ้ว) และต้องควบคุมให้มีการเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงขึ้นอย่างเหมาะสมกับอากาศ หรือไม่ให้ไอดีบางเกินไป เพื่อไม่ให้เกิดการชิงจุดระเบิด (น็อก) จนเครื่องยนต์เสียหาย ไม่สามารถสรุปได้ว่า เครื่องยนต์รุ่นใดจะปรับบูสท์เพิ่มได้เท่าไรโดยไม่พัง แต่ก็พอบอกได้ว่า ถ้าเพิ่มขึ้นสัก 2-3 ปอนด์ต่อตารางนิ้วและน้ำมันเชื้อเพลิงไม่บางเกินไป เครื่องยนต์ก็พอทนได้แบบไม่แช่รอบสูงยาวๆ แล้วก็ไม่สามารถบอกได้ว่า เมื่อปรับบูสท์เพิ่มแล้วจะต้องเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยวิธีไหน เพราะบางเครื่องยนต์จะเพิ่มให้เองโดยอัตโนมัติ แต่บางเครื่องยนต์ต้องหาวิธีเพิ่มเอง ไม่ว่าจะปรับบูสท์เพิ่มขึ้นเท่าไร โดยไม่แตะต้องไส้ในเครื่องยนต์ พึงระลึกไว้เสมอว่า ทำได้ แต่น้ำมันเชื้อเพลิงต้องเพียงพอ ต้องไม่ให้มีการชิงจุดระเบิด และไม่ควรแช่ยาว เพราะอาจทำให้ชิ้นส่วนในเครื่องยนต์พังได้ น้ำมันเชื้อเพลิง ผู้ที่ต้องการเพิ่มความแรงของเครื่องยนต์ มักพุ่งความสนใจไปที่จุดนี้ เพราะคิดแค่ว่าน้ำมันเชื้อเพลิงต้องถูกเผาไหม้ ยิ่งใส่เข้าไปได้มากย่อมแรงขึ้น โดยมองข้ามไปว่า ถ้าไม่เพิ่มอากาศเข้าไปด้วย ก็จะเพิ่มน้ำมันได้ไม่มากและมีขอบเขตจำกัด จริงอยู่ที่การเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงก็น่าจะทำให้แรงขึ้นได้ แต่น้ำมันเชื้อเพลิงต้องมีอากาศมาผสมในอัตราส่วนที่เหมาะสม เพื่อให้มีการจุดระเบิดและเผาไหม้สมบูรณ์ แต่ไม่ใช่เพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงแบบไร้ขอบเขตได้แล้วจะแรง ถ้าอย่างนั้นหากเทน้ำมันเชื้อเพลิงเข้าไปเป็นถังๆ โดยไม่เพิ่มอากาศด้วย ก็คงจะแรงกระฉูดไปแล้ว เครื่องยนต์จะแรงขึ้นได้ ต้องมีน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศในอัตราส่วนที่เหมาะสม ไม่ให้มีอัตราส่วนผสมของไอดีบางหรือหนาเกินไป เพื่อให้อากาศช่วยเผาไหม้น้ำมันเชื้อเพลิงได้อย่างสมบูรณ์ เครื่องยนต์เดิมๆ ส่วนใหญ่ไม่ได้ควบคุมให้มีการจ่ายน้ำมันเชื้อเพลิงในอัตราสูงสุดที่จะทำให้เครื่องยนต์แรงสุด โดยผู้ผลิตมักลดระดับลงมาเล็กน้อย เพื่อให้เครื่องยนต์แรงแค่พอสมควร แต่ประหยัดและมีมลพิษต่ำ หรือเรียกว่าส่วนผสมไอดีบางไว้หน่อยนั่นเอง จึงยังพอแต่งต่อเพื่อเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงได้อีกเล็กน้อย ดังนั้นการเพิ่มเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงในแต่ละเครื่องยนต์ จึงมีขอบเขตจำกัดและแตกต่างกัน เช่น เครื่องยนต์เดิมไอดีบางมาก ก็สามารถเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงได้มากหน่อย แต่ถ้าเครื่องยนต์เดิมไอดีเกือบจะหนาสุดอยู่แล้ว ก็สามารถเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงได้น้อย เพราะถ้าไอดีหนาเกินไป แทนที่จะแรงเครื่องยนต์กลับแรงตก กินน้ำมันเชื้อเพลิง และควันดำ หรือเรียกว่าน้ำมันท่วมนั่นเอง การเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงไม่ควรหนากว่าประมาณ 1 ต่อ 11-12 ของน้ำมันเชื้อเพลิงกับอากาศ การเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงมีหลายวิธี แยกเป็น 2 รูปแบบเครื่องยนต์หลัก คือ คาร์บูเรเตอร์กับหัวฉีด แต่อยู่บนพื้นฐานเดียวกัน เครื่องยนต์แบบคาร์บูเรเตอร์ ถ้าจะเพิ่มเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิง โดยไม่เปลี่ยนขนาดหรือเพิ่มจำนวนคาร์บูเรเตอร์ ก็สามารถเพิ่มได้เพียงการเปลี่ยนนมหนูน้ำมันเชื้อเพลิงใหญ่ขึ้นหรือเพิ่มเบอร์ใหญ่ขึ้นนั่นเอง และต้องเข้ากับหลักการที่ว่าไม่สามารถเพิ่มมากได้ โดยส่วนใหญ่แล้วถ้าไม่มีการเพิ่มอากาศ จะเพิ่มขนาดของนมหนูน้ำมันเชื้อเพลิงได้ไม่เกิน 0.10-0.20 มิลลิเมตร หรือเรียกแบบกลายๆ ตามสไตล์ช่างไทยว่า 10-20 เบอร์เท่านั้น ถ้าเกินกว่านี้อัตราส่วนผสมของไอดีอาจหนาเกินไป หรือน้ำมันท่วมจนเครื่องยนต์แรงตกนั่นเอง เครื่องยนต์แบบหัวฉีด สามารถเพิ่มน้ำมันเชื้อเพลิงด้วยหลากวิธีสารพัดอุปกรณ์ เช่น ความนิยมกับการเปลี่ยนโปรแกรม ชิพ (CHIP) หรือกล่องอีซียู ซึ่งส่วนใหญ่จะแรงขึ้นไม่มาก หากโปรแกรมเดิมเป็นไปตามแนวทางปกติก็จะแรงขึ้นได้น้อย เพราะผู้ผลิตมักไม่ยอมให้บางมาก แต่ถ้าเดิมเครื่องยนต์บางมาก ก็แรงขึ้นได้มาก โดยทั่วไป 5-10 เปอร์เซ็นต์ ก็สูงสุดแล้ว เพราะถ้าเพิ่มขึ้นมากๆ อัตราส่วนผสมของไอดีก็จะหนาเกินไปจนเครื่องยนต์แรงตกเช่นกัน ถ้าคิดจะเพิ่มเฉพาะน้ำมันเชื้อเพลิงโดยไม่ทำอย่างอื่น หรือเรียกกันกลายๆ ว่า เปลี่ยนชิพ (CHIP) ใหม่-โปรแกรมใหม่ ก็ให้นึกถึงการเปลี่ยนนมหนูใหญ่ๆ ในระบบคาร์บูเรเตอร์ไว้ว่า ไอดีหนาขึ้นได้ไม่มาก นอกจากเครื่องยนต์เดิมนั้นมีไอดีบางมาก ไฟจุดระเบิด แรงมากย่อมดีโดยไม่มีเสีย (นอกจากเงิน) แต่ถ้าไม่มีการเพิ่มให้มีทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศหนาแน่นขึ้นมาก การเพิ่มพลังไฟในการจุดระเบิด เพื่อให้หัวเทียนมีประกายไฟโดยไม่แต่งระบบอื่นก็เกือบจะไร้ประโยชน์ ถ้าเดิมนั้นจุดระเบิดได้แรงพออยู่แล้ว โดยต้องขึ้นอยู่กับว่าระบบไฟจุดระเบิดนั้นแรงเพียงพอกับน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศที่ถูกคลุกเคล้าในกระบอกสูบหรือไม่ ส่วนใหญ่แล้วถ้าเพิ่มเฉพาะกำลังไฟจุดระเบิด เครื่องยนต์จะแรงขึ้นน้อยมาก อย่างมากก็แค่อัตราเร่งลื่นๆ ขึ้นเท่านั้นเอง แต่ถ้ามีการเพิ่มทั้งน้ำมันเชื้อเพลิงและอากาศจนไอดีหนาแน่นขึ้น การเพิ่มประสิทธิภาพของระบบไฟจุดระเบิดย่อมต้องทำควบคู่กัน การแต่งระบบไฟจุดระเบิด เช่น การเพิ่มประสิทธิภาพของคอยล์ ใช้สายหัวเทียนความต้านทานต่ำ หัวเทียนแพลตินัม ฯลฯ แต่ถ้าเพิ่มขึ้นไปในขณะที่อุปกรณ์เดิมก็เพียงพออยู่แล้ว เครื่องยนต์ก็จะแรงขึ้นเพียงเล็กน้อย อย่างมากก็แค่ลื่นๆ ขึ้นเท่านั้น หลายกรณีที่พบว่า เมื่อเปลี่ยนหัวเทียนหรือสายหัวเทียนแบบพิเศษเข้าไปแล้ว ทำให้เครื่องยนต์แรงขึ้น เป็นเพราะอุปกรณ์เดิมนั้นแย่หรือหมดสภาพไปแล้ว ไม่ว่าจะเปลี่ยนหัวเทียนเป็นแบบมาตรฐานหรือแบบพิเศษ ก็ย่อมดีขึ้น ไล่ไอเสีย การไล่ไอเสียออกจากเครื่องยนต์ให้หมดจดและรวดเร็วที่สุดย่อมมีแต่ผลดี และสามารถเพิ่มกำลังให้กับเครื่องยนต์ได้ เสมือนกับการทำให้ท่อน้ำทิ้งของบ้านไหลลื่นที่สุด สำหรับเครื่องยนต์ทั่วไปที่ไม่ได้ตกแต่งส่วนอื่น ถ้ามีการเปลี่ยนอุปกรณ์ในระบบไอเสียให้ดีขึ้น เช่น ที่เรียกกันกลายๆ ว่า ตีเฮดเดอร์ ซึ่งเป็นอุปกรณ์ที่เข้ามาทดแทนเฉพาะท่อร่วมไอเสีย พร้อมกับหม้อพักไส้ตรงแบบโล่งๆ พบว่าถ้าเดิมไม่อั้นการระบายไอเสียมาก ก็จะได้ผลดีขึ้นน้อยมาก ไม่น่าให้แรงม้าจากเดิมเกิน 5-10 เปอร์เซ็นต์ นอกจากจะบังเอิญว่าระบบท่อไอเสียเดิมนั้นอั้นการระบายมากๆ ขอบคุณข้อมูลจาก[url]http://www.geocities.com[/u][/SIZE][/COLOR][/url][/SIZE][/COLOR][/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Car Clubs
>
Nissan Car Clubs
>
NV Club
>
วิธีใช่รถขับหน้าให้ทนทาน
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...