เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Car Clubs
>
Honda Car Clubs
>
ClubStream
>
ผลของความขี้อิจฉา ต้องเอาธรรมะเข้าข่ม
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="panya852, post: 1111451, member: 2830"]<span style="color: Red">ถาม : คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาผู้อื่น จะมีผลเสียต่อเขาเองอย่างไรบ้าง และสามารถแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไรบ้างครับ ?</span></p><p><br /></p><p><span style="color: Lime">ตอบ : คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาผู้อื่น จะมีผลเสียต่อเขาเองอย่างไรบ้าง และสามารถแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไรบ้างครับ ? </span></p><p><br /></p><p><br /></p><p><br /></p><p><span style="color: Lime">คุณโยมก็ต้องดูให้ถึงต้นตอเสียก่อนว่า นิสัยของคนที่ชอบอิจฉาตาร้อน หรือว่าไม่อยากให้ใครได้ดีเกินกว่าตัวเองนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ..?</span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">นิสัยอิจฉาริษยานี้ จะเกิดขึ้นกับคนที่มีความดีในตัวน้อยกว่าคนอื่น เพราะถ้าหากมี คุณงามความดีอยู่ในตัวมากกว่าคนอื่น เขาคงไม่มีความจำเป็นต้องไปอิจฉาตาร้อนใคร </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">เนื่องจากมีคุณงามความดี มีความรู้ มีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น แล้วอยากจะให้ได้ดีเท่ากับเขา หรืออยากจะให้ดียิ่งกว่าเขา แต่แทนที่จะคิดแก้ไขตัวเอง กลับไปคิดในทางผิดๆ ในทางร้ายๆ </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">คือ แทนที่จะยกตัวเองขึ้นมาด้วยการทำ ความดีให้ยิ่งขึ้นไป กลายเป็นว่าความดีก็ไม่ทำแถมยังคิดจะเหยียบคนอื่นลงไปด้วยฤทธิ์แห่งความเข้าใจผิด จนกลายเป็นความอิจฉาริษยา ไม่อยากให้ใครได้ดีเสียอีก </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">เมื่อเรารู้แล้วว่าต้นเหตุแห่งความอิจฉาริษยานั้น มาจากความที่ตัวเองมีคุณงามความดีน้อย ก็สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าอย่างนั้นในใจของคนที่ชอบอิจฉาริษยา ก็คงจะมีแต่ความเศร้าหมอง คิดที่จะสร้างสรรค์อะไรกับใครเขาไม่เป็น คิดออกแต่ในเรื่องที่จะทำลายทำร้ายคนอื่นอยู่ร่ำไป </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">เช่น คิดจะทำลายทรัพย์สินเงินทอง คิดจะทำลายเกียรติยศชื่อเสียง คิดจะทำร้ายคนอื่นให้เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ คิดวนๆ เวียนๆ อยู่อย่างนี้ </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">เพราะฉะนั้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยา จึงเป็นคนที่ใจเศร้าหมองทั้งวัน เมื่อมีใจเศร้าหมองอย่างนี้ แม้คำพูดก็เป็นคำพูดที่ชวนให้เศร้าหมอง คือ มีแต่เรื่องร้ายๆ ออกจากปาก ไม่มีคำพูดที่เป็นภาษา ดอกไม้ มีแต่พ่นพิษพรวดๆ ออกมา เมื่อเป็นอย่างนี้หนักๆ เข้า ก็จะเลยไปจนกระทั่งถึงการกระทำทางร่างกาย ทำให้แสดงอาการร้ายๆ ออกมา ตั้งแต่การกระทบกระแทกแดกดัน ทำอะไรโครมคราม หรือมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่กัน เป็นต้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น หรือคนที่ มีบุญน้อย แล้วไม่คิดจะทำบุญเพิ่มเติม แต่กลับไปคิดทำร้ายคนอื่น จึงมีอาการเช่นนี้</span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">เมื่อความดีเก่ามีอยู่น้อยจนทำให้สู้ใครเขาไม่ได้ แล้วความดีใหม่ก็ไม่คิดจะทำเพิ่มตรงกันข้ามมีแต่จะเพิ่มความร้ายกาจ เพิ่มความบาปเข้าไปทุกวันๆ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเผาผลาญเป็นการทำลายล้างตัวเองไปทุกวันๆ นั่นเอง นี่คือผลเสียต่อตัวเองของความที่เป็นคนขี้อิจฉาริษยา</span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าได้เป็นเข้าทีเดียว ถ้าครั้งใดใจคิดแวบไป ชักเริ่มจะอิจฉาชาวบ้านที่เขาดังกว่าเรา เด่นกว่าเรา ดีกว่าเราขึ้นมาละก็ รีบติดเบรกเสียนะ </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">โดยเตือนตัวเองว่า ที่เรายังตกต่ำอยู่อย่างนี้ เพราะว่าชาติที่แล้ว รวมทั้งชาตินี้ด้วย เราสั่งสมคุณงามความดีมาน้อยไป </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">เตือนตัวเองได้อย่างนี้ หนทางที่จะแก้ไขให้ดีก็มีมากขึ้น เพราะจับทิศทางถูกว่า เมื่อเรามีบุญน้อย ก็ต้องหาวิธีเติมบุญ คือ ในเรื่องของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากหมู่คณะ หรือจากครอบครัว จากงานเลี้ยงชีวิตเราเองก็ตาม นอกจาก ทำให้สุดฝีมือแล้ว ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">แต่ในกรณีที่ถึงจะปรับปรุงอย่างไรก็ยังสู้ไม่ได้ อยู่นั่นเอง อย่างนี้ต้องรีบเข้าไปกราบขอความรู้จากเขา ซึ่งจะทำให้เราย่นระยะเวลาทั้งในการปรับปรุงฝีมือและเวลาที่ไม่ต้องไปตกนรกได้ตั้งเยอะ</span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาวัด มาศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำบุญ ทำทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิ ต่อแต่นี้รีบไปทำกัน </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">ด้วยการศึกษาจากหลวงปู่ หลวงพ่อ ว่าทำสิ่งเหล่านี้แล้วดีอย่างไร เช่น การทำทานมีผลทำให้รวย การรักษาศีลมีผลทำให้สวย การเจริญสมาธิภาวนามีผลทำให้เฉลียวฉลาด มีสติปัญญา </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">พอจับหลักตรงนี้ได้ ถ้าอยากจะเพิ่มเติมความรู้อะไรเป็นรายละเอียดให้ยิ่งขึ้นไป ก็ค่อยๆ ศึกษาจากหลวงปู่ หลวงพ่อท่าน </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">ยกตัวอย่าง เรามีอะไรต่ออะไรพร้อมแล้วแต่ที่ไปอิจฉาเขานั้น เพราะว่าเราไม่มีบริวาร เวลาไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่ รวยก็แสนรวย สวยก็แสนสวย แต่ว่าใครๆ ก็ไม่รัก </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">แล้วแทนที่จะถามว่าทำไมใครๆ ถึงไม่รักเรา กลับเที่ยวไปโกรธไปเคืองเขา หรือว่าเที่ยวไปอิจฉา คนที่มีคนรักเต็มบ้านเต็มเมือง ต้องมองและตั้งคำถามใหม่ให้เป็น คือ แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไม เขาไม่รักเรา ก็ตั้งคำถามเสียใหม่ว่าเราไม่น่ารักตรงไหน แล้วเริ่มสำรวจตรวจสอบตัวเอง </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ไปถามหลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านดูก็ได้ แล้วเราจะได้รู้ว่าวิชาเจ้าเสน่ห์ ซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้นั้น มีอยู่ ๔ ข้อ ด้วยกัน คือ</span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">๑. หมั่นให้ทาน คำว่า "ทาน" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการตักบาตรกับพระภิกษุสามเณร ทานในที่นี้ หมายถึง มีอะไรก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">๒. ปิยวาจา เวลาพูดจากับใครก็พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ เพราะสิ่งที่จะให้กำลังใจคนได้ดีนั้น ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่เพราะๆ ในทำนองเดียวกันสิ่งที่จะทอนกำลังใจคน ก็ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่ระคายหูเช่นกัน </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">๓. อัตถจริยา คือ ความรู้ความสามารถ ที่เรามีอยู่ ถ้าเอาไปช่วยใครได้ ก็ช่วยๆ กันไป อย่าไปหวงเลย </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">๔. สมานัตตตา คือ ไม่ว่าคบกับใครก็มีแต่ความจริงใจให้เขา ไม่แทงใครข้างหลัง ไม่ว่าร้ายใครลับหลัง มีแต่ความจริงใจ มีแต่ความปลอดภัยให้เขาเสมอ </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">ทั้ง ๔ ประการนี้แหละจะเป็นที่มาแห่งเสน่ห์ของเรา พูดง่าย ๆ โปรยเสน่ห์ด้วยการให้ ทั้งสิ่งของ ทั้งคำพูด ทั้งกำลังอกกำลังใจ ทั้งความปลอดภัยแก่เขา ทำอย่างนี้แล้วใครยังไม่รัก ก็ให้รู้ไป </span></p><p><span style="color: Lime">แล้วในไม่ช้าเราจะต้องย้อนกลับมาถาม หลวงพ่อว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ เวลาไปไหนมาไหน ถึงมีแต่ถูกคนอื่นเขาตามอิจฉากันทั้งบ้านทั้งเมือง </span></p><p><span style="color: Lime"><br /></span></p><p><span style="color: Lime">ถึงตอนนั้นก็ช่วยไปสอนคนอื่นๆ ที่กำลัง อิจฉาคุณให้รู้ว่า เมื่อก่อนคุณเองก็เคยเป็นอย่างเขาเหมือนกัน แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไร บอกเขาไปด้วย เพื่อจะได้เป็นบุญติดตัวเราต่อไป...</span></p><p><br /></p><p><span style="color: Red">ที่มา <a href="http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?" rel="nofollow">http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?</a></span>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="panya852, post: 1111451, member: 2830"][COLOR="Red"]ถาม : คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาผู้อื่น จะมีผลเสียต่อเขาเองอย่างไรบ้าง และสามารถแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไรบ้างครับ ?[/COLOR] [COLOR="Lime"]ตอบ : คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาผู้อื่น จะมีผลเสียต่อเขาเองอย่างไรบ้าง และสามารถแก้ไขนิสัยนี้ได้อย่างไรบ้างครับ ? [/COLOR] [COLOR="Lime"]คุณโยมก็ต้องดูให้ถึงต้นตอเสียก่อนว่า นิสัยของคนที่ชอบอิจฉาตาร้อน หรือว่าไม่อยากให้ใครได้ดีเกินกว่าตัวเองนั้น เกิดขึ้นได้อย่างไร ..? นิสัยอิจฉาริษยานี้ จะเกิดขึ้นกับคนที่มีความดีในตัวน้อยกว่าคนอื่น เพราะถ้าหากมี คุณงามความดีอยู่ในตัวมากกว่าคนอื่น เขาคงไม่มีความจำเป็นต้องไปอิจฉาตาร้อนใคร เนื่องจากมีคุณงามความดี มีความรู้ มีความสามารถน้อยกว่าคนอื่น แล้วอยากจะให้ได้ดีเท่ากับเขา หรืออยากจะให้ดียิ่งกว่าเขา แต่แทนที่จะคิดแก้ไขตัวเอง กลับไปคิดในทางผิดๆ ในทางร้ายๆ คือ แทนที่จะยกตัวเองขึ้นมาด้วยการทำ ความดีให้ยิ่งขึ้นไป กลายเป็นว่าความดีก็ไม่ทำแถมยังคิดจะเหยียบคนอื่นลงไปด้วยฤทธิ์แห่งความเข้าใจผิด จนกลายเป็นความอิจฉาริษยา ไม่อยากให้ใครได้ดีเสียอีก เมื่อเรารู้แล้วว่าต้นเหตุแห่งความอิจฉาริษยานั้น มาจากความที่ตัวเองมีคุณงามความดีน้อย ก็สะท้อนให้เห็นว่า ถ้าอย่างนั้นในใจของคนที่ชอบอิจฉาริษยา ก็คงจะมีแต่ความเศร้าหมอง คิดที่จะสร้างสรรค์อะไรกับใครเขาไม่เป็น คิดออกแต่ในเรื่องที่จะทำลายทำร้ายคนอื่นอยู่ร่ำไป เช่น คิดจะทำลายทรัพย์สินเงินทอง คิดจะทำลายเกียรติยศชื่อเสียง คิดจะทำร้ายคนอื่นให้เจ็บทั้งกาย เจ็บทั้งใจ คิดวนๆ เวียนๆ อยู่อย่างนี้ เพราะฉะนั้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยา จึงเป็นคนที่ใจเศร้าหมองทั้งวัน เมื่อมีใจเศร้าหมองอย่างนี้ แม้คำพูดก็เป็นคำพูดที่ชวนให้เศร้าหมอง คือ มีแต่เรื่องร้ายๆ ออกจากปาก ไม่มีคำพูดที่เป็นภาษา ดอกไม้ มีแต่พ่นพิษพรวดๆ ออกมา เมื่อเป็นอย่างนี้หนักๆ เข้า ก็จะเลยไปจนกระทั่งถึงการกระทำทางร่างกาย ทำให้แสดงอาการร้ายๆ ออกมา ตั้งแต่การกระทบกระแทกแดกดัน ทำอะไรโครมคราม หรือมีอาการหน้านิ่วคิ้วขมวดใส่กัน เป็นต้น คนที่มีนิสัยชอบอิจฉาริษยาผู้อื่น หรือคนที่ มีบุญน้อย แล้วไม่คิดจะทำบุญเพิ่มเติม แต่กลับไปคิดทำร้ายคนอื่น จึงมีอาการเช่นนี้ เมื่อความดีเก่ามีอยู่น้อยจนทำให้สู้ใครเขาไม่ได้ แล้วความดีใหม่ก็ไม่คิดจะทำเพิ่มตรงกันข้ามมีแต่จะเพิ่มความร้ายกาจ เพิ่มความบาปเข้าไปทุกวันๆ ซึ่งก็เท่ากับเป็นการเผาผลาญเป็นการทำลายล้างตัวเองไปทุกวันๆ นั่นเอง นี่คือผลเสียต่อตัวเองของความที่เป็นคนขี้อิจฉาริษยา เพราะฉะนั้น พวกเราอย่าได้เป็นเข้าทีเดียว ถ้าครั้งใดใจคิดแวบไป ชักเริ่มจะอิจฉาชาวบ้านที่เขาดังกว่าเรา เด่นกว่าเรา ดีกว่าเราขึ้นมาละก็ รีบติดเบรกเสียนะ โดยเตือนตัวเองว่า ที่เรายังตกต่ำอยู่อย่างนี้ เพราะว่าชาติที่แล้ว รวมทั้งชาตินี้ด้วย เราสั่งสมคุณงามความดีมาน้อยไป เตือนตัวเองได้อย่างนี้ หนทางที่จะแก้ไขให้ดีก็มีมากขึ้น เพราะจับทิศทางถูกว่า เมื่อเรามีบุญน้อย ก็ต้องหาวิธีเติมบุญ คือ ในเรื่องของการทำงาน ไม่ว่าจะเป็นงานในหน้าที่ที่ได้รับมอบหมายมาจากหมู่คณะ หรือจากครอบครัว จากงานเลี้ยงชีวิตเราเองก็ตาม นอกจาก ทำให้สุดฝีมือแล้ว ยังต้องปรับปรุงให้ดียิ่งๆ ขึ้นไปอีกด้วย แต่ในกรณีที่ถึงจะปรับปรุงอย่างไรก็ยังสู้ไม่ได้ อยู่นั่นเอง อย่างนี้ต้องรีบเข้าไปกราบขอความรู้จากเขา ซึ่งจะทำให้เราย่นระยะเวลาทั้งในการปรับปรุงฝีมือและเวลาที่ไม่ต้องไปตกนรกได้ตั้งเยอะ จากนั้นก็หันหน้าเข้าหาวัด มาศึกษาธรรมะ ปฏิบัติธรรมให้ยิ่งๆ ขึ้นไป ก่อนหน้านี้ไม่เคยทำบุญ ทำทาน ไม่เคยรักษาศีล ไม่เคยนั่งสมาธิ ต่อแต่นี้รีบไปทำกัน ด้วยการศึกษาจากหลวงปู่ หลวงพ่อ ว่าทำสิ่งเหล่านี้แล้วดีอย่างไร เช่น การทำทานมีผลทำให้รวย การรักษาศีลมีผลทำให้สวย การเจริญสมาธิภาวนามีผลทำให้เฉลียวฉลาด มีสติปัญญา พอจับหลักตรงนี้ได้ ถ้าอยากจะเพิ่มเติมความรู้อะไรเป็นรายละเอียดให้ยิ่งขึ้นไป ก็ค่อยๆ ศึกษาจากหลวงปู่ หลวงพ่อท่าน ยกตัวอย่าง เรามีอะไรต่ออะไรพร้อมแล้วแต่ที่ไปอิจฉาเขานั้น เพราะว่าเราไม่มีบริวาร เวลาไปไหนมาไหน ทั้งๆ ที่ รวยก็แสนรวย สวยก็แสนสวย แต่ว่าใครๆ ก็ไม่รัก แล้วแทนที่จะถามว่าทำไมใครๆ ถึงไม่รักเรา กลับเที่ยวไปโกรธไปเคืองเขา หรือว่าเที่ยวไปอิจฉา คนที่มีคนรักเต็มบ้านเต็มเมือง ต้องมองและตั้งคำถามใหม่ให้เป็น คือ แทนที่จะตั้งคำถามว่าทำไม เขาไม่รักเรา ก็ตั้งคำถามเสียใหม่ว่าเราไม่น่ารักตรงไหน แล้วเริ่มสำรวจตรวจสอบตัวเอง ถ้าหาไม่เจอจริงๆ ไปถามหลวงปู่ หลวงพ่อ ท่านดูก็ได้ แล้วเราจะได้รู้ว่าวิชาเจ้าเสน่ห์ ซึ่ง พระสัมมาสัมพุทธเจ้าทรงให้ไว้นั้น มีอยู่ ๔ ข้อ ด้วยกัน คือ ๑. หมั่นให้ทาน คำว่า "ทาน" ในที่นี้ ไม่ได้หมายถึงการตักบาตรกับพระภิกษุสามเณร ทานในที่นี้ หมายถึง มีอะไรก็ปันกันกิน ปันกันใช้ รวมทั้งปันกันดังด้วย ๒. ปิยวาจา เวลาพูดจากับใครก็พูดด้วยถ้อยคำที่ไพเราะ เพราะสิ่งที่จะให้กำลังใจคนได้ดีนั้น ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่เพราะๆ ในทำนองเดียวกันสิ่งที่จะทอนกำลังใจคน ก็ไม่มีอะไรเกินคำพูดที่ระคายหูเช่นกัน ๓. อัตถจริยา คือ ความรู้ความสามารถ ที่เรามีอยู่ ถ้าเอาไปช่วยใครได้ ก็ช่วยๆ กันไป อย่าไปหวงเลย ๔. สมานัตตตา คือ ไม่ว่าคบกับใครก็มีแต่ความจริงใจให้เขา ไม่แทงใครข้างหลัง ไม่ว่าร้ายใครลับหลัง มีแต่ความจริงใจ มีแต่ความปลอดภัยให้เขาเสมอ ทั้ง ๔ ประการนี้แหละจะเป็นที่มาแห่งเสน่ห์ของเรา พูดง่าย ๆ โปรยเสน่ห์ด้วยการให้ ทั้งสิ่งของ ทั้งคำพูด ทั้งกำลังอกกำลังใจ ทั้งความปลอดภัยแก่เขา ทำอย่างนี้แล้วใครยังไม่รัก ก็ให้รู้ไป แล้วในไม่ช้าเราจะต้องย้อนกลับมาถาม หลวงพ่อว่า ทำไมเดี๋ยวนี้ เวลาไปไหนมาไหน ถึงมีแต่ถูกคนอื่นเขาตามอิจฉากันทั้งบ้านทั้งเมือง ถึงตอนนั้นก็ช่วยไปสอนคนอื่นๆ ที่กำลัง อิจฉาคุณให้รู้ว่า เมื่อก่อนคุณเองก็เคยเป็นอย่างเขาเหมือนกัน แล้วมีวิธีแก้ไขอย่างไร บอกเขาไปด้วย เพื่อจะได้เป็นบุญติดตัวเราต่อไป...[/COLOR] [COLOR="Red"]ที่มา [url]http://www.kalyanamitra.org/u-ni-boon/main/index.php?[/url][/COLOR][/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Car Clubs
>
Honda Car Clubs
>
ClubStream
>
ผลของความขี้อิจฉา ต้องเอาธรรมะเข้าข่ม
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...