เข้าสู่ระบบหรือลงทะเบียน
ติดต่อลงโฆษณา
[email protected]
หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Team and group
>
Team and Group
>
TOMARU
>
ดื่มน้ำเป็นหรือเปล่า
>
ตอบกลับหัวข้อ
ชื่อ:
การตรวจสอบ:
กรุณาเปิดใช้งานจาวาสคริปต์เพื่อดำเนินการต่อ
กำลังโหลด...
ข้อความ:
<p>[QUOTE="กล้วย910, post: 1246972, member: 12"]<font size="3"><span style="color: Yellow">คนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหม</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ดื่มก่อนนอน เป็นต้น</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยัง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ข้อหนึ่ง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีคุณและมีโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมัน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีก เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ข้อสอง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่า ผมจะอธิบายให้ฟังว่า</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่ป้สสาวะเป็นเส้นทางหลัก คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกาย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">อย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">นอกจากนี้ อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แก้วละ 200 มล. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ต่อความต้องการของร่างกาย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow"><br /></span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">สูตรคือ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow"><br /></span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตร</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">(60 x 2.2 x 30) หาร 2 = 1980 มล.</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">หรือประมาณ 10 แก้วต่อวัน ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะเดินไม่สะดวก ร่างกายก็จะทั้งขับของเสียยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ข้อสาม</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">อย่าง ที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่าง กาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่ ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติก ๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉย ๆ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลย ที่บ้านตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow"><br /></span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ข้อสี่</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ไหนใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปบ้างประมาณว่ากินข้าวเสร็จ หมดน้ำไปสองแก้ว ยกมือขึ้น</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลย เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุด</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลย เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็น</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">คืออาหารไม่ย่อยหมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">2-5 แก้ว เพื่อ เป็นการขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควรก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหารและหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ถ้ากินน้ำครั้งละมาก ๆ ผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึม</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมดแล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เหมือนทำยาก แต่จริง ๆ แล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไร</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">(กินกันเป็นแก้ว ล้างปากเนี่ยนะ) </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">หรือ ต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์ </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow"> เพราะมันควรกินแกล้มอาหารเลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไป</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลายเช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">มีสองเหตุผล</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow"><br /></span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">หนึ่ง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เหตุผลที่สอง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไป</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow"><br /></span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เป็น ไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมน้ำเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสีย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข็าไปท็องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขายแต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้น</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม. เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">"กาแฟหอมนะหมอ"</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">หอม.. ไม่เถียง แต่มันไม่ดี เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็น หมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่งครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน 555</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">อย่างที่บอก หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอก และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานสุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่า</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow"> </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ปล.</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">If you trust me ก็นำไปปฎิบัติตามนะ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันกัน </span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก</span></font></p><p><font size="3"><span style="color: Yellow">ขอให้บอกต่อๆกันไป ขอบคุณ... </span></font>[/QUOTE]</p><p><br /></p>
[QUOTE="กล้วย910, post: 1246972, member: 12"][SIZE="3"][COLOR="Yellow"]คนไทยส่วนใหญ่ทำผิดมากที่สุดคือ เรื่องของการดื่มน้ำนี่แหละ ลองทำแบบทดสอบกันสักนิดก่อนอ่านต่อดีไหม 1. คุณมีความเชื่อที่ว่าน้ำยิ่งดื่มเยอะยิ่งดีหรือไม่ 2. คุณดื่มน้ำวันละกี่แก้ว 3. น้ำที่ดื่มเป็นน้ำเย็น, น้ำธรรมดา หรือว่าน้ำอุ่น 4. ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนเป็นพิเศษไหม เช่น ดื่มตอนเช้า ดื่มระหว่างทานข้าว ดื่มก่อนนอน เป็นต้น 5. ปกติดื่มอะไร เช่น น้ำเปล่า น้ำอัดลม ชา กาแฟ เป็นต้น เราเฉลยกันไปทีละข้อๆพร้อมอธิบายละกันครับ พร้อมที่จะรู้ความผิดของตัวเองหรือยัง ข้อหนึ่ง นั้น เป็นความเชื่อที่ผิดครับ ทุกอย่างต่างมีคุณและมีโทษ ต้องหาจุดสมดุลของมัน น้ำดื่มมากเกินไปกลับไม่ดีเสียอีก เดี๋ยวผมจะมีสูตรให้คำนวณว่าวันหนึ่งเพื่อนๆควรดื่มน้ำแค่ไหน ข้อสอง คิดว่าทุกคนคงเคยเรียนกันมาอยู่แล้วว่าคนเราวันหนึ่งควรทานน้ำวันละ 8-10 แก้ว ว่าแต่ทำได้อย่างที่เรียนมาหรือเปล่า ผมจะอธิบายให้ฟังว่า น้ำในร่างกายของเรามีที่มาที่ไปอย่างไรก่อน น้ำที่เข้าสู่ร่างกายเรามาจากน้ำและอาหารที่ทานเข้าไปเป็นหลัก ส่วนน้ำจะออกจากร่างกายทางปัสสาวะ อุจจาระ เหงื่อ และทางลมหายใจ แต่ป้สสาวะเป็นเส้นทางหลัก คนเราจำเป็นต้องปัสสาวะออกจากร่างกาย อย่างน้อย 500 มิลลิลิตรต่อวัน ไม่เช่นนั้นจะไม่สามารถขับของเสียออกจากร่างกายได้หมด นอกจากนี้ อีกสามทางที่เหลือโดยเฉลี่ยก็จำเป็นต้องใช้น้ำอีกราว 1000 มิลลิลิตร หรือ 1 ลิตร ต่อวัน เมื่อเป็นเช่นนั้นแล้ว คนเราจึงต้องดื่มน้ำเพื่อชดเชยส่วนที่ออกจากร่างกายทุกวันราว 1500 มล. หรือ 7-8 แก้ว แก้วละ 200 มล. แต่ทั้งนี้ทั้งนั้นตัวเลขนี้ก็ไม่สามารถใช้ได้กับทุกคน ผมเลยมีสูตรมาให้คิดกันคร่าวๆว่าวันหนึ่งเราต้องทานน้ำปริมาณเท่าไรจึงจะเพียงพอ ต่อความต้องการของร่างกาย สูตรคือ น้ำหนักตัว(กก.) x 2.2 x 30) / 2 หน่วยที่ได้ออกมาเป็นมิลลิลิตร ครับ เช่น หนัก 60 กก. เอาเข้าแทนค่าก็จะได้ควรดื่มน้ำ (60 x 2.2 x 30) หาร 2 = 1980 มล. หรือประมาณ 10 แก้วต่อวัน ถ้าเราดื่มน้ำน้อยกว่านี้ เลือดซึ่ง 90% ทำมาจากน้ำก็จะเดินไม่สะดวก ร่างกายก็จะทั้งขับของเสียยาก ขณะเดียวกันสารอาหารในเลือดก็ส่งไปถึงร่างกายช้า ทางแพทย์จีนถ้าเกิดเลือดลมเดินไม่สะดวกนี่เป็นบ่อเกิดสารพัดโรคเลย บางคนบอกว่าประจำเดือนมาน้อยหรือไม่มา มาเป็นลิ่มเลือด สีเข้ม หนืด ปวดประจำเดือน ก็แหงละครับ น้ำไม่กินจะเอาที่ไหนไปสร้างเลือดละ แต่ถ้าทานน้ำมากกว่านี้ก็เป็นผลเสียต่อร่างกายอีกเหมือนกัน ทำอะไรก็ต้องพอดีๆ ข้อสาม อย่าง ที่เคยบอกไปตั้งแต่อาการขี้หนาวนะครับว่าน้ำเย็นเป็นของต้องห้ามสำหรับร่าง กาย กระเพาะเมื่อเจอของเย็นเข้าไปการทำงานจะด้อยลงทันที เกิดเป็นอาหารไม่ย่อย อาหารบูดเน่า หมักหมมอยู่ในกระเพาะและลำไส้ ลำไส้ก็ดูดซึมของเสียจากกากอาหารพวกนี้กลับเข้าสู่เส้นเลือดต่อไปเรื่อยๆจนกว่าจะถ่ายอุจจาระออกจากร่างกายของเรา เพราะฉะนั้นเราไม่ควรจะทานของเย็นๆครับ ทานน้ำธรรมดาหรือน้ำอุ่นก็ได้ แต่ ก่อนผมไม่รู้จุดนี้ก็ทานกันไป โดยเฉพาะไทยเป็นเมืองร้อน ทุกที่ต้องเสริฟน้ำเย็น เสริฟน้ำแข็งกันเป็นกระติก ๆ กินกันจนเป็นเรื่องธรรมชาติ ก่อนหน้านี้ไม่รู้ก็เฉย ๆ แต่พอตอนนี้ เห็นแล้วกลัวไปเลย ที่บ้านตอนนี้ไม่ทานน้ำแข็งกันแล้ว ข้อสี่ ดื่มน้ำช่วงเวลาไหนกัน ที่บอกให้ดื่มวันละ 8-10 แก้ว เนี่ยจะแบ่งกินช่วงไหนระหว่างวันบ้างละ ไหนใครที่ชอบทานข้าวไปจิบน้ำไปบ้างประมาณว่ากินข้าวเสร็จ หมดน้ำไปสองแก้ว ยกมือขึ้น ข้อนี้ผมจัดเป็นหายนะอย่างใหญ่หลวงที่สุดเลย เป็นการกินน้ำที่ผิดที่สุด คนเรามักทำอะไรเพลินเสียจนลืมทานน้ำ พอถึงเวลาว่างซึ่งมักจะเป็นเวลาทานข้าว เขาบอกว่าให้ทานน้ำเยอะก็ทานรวดเดียวไปเลย ผิด ผิด ผิด ผิดแบบไม่น่าให้อภัยเลย เพราะช่วงเวลาที่ทานข้าวนั้น ร่างกายจำเป็นต้องอาศัยน้ำย่อยในการย่อยอาหาร เมื่อคุณกินน้ำเข้าไปเยอะๆแล้ว น้ำย่อยก็จะเจือจาง ก็เข้าสู่ระบบเดียวกับการกินของเย็น คืออาหารไม่ย่อยหมักหมม พิษถูกดูดเข้าเส้นเลือด เพราะฉะนั้นที่คุณควรทำคือ ตอนเช้าตื่นมาดื่มน้ำก่อนเลย 2-5 แก้ว เพื่อ เป็นการขับพิษออกจากร่างกายทางอุจจาระ ปัสสาวะที่ให้ดื่มทันทีเพื่อให้มีระยะเวลาห่างจากอาหารเช้าพอสมควรก่อนอาหาร 15 นาที ระหว่างทานอาหารและหลังอาหาร 40 นาที ทานน้ำได้ไม่เกินครึ่งแก้ว ในที่นี้หมายรวมถึงซุป น้ำแกง และของเหลวทุกประเภทนะ และอย่าดื่มน้ำครั้งละมากๆ ให้จิบครั้งละ 2-3 อึก แต่จิบถี่ๆ หาขวดน้ำ แก้วน้ำมาวางไว้ข้างตัว จิบไปทั้งวันครับ ถ้ากินน้ำครั้งละมาก ๆ ผลก็คือ ร่างกายยังไม่ทันได้ดูดซึม ก็ไหลรวดเดียวปัสสาวะออกไปหมดแล้ว อย่างนี้ดื่มน้ำมากแค่ไหนก็ยังหิวน้ำครับ เหมือนน้ำป่ามาครั้งเดียว ทะลักล้นเขื่อนออกไปหมดแล้วจะเอาอะไรกักเก็บไว้ในเขื่อนละ เหมือนทำยาก แต่จริง ๆ แล้วพอเริ่มทำมันก็ไม่ยากอะไร ผมแต่ก่อนทานน้ำ 2-3 แก้วพร้อมทานข้าว ด้วยเหตุผลสารพัดที่เข้าใจผิด เช่น ควรกินข้าวพออิ่มและทานน้ำเพื่อให้อิ่มจริง หรือกินล้างปากสักหน่อย (กินกันเป็นแก้ว ล้างปากเนี่ยนะ) หรือ ต้องสั่งชอคโกแลตปั่นใส่วิปครีมมากิน กินแล้วหวานมันเย็นอร่อยแต่ส่งผลเสียต่อกระเพาะโดยไม่รู้ตัว เบียร์ก็อีกตัวครับ สังสรรค์กันทีกินเข้าไปสิกี่ขวดว่ากันไป ทุกวันนี้เลิกครับได้ข้อดีอีกอย่างคือไม่รู้จะเอาเวลาที่ไหนไปดื่มเครื่อง ดื่มแอลกอฮอล์ เพราะมันควรกินแกล้มอาหารเลยได้เลิกเหล้าเลิกเบียร์กันไป แต่ก่อนหลังทานข้าวเสร็จผมจะเรอตลอด ท้องอืดมาก ก็งง หรือว่าเรากินเยอะไป แต่บางทีกินไม่เยอะก็เรอตลอด เสียบุคลิกมาก พอมารู้ตรงนี้ถึงได้ถึงบางอ้อ กินน้ำเยอะอย่างนี้แล้วอาหารจะย่อยยังไงมันก็เลยเกิดลมเกิดแก๊สซิ พอเปลี่ยนพฤติกรรมการดื่มน้ำใหม่ อาการเหล่านี้ก็ดีขึ้นเรื่อยๆ นอกจากนี้หลังอาหารยังไม่ควรทานผลไม้ล้างปากทันทีอีกด้วย ครับ โดยเฉพาะผลไม้ที่มีฤทธิ์เย็นทั้งหลายเช่น ส้ม แก้วมังกร สาลี่ แตงโม เป็นต้น มีสองเหตุผล หนึ่ง เพราะว่าผลไม้จะย่อยเร็วกว่าอาหาร อาหารยังย่อยไม่เสร็จ ผลไม้ก็ค้างเติ่งอยู่ในกระเพาะ ร่างกายก็ดูดซึมสารอาหารจากผลไม้เหล่านี้ไม่ได้ พอไปถึงลำไส้ถึงคิวที่มันจะได้ดูดซึมมันก็เน่าเสียไปหมดแล้ว เพราะฉะนั้นถ้าจะทานผลไม้ควรทานก่อนหรือหลังอาหารสัก 1-2 ชม. ขณะท้องว่างเพื่อให้ร่างกายได้ดูดซึมวิตามิน สารอาหารและไม่รบกวนระบบการย่อยอาหารด้วย เหตุผลที่สอง คือ น้ำย่อยในกระเพาะถือว่าเป็นธาตุไฟ ถ้าทานผลไม้ฤทธิ์เย็นเข้าไป ก็จะส่งผลให้อาหารย่อยไม่ดี เกิดวงจรอุบาทว์ดังเช่นข้างบนอีกเหมือนกัน มาถึงข้อสุดท้ายแล้ว เป็น ไงบ้างครับ คอตกรับผิดกันเป็นแถวเชียว ยังครับมารับรู้ความผิดของตัวเองกันในข้อนี้ต่อทานน้ำอะไรกันครับ บางคนชอบทานน้ำอัดลมมาก ดื่มทุกวัน ไตก็ต้องทำงานกรองน้ำให้สะอาดหนักกว่าเดิม เครื่องกรองน้ำยี่ห้อแอมเวย์สามารถกรองโค้กให้กลายเป็นน้ำเปล่าได้ แต่อายุการใช้งานไม่ถึงปีก็ต้องเปลี่ยนหัวกรอง ทว่าเราไม่สามารถเปลี่ยนไตได้ ถ้ายังอยากให้ไตอยู่คู่กับเรานานๆแล้ว คุณคงรู้ว่าต้องทำอย่างไร อีกอย่างน้ำอัดลมน้ำเป็นน้ำที่ผ่านกรรมวิธีทางเคมี ใส่น้ำตาลจำนวนมาก กินเข้าไปมีแต่ผลเสีย ยิ่งอัดแก๊สอีก กินเข็าไปท็องก็อืด การย่อยอาหารก็ไม่ดี เสียเงินไปทำร้ายร่างกายตัวเองเปล่าๆ พวกชาพร้อมดื่มบรรจุขวดก็เหมือนกันไม่มีอะไรนอกจากน้ำตาลและคาเฟอีนปริมาณมากผสมน้ำนำมาขายแต่ถ้าเป็นชาจีนร้อนๆชงจากกาก็ควรจะเว้น ระยะหลังอาหารสักครึ่ง ชม. เพราะชามีฤทธิ์เย็น ทำให้อาหารไม่ย่อย รวมทั้งยังส่งผลต่อร่างกายในการดูดซึมธาตุเหล็กและโปรตีนอีกด้วย กาแฟก็ไม่ควรทานอย่างที่เคยพูดไว้ บางคนเถียงข้างๆคูๆ "กาแฟหอมนะหมอ" หอม.. ไม่เถียง แต่มันไม่ดี เดี๋ยวไอเดียบรรเจิดไม่เป็น หมอแล้ว ผลิตยาดมรสกาแฟดีกว่า ท่าจะรุ่งครบห้าข้อแล้ว โอย เหนื่อย เอนทรี่นี้ยาวเป็นบ้า แต่ก็จำเป็นต้องเขียน เพื่อประโยชน์สุขของมวลชน 555 ว่าไปนั่น ที่เขียนมาให้อ่านนี้เพราะหวังดีจริงๆ อยากให้ทุกคนใช้ชีวิตอย่างถูกต้องเพื่อจะได้ห่างจากโรคภัยไข้เจ็บ อย่างที่บอก หมอไม่อยากรักษาคนไข้หรอก และหมอที่ดีที่สุดคือตัวคนไข้เอง เพราะพวกผมไม่มีทางอยู่กับคุณได้ตลอด ความสำเร็จไม่ใช่ได้มาเพียงชั่วข้ามคืน แต่ต้องผ่านการฝึกฝนมาอย่างยาวนานสุขภาพที่ดีไม่ใช่ว่าป่วยแล้วไปหาหมอ ได้ยามาทานแล้วหาย แต่เป็นหน้าที่ของตัวคุณเองที่ต้องดูแลตัวเองอย่างถูกต้อง ขอให้พวกเราชนะโดยไม่จำเป็นต้องออกกระบวนท่า ปล. If you trust me ก็นำไปปฎิบัติตามนะ อีกอย่างความรู้ควรแบ่งปันกัน คนไม่รู้เรื่องนี้ยังมีอีกมาก ขอให้บอกต่อๆกันไป ขอบคุณ... [/COLOR][/SIZE][/QUOTE]
เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
เข้าสู่ระบบด้วย Google
ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:
คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?
ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
ลืมรหัสผ่านของคุณ?
อยู่ในระบบตลอดเวลา
RacingWeb.NET | The Racing Cars Community on Web.
ฟอรั่ม
>
Community Team and group
>
Team and Group
>
TOMARU
>
ดื่มน้ำเป็นหรือเปล่า
>
X
หน้าแรก
หน้าแรก
Quick Links
โพสต์ล่าสุด
กิจกรรมล่าสุด
ผู้เขียน
ฟอรั่ม
ฟอรั่ม
Quick Links
ค้นหาฟอรั่ม
โพสต์ล่าสุด
ประกาศซื้อขาย
ประกาศซื้อขาย
Quick Links
ค้นหาประกาศซื้อขาย
กิจกรรมล่าสุด
ผู้ค้าขายคะแนนสูงสุด
สื่อ/วิดีโอ
สื่อ/วิดีโอ
Quick Links
Search Media
New Media
สมาชิก
สมาชิก
Quick Links
สมาชิกที่โดดเด่น
สมาชิกที่ลงทะเบียน
ผู้ใช้งานในขณะนี้
กิจกรรมล่าสุด
โพสต์ข้อมูลส่วนตัวใหม่
เมนู
ค้นหาเฉพาะชื่อ
โพสต์โดยสมาชิก:
แยกชื่อด้วยเครื่องหมายจุลภาค
ใหม่กว่า:
ค้นหาเฉพาะหัวข้อนี้
ค้นหาเฉพาะฟอรั่มนี้
แสดงผลเป็นหัวข้อ
การค้นหาที่มีประโยชน์
โพสต์ล่าสุด
เพิ่มเติม...