• 
  
  ติดต่อลงโฆษณา [email protected] หรือโทร. 081-811-1138 หรืออ่านรายละเอียดเพิ่มเติม คลิกที่นี่

ชื่อ:

การตรวจสอบ:

กำลังโหลด...

ข้อความ:

<p>[QUOTE=&quot;RacingWeb, post: 2033189, member: 9984&quot;]<p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/title_tire.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center"><b>รู้ลึกเรื่อง &quot;ยาง&quot;</b></p> <p style="text-align: center"><b>(Basic Tire Knowledge)</b></p><p><br /></p><p>ปฏิเสธไม่ได้เลยว่า &quot;ยาง&quot; คือหนึ่งในส่วนประกอบที่สำคัญที่สุดในรถยนต์ ที่เป็นเช่นนี้เพราะว่า ในรถยนต์หนึ่งคันนั้น&nbsp; &quot;ยาง&quot; คือ &quot;ส่วนเดียว&quot; ที่สัมผัสกับพื้นถนน นั่นหมายความว่า...</p><p><br /></p><p>ถึงแม้รถของคุณจะมีแรงม้ามากเพียงใด แต่ถ้าหาก &quot;ยาง&quot; ของคุณไม่สามารถถ่ายทอดแรงม้าให้ลงสู่พื้นถนนได้อย่างครบถ้วน นั่นเท่ากับว่า &quot;ไร้ประโยชน์&quot;</p><p><br /></p><p>ถึงแม้รถของคุณจะมีระบบเบรกที่มีสมรรถนะสูงเพียงใด แต่ถ้าหาก &quot;ยาง&quot; ของคุณไม่สามารถสร้างแรงเสียดทานได้อย่างเพียงพอ นั่นเท่ากับว่า &quot;ไร้ประโยชน์&quot;</p><p><br /></p><p>ถึงแม้รถของคุณจะมีช่วงล่างระดับเทพแค่ไหน แต่ถ้าหาก &quot;ยาง&quot; ของคุณไม่สามารถสร้างแรงยึดเกาะได้อย่างเต็มประสิทธิภาพ นั่นเท่ากับว่า &quot;ไร้ประโยชน์&quot;</p><p><br /></p><p>เพราะฉะนั้น ในบทความนี้เราจะมาทำความรู้จักกับ &quot;ยาง&quot; ให้มากขึ้น เพื่อที่จะได้เข้าใจหน้าที่และประโยชน์ของ &quot;ยาง&quot; ซึ่งจะทำให้เราสามารถเลือกใช้ &quot;ยาง&quot; ได้อย่างถูกต้องและเหมาะสม</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/18mtets7k6bffjpg.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center">lifehacker.com</p><p><br /></p><p>หน้าที่สำคัญของยางมี ด้วยกัน 4 ข้อดังนี้&nbsp; (Basic performances of tire)</p><p>1.&nbsp; รับน้ำหนักของรถยนต์ (Supporting Load)</p><p>- ลมยางจะเป็นตัวช่วยในการรับน้ำหนักรถและน้ำหนักบรรทุกไว้ทั้งหมด</p><p>2. รับแรงกระแทก (Shock Absorbing)</p><p>- เกิดจากลมยางที่ทำหน้าที่เหมือนสปริงที่จะช่วยลดแรงกระแทกและการสั่นสะเทือนจากพื้นถนนในขณะที่เราขับขี่</p><p>3. ทำให้เคลื่อนที่และหยุดนิ่ง (Acceleration / Braking)</p><p>- ยางจะเป็นตัวกลางถ่ายทอดพลังการขับเคลื่อน และการหยุดนิ่งของรถลงสู่พื้นผิวถนน ทำให้เราสามารถเคลื่อนตัวหรือหยุดลงได้</p><p>4. บังคับเลี้ยว (Cornering)</p><p>- ช่วยถ่ายทอดพลังงานการบังคับเลี้ยวจาก steering ลงสู่พื้นถนน จึงทำให้รถมุ่งไปในทิศทางที่ต้องการได้</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/33_Porsche_911GT3RSR_01.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center">carswallpaper.blogspot.jp</p><p><br /></p><p><b>โครงสร้างหลักๆ ของยาง ประกอบไปด้วยส่วนต่างๆดังต่อไปนี้</b></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/tire_components.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>หน้ายาง (Tread) คือส่วนประกอบที่อยู่นอกสุดของยาง และเป็นส่วนเดียวที่สัมผัสผิวถนน ทำหน้าที่ป้องกันของมีคม ที่จะทำอันตรายต่อโครงสร้างยาง ที่หน้ายางจะประกอบไปด้วยดอกยางและร่องยาง เพื่อทำหน้าที่ในการยึดเกาะถนนทำให้มีแรงตระกรุยเวลาวิ่ง เบรคหยุดได้มั่นใจในปัจจุบัน ดอกยางมีอยู่หลาชนิด ซึ่งแต่ละชนิดจะมีประสิทธิภาพที่แตกต่างกันออกไป ดังนั้น ผู้ใช้จึงควรเลือกชนิดของยาง ให้เหมาะสมกับสภาพการใช้งาน</p><p><br /></p><p>ไหล่ยาง (Shoulder) เป็นส่วนที่เชื่อมต่อระหว่างหน้ายางกับแก้มยาง มีความหนาพอๆ กับหน้ายาง ปกติไหล่ยาง จะถูกออกแบบเป็นร่องให้เหมาะสม เพื่อช่วยระบายความร้อนภายในยางให้ออกมาได้ง่าย</p><p><br /></p><p>แก้มยาง (Sidewall) เป็นส่วนด้านข้างสุดของยาง ที่ไม่ได้สัมผัสพื้นผิวถนนขณะที่รถวิ่งอยู่และเป็นส่วนที่ยืดหยุ่นมากที่สุดของยางในขณะใช้งาน</p><p><br /></p><p>โครงยาง (Carcass) เป็นส่วนประกอบหลักของยาง ซึ่งมีบทบาทสำคัญที่คงรูปร่าง และจะรักษาความดันลมภายในยาง เพื่อให้ยางสามารถรับน้ำหนักบรรทุกได้ รวมทั้งต้องทนทานต่อแรงกระแทก หรือสั่นสะเทือนจากถนนที่มีต่อยางได้ดี </p><p><br /></p><p>ผ้าใบเสริมหน้ายาง หรือเข็มขัดรัดหน้ายาง (Breaker or Belt) เป็นชั้นที่อยู่ระหว่างหน้ายาง (Tread) กับโครงยาง (Carcass) ในกรณียางธรรมดา (Bias Tire) เราเรียกว่า &quot;ผ้าใบเสริมหน้ายาง (Breaker)&quot; และในกรณียางเรเดียล (Radial Tire) จะเรียกว่า &quot;เข็มขัดรัดหน้ายาง (Belt)&quot; ซึ่งทำหน้าที่เพิ่มความแข็งแรง ให้กับหน้ายาง ให้ยางสามารถรับแรงกระแทกได้ดี และป้องกันไม่ให้โครงยางชำรุดเสียหายจากสิ่งอันตรายต่างๆ จากพื้นถนน</p><p><br /></p><p>ขอบยาง (Bead) ประกอบด้วยกลุ่มของเส้นลวดเหล็กกล้า (High Carbon Steel) ที่ช่วยยึดส่วนปลายทั้ง 2 ข้างของโครงยางเอาไว้ เพื่อให้บริเวณขอบยาง (Bead) มีความแข็งแรง สามารถยึดแน่นสนิทกับกระทะล้อได้ดีเมื่อนำไปใช้งาน สำหรับยางรถยนต์ที่ไม่ใช้ยางใน (Tubeless Tire) ขอบยางเป็นส่วนที่สำคัญอย่างยิ่ง ที่จะต้องทำหน้าที่ป้องกันไม่ให้ลมยางรั่วซึมออกมา</p><p><br /></p><p>นอกจากนี้ ยังมียางรถยนต์ยังมีส่วนประกอบย่อยอื่นๆ เช่น ผ้าใบหุ้มขดลวดและยางแข็งๆ ที่มีลักษณะคล้ายสามเหลี่ยม (Bead Filer) ทำหน้าที่เชื่อมต่อ ระหว่างส่วนที่แข็ง คือบริเวณขอบยาง ไปสู่ส่วนที่อ่อนและยืดหยุ่น คือบริเวณแก้มยาง และยังมีผ้าใบหุ้มขอบลวดที่อยู่ด้านนอกสุดของขอบยาง เพื่อป้องกันการเกิดอันตรายกับโครงยาง จากการถอดประกอบเข้ากับกระทะล้อในแต่ละครั้ง</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/Car%20Wallpaper%20BMW%20M5%202014%20Tire.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p> <p style="text-align: center">download-car-wallpaper.blogspot.com</p><p><br /></p><p><b>ทฤษฎีการรับแรง (Supporting load theory)</b></p><p>ปกติแล้วการรับน้ำหนักของยางแต่ละเส้นนั้นจะขึ้นอยู่กับโครงสร้างหรือส่วนประกอบของยางตัวนั้นว่าจะสามารถรับ แรงกระแทกได้มากหรือน้อย เช่น ถ้าแก้มยางมีความสูงมากก็จะสามารถรองรับแรงกระแทกมากขึ้น ส่วนแก้มยางที่มีความสูงน้อยก็จะรองรับแรงกระแทกได้น้อยตามอัตราส่วนของยางนั่นเอง</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/low-high-profile.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>ดอกยาง (Pattern)</b></p><p>การเลือกใช้ลักษณะดอกยางให้ถูกต้องและเหมาะสมกับสภาพการใช้งานนั้นเป็นสิ่งที่สำคัญยิ่ง เพื่อให้ผู้ใช้ได้รับประโยชน์จากการใช้งานอย่างเต็มที่ และตอบสนองลักษณะการขับขี่ที่แตกต่างกันด้วยลายดอกยางทางบริษัทผู้ผลิตยาง จึงได้มีการคิดค้นและพัฒนามาโดยตลอดจน ปัจจุบันมีลายดอกยางมากมายนับไม่ถ้วน อย่างไรก็ดีหากแบ่งลายดอกยางโดยคำนึงถึงทิศทางการเคลื่อนที่ สามารถแบ่งได้ 2 ลักษณะ ได้แก่ ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง และดอกยางแบบทิศทางเดียว</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/tread-pattern.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>ดอกยางแบบ 2 ทิศทาง(Two-Direction)</b></p><p>เป็นลักษณะของลายดอกยางที่จะสามารถสลับยางได้ในทุกตำแหน่งล้อของรถ ลักษณะดอกยางทั้ง 2 ด้าน จะสวนทิศทางกันหาก เป็นการขับขี่ทั่วไปไม่เน้นความเร็วสูง ดอกยางลักษณะนี้สามารถตอบสนองความต้องการได้อย่างดีและยางประเภทนี้ยังนิยมกันโดยทั่วไปกับรถ ที่เราใช้กันอยู่ในชิวิตประจำวัน</p><p><br /></p><p><b>ดอกยางทิศทางแบบทิศทางเดียว (Uni-Direction)</b></p><p>ลายของดอกยางจะถูกบังคับให้หมุนไปในทิศทางเดียวเท่านั้น โดยมีลูกศรบอกทิศทางการหมุนอยู่ที่แก้มยางทั้ง 2 ด้าน ดังนั้น การสลับยางจะสลับได้เพียงด้านเดียวเท่านั้น เช่น สลับด้านหน้าขวากับหลังขวา หรือด้านหน้าซ้ายกับหลังซ้ายเว้นแต่จะถอดตัว ยางออกจากกระทะล้อเดิมไปใส่กับกระทะล้อฝั่งตรงกันข้าม แต่ต้องจัดวางทิศทางการหมุนของดอกยางให้ถูกต้องเช่นเดิม มิเช่นนั้น แล้วจะทำให้ทิศทางการหมุนของยางเปลี่ยนกลับทิศทางทำให้ประสิทธิภาพของยางลดลง จุดเด่นของดอกยางแบบทิศทางเดียว คือ สามารถไล่น้ำออกจากหน้ายางได้รวดเร็วกว่าแบบ 2 ทิศทางป้องกันอาการเหินน้ำ (Hydroplaning) ซึ่งจะทำให้ควบคุมบังคับ รถได้ลำบากและเกิดการลื่นไถลได้ง่าย</p><p><br /></p><p><b>ตัวเลขและสัญลักษณ์บนแก้มยาง(Symbol on sidewall)</b></p><p>ตัวเลขและตัวอักษรต่างๆ ที่ปรากฏอยู่บนแก้มยางรถยนต์นั้น สามารถบ่งบอกถึงคุณสมบัติของยางได้หลายอย่างไม่ว่าจะเป็นขนาดของ ยาง เช่น หน้ากว้าง ซีรี่ส์ ขนาดขอบกระทะล้อ และยังบ่งบอกถึงขีดจำกัด ความเร็วสูงสุด, ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางเส้นนั้นๆ รวม ไปถึงคุณสมบัติอื่นๆ อีกด้วยซึ่งคุณสมบัติดังกล่าวถือว่าเป็นข้อมูลทั่วๆไป ที่ท่านเจ้าของรถควรจะทราบเพื่อที่จะได้เลือกซื้อยางในครั้ง ต่อไปได้อย่างถูกต้อง และเหมาะสมกับรถยนต์ของเรา</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/dunlop-sidewall-markings_tcm2094-161165.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>สำหรับตัวเลขที่อยู่บนแก้มยางของรถเก๋ง โดยทั่วไปจะมีลักษณะดังตัวอย่างต่อไปนี้</b></p><p>ตัวอย่าง 205/55R16 91V</p><p>205 คือ ความกว้างยาง มีหน่วยเป็นมิลลิเมตร (Nominal width of tire)</p><p>55 คือ ซีรีส์ยาง (Aspect ratio)</p><p>R คือ โครงสร้างยางแบบเรเดียล (Radial)</p><p>16 คือ เส้นผ่าศูนย์กลางกระทะล้อ มีหน่วยเป็นนิ้ว (Rim diameter code)</p><p>91 คือ ดัชนีในการรับน้ำหนักของยางต่อเส้น (Load Index)</p><p>V คือ ขีดจำกัดความเร็วสูงสุด (Speed symbol)</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/page.h701.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p><b>จุดสีเหลืองและจุดสีแดงบนแก้มยาง&nbsp; (Red and Yellow point)</b></p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/dots.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>โดยทั่วไปยางรถยนต์จะมีตัวเลขและตัวอักษรต่างๆ บนแก้มทั้ง 2 ด้าน ซึ่งจะบ่งบอกถึงขนาดและคุณสมบัติของยาง และนอกจากนี้ยังมีจุดสีเหลืองและสีแดงปรากฎอยู่บนแก้มยางอีกด้วย ซึ่งจุดสีดังกล่าวนี้จะมีอยู่เพียงด้านเดียวบนแก้มยาง แต่ในบางรุ่นหรือบางขนาดจะมีทั้งจุดสีเหลืองและจุดสีแดงบนยางเส้นเดียวกัน ซึ่งจุดสีเหลืองและสีแดงนั้นมีความหมายดังนี้</p><p><br /></p><p><b>จุดสีเหลือง</b> คือ บริเวณที่ยางมีน้ำหนักเบา เมื่อเทียบกับบริเวณอื่น เมื่อนำยางมาประกอบกับกระทะล้อ ควรให้วาล์วเติมลมตรงกับจุดสีเหลืองนี้ เพื่อช่วยให้น้ำหนักของยางสมดุลดีกว่าเดิม ซึ่งจะช่วยให้การถ่วงล้อทำได้ง่ายยิ่งขึ้น</p><p><br /></p><p><b>จุดสีแดง</b> คือ บริเวณที่หน้ายางมีค่าความโค้งตามแนวรัศมีมากกว่าบริเวณอื่น ซึ่งส่วนใหญ่จะเป็นยางที่ส่งให้กับโรงงานประกอบรถยนต์ ที่ใช้ประโยชน์จากจุดแดงนี้ เนื่องจากกระทะล้อที่ส่งมาเพื่อประกอบกับยางจะมีจุดที่แสดงค่าความโค้งที่ขอบกระทะล้อด้วยเช่นกัน เมื่อประกอบให้จุดทั้ง 2 ตรงกัน จะช่วยให้ยางเส้นนั้นมีความกลมตามแนวรัศมีดียิ่งขึ้น </p><p><br /></p><p>ทั้งนี้ ในการติดตั้งยางเข้ากับตัวรถ จุดสีเหลืองและจุดแดงจะอยู่ด้านนอกหรือด้านในไม่ใช่ประเด็นสำคัญ สิ่งที่ควรคำนึงถึงคือ ทิศทางการหมุนของดอกยางเป็นสำคัญซึ่งจะมีทั้งแบบดอกยางธรรมดาและดอกยางแบบทิศทางเดียว</p><p><br /></p><p><b>การเปลี่ยนขนาดยาง</b></p><p>โดยปกติแล้ว ยางที่ติดรถออกมาจากโรงงานประกอบของรถแต่ละยี่ห้อแต่ละรุ่นนั้น เป็นยางที่เหมาะสมกับการใช้งานที่สุดที่ทาง บริษัทผู้ผลิตรถยนต์ได้ทดสอบแล้วแต่เนื่องจากผู้ขับขี่แต่ละรายอาจมีความต้องการที่แตกต่างกัน เช่น ต้องการให้เกาะถนนดีขึ้นเมื่อ ขับรถด้วยความเร็วสูงกว่าปกติ เพื่อความนุ่มนวลที่เพิ่มมากขึ้นผู้ขับขี่จึงต้องการเปลี่ยนขนาดยางให้เหมาะสม และตรงกับลักษณะการ ใช้งาน ซึ่งการเปลี่ยนยางใหม่แทนยางชุดเก่าให้มีขนาดที่ถูกต้องเหมาะสมเป็นสิ่งจำเป็นอย่างยิ่ง โดยการเปลี่ยนขนาดยางที่ขนาด ยางเส้นใหม่ มีความแตกต่างไปจากขนาดเดิมนั้น มีสิ่งที่จะต้องคำนึงถึงอยู่ 2 ประการ คือ </p><p>1) ความสามารถในการรับน้ำหนัก ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม</p><p>2) ขนาดเส้นผ่าศูนย์กลางของยาง ต้องใกล้เคียงขนาดเดิม</p><p><br /></p><p style="text-align: center"><img src="http://downforce-engineering.com/images/pict_tire/tire_size.jpg" class="bbCodeImage wysiwygImage" alt="" unselectable="on" /></p><p><br /></p><p>อ่านบทความนี้ต่อ <a href="http://downforce-engineering.com/index.php/all-articles/83-chassis-suspension/96-2014-10-11-08-29-54" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="http://downforce-engineering.com/index.php/all-articles/83-chassis-suspension/96-2014-10-11-08-29-54" rel="nofollow">คลิกที่นี่</a></p><p>ที่มา: <a href="http://downforce-engineering.com/index.php/all-articles/83-chassis-suspension/96-2014-10-11-08-29-54" target="_blank" class="externalLink ProxyLink" data-proxy-href="http://downforce-engineering.com/index.php/all-articles/83-chassis-suspension/96-2014-10-11-08-29-54" rel="nofollow">http://downforce-engineering.com/index.php/all-articles/83-chassis-suspension/96-2014-10-11-08-29-54</a>[/QUOTE]</p><p><br /></p>

• เข้าสู่ระบบด้วย Facebook
• เข้าสู่ระบบด้วย Twitter
• เข้าสู่ระบบด้วย Google

ชื่อผู้ใช้งานหรือที่อยู่อีเมล์ของคุณ:

คุณมีบัญชีผู้ใช้หรือไม่?

• ไม่มี, สร้างบัญชีผู้ใช้ตอนนี้
• มี, รหัสผ่านของฉันคือ:
• ลืมรหัสผ่านของคุณ?

อยู่ในระบบตลอดเวลา

• X